ตอนที่ 398 วิชาแยกเงา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

บนลานประลอง ฉินอวี้โม่และจูเฟยชวี่ยืนเผชิญหน้ากันด้วยสีหน้าที่จริงจัง

อดีตนักฆ่าสาวมือพระกาฬกำลังคิดว่านางจะเอาชนะจูเฟยชวี่ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตเซียนขั้นสามอย่างไร

ส่วนผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินก็กำลังคิดว่าหากอีกฝ่ายไม่สามารถรับมือกับตนเองได้ เขาควรจะเสแสร้งแกล้งแพ้หรือไม่

ถึงอย่างไรแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน การที่อยู่ในขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดทั้งๆที่มีอายุเพียงเท่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติมากแล้ว กอปรกับลักษณะนิสัยที่สุขุมเยือกเย็นของนาง นางจะกลายเป็นอาวุธสำคัญในภายภาคหน้าได้อย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังเชื่อว่านางจะสามารถนำทัพพวกเขาเพื่อขับไล่กลุ่มของฉินเหยียนออกไปและฟื้นฟูโลกมายาให้กลับคืนสู่จุดเดิมในอดีตได้

“ผู้นำจู ไม่ต้องออมมือ โปรดแสดงฝีมืออย่างเต็มที่”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆราวกับล่วงรู้ความคิดของจูเฟยชวี่ นางไม่ต้องการให้เขาสนใจกับความจริงที่ว่านางมีพลังเพียงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดเท่านั้น เพราะนางต้องการที่จะสัมผัสด้วยตนเองถึงความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างตนเองและจูเฟยชวี่

“เข้าใจแล้ว ท่านก็ต้องระวังตัวด้วยล่ะ”

จูเฟยชวี่พยักศีรษะก่อนร่างของเขากะพริบพุ่งออกไปโจมตีฉินอวี้โม่ทันที

ทั้งสองโจมตีโต้ตอบกันไปมาและแน่นอนว่าไม่ได้ใช้วิชามนตราที่ทรงพลังในลานประลองนี้ เพราะหากว่าฉินอวี้โม่ใช้สามพันเพลิงคำรามของนางออกมา อาคารไม้ทั้งหลังนี้คงจะพังทลายลงมาเป็นแน่

และแน่นอนว่าจูเฟยชวี่เองก็มีวิชามนตราที่ทรงพลังอยู่เช่นกัน ทว่าหากเขาตัดสินใจใช้มัน มันจะสร้างความเสียหายต่อลานประลองขนาดเล็กนี้อย่างแน่นอน

แม้ไม่ใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังใดๆ พลังของจูเฟยชวี่เองก็แกร่งกล้ากว่าฉินอวี้โม่มากอยู่แล้ว

ฉินอวี้โม่ต้องการสัมผัสถึงพลังที่แท้จริงของอีกฝ่าย เพราะเหตุนั้นนางจึงไม่ยั้งมือแม้แต่น้อย ในขณะนี้ หมัดที่ห่อหุ้มด้วยชั้นเพลิงลุกโชนพุ่งออกไปปะทะกับหมัดของจูเฟยชวี่อย่างจัง

ตู้ม!

ด้วยเสียงโจมตีที่ดังขึ้น ร่างของฉินอวี้โม่และจูเฟยชวี่ก็แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว

อึดใจต่อมา จูเฟยชวี่ก็ถอยหลังออกไปสามก้าวก่อนยืนอย่างมั่นคงได้

ในขณะที่ฉินอวี้โม่กระเด็นออกไปเพราะพลังมหาศาลจากหมัดของจูเฟยชวี่ นางหมุนตัวกลางอากาศหลายรอบและถอยออกไปนับสิบก้าวก่อนที่จะทรงตัวได้ ขณะนี้เลือดลมในร่างของนางพลุ่งพล่านเล็กน้อย

ต้องกล่าวเลยว่าความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองถือว่าห่างชั้นกันมาก หมัดของฉินอวี้โม่เมื่อครู่ห่อหุ้มไปด้วยเพลิงจักรพรรดิทว่าก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างชัดเจน หากเป็นการปะทะกันอย่างซึ่งๆหน้าล่ะก็ นางคงจะรับมือกับอีกฝ่ายได้ไม่นาน

“เพลิงจักรพรรดิงั้นรึ?”

จูเฟยชวี่สัมผัสได้ว่าเพลิงที่ปกคลุมรอบหมัดของฉินอวี้โม่ทรงพลังอย่างยิ่งและเขาคาดเดาได้ทันทีว่ามันน่าจะเป็นเพลิงจักรพรรดิในตำนาน

แม้ว่าเขาทุ่มเทพลังอย่างเต็มที่ในหมัดเมื่อครู่โดยใช้พลังไปถึงแปดในสิบส่วน ทว่าฉินอวี้โม่ก็สามารถตั้งรับมันได้ เกรงว่าเพลิงจักรพรรดิของฉินอวี้โม่จะมีส่วนช่วยนางเป็นอย่างมาก

“ผู้นำจูช่างรอบรู้จริงๆ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆขณะตัดสินใจว่าจะไม่ปะทะกับจูเฟยชวี่อย่างซึ่งๆหน้าอีก วันนี้หากนางต้องการเอาชนะ นางจะพึ่งพาข้อได้เปรียบของตนเอง นั่นก็คือความเร็ว

“ฮ่าๆๆ จริงอยู่ที่ว่าเพลิงจักรพรรดิของท่านเป็นสิ่งที่น่าอิจฉามาก ทว่าต่อจากนี้ท่านก็ยังต้องระวังตัวไว้ ข้าจะไม่ยั้งมืออีกแล้ว”

จูเฟยชวี่ยิ้มออกมาขณะจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาลุกโชนมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าต่อให้เขาจะเอาจริง ฉินอวี้โม่ก็ไม่ใช่บุคคลที่จะพ่ายแพ้ไปง่ายๆ

“ข้าก็จะแสดงฝีมืออย่างเต็มที่เช่นกัน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบก่อนที่ร่างของนางจะหายไปจากตรงหน้าจูเฟยชวี่อย่างกะทันหัน

“วิชาล่องหนรึ?”

เมื่อฉินอวี้โม่หายตัวไปอย่างกะทันหัน จูเฟยชวี่ก็พบว่ามันน่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นี้จะมีไพ่ตายซ่อนไว้มากมาย วิชาล่องหนนี้ก็เป็นวิชาที่พบได้ยากอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะมีเวลาไตร่ตรองสิ่งที่เกิดขึ้น จูเฟยชวี่ก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่กระแทกเข้ามาที่หน้าอกของตนเอง

ตู้ม!

ทันใดนั้นเขาก็ตบฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อต้านทานฝ่ามือของฉินอวี้โม่ไว้ก่อนที่ทั้งสองจะกระเด็นและแยกออกจากกันอีกครั้ง

จูเฟยชวี่มองเห็นเพียงร่างของฉินอวี้โม่ที่ปรากฏตรงหน้าห่างออกไปสิบก้าว จากนั้นนางก็หายตัวไปอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆ ชาญฉลาดทีเดียว”

จูเฟยชวี่อดถอนหายใจเบาๆด้วยความประทับใจต่อฉินอวี้โม่ไม่ได้

สตรีผู้นี้มีปัญญาเป็นเลิศอย่างแท้จริง หากเป็นคนทั่วไปก็คงคิดจะโจมตีจากด้านหลังเมื่อเข้าสู่สภาวะล่องหน ในทางกลับกัน คนทั่วไปที่เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ก็จะต้องคิดป้องกันด้านหลังของตนเองไว้ก่อนเพื่อไม่ให้ศัตรูลอบโจมตีจุดบอดของตนเองได้

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เหมือนจะมีความคิดที่แตกต่างไปจากคนทั่วไปและโจมตีเข้ามาข้างหน้าโดยตรง หากไม่ใช่เป็นเพราะพลังของเขาที่เหนือกว่านางมาก เกรงว่าเขาคงจะถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บไปแล้ว

ต่อมาหลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยังคงอยู่ในสภาวะล่องหนและไม่ได้ประจันหน้ากับจูเฟยชวี่อย่างซึ่งๆหน้า ยิ่งไปกว่านั้น นางก็มักจะลอบโจมตีจูเฟยชวี่อย่างต่อเนื่องจากทุกทิศทางจนเขาต้องปวดหัวไม่น้อย

“มันทำให้ข้าแปลกใจจริงๆ ไม่คิดเลยว่าท่านจะมีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนเช่นนี้!”

หลังจากการเคลื่อนไหวอีกครั้ง จูเฟยชวี่ก็อดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ขณะมองฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งไม่ได้ล่องหนอีกต่อไปและปรากฏกายอยู่ไม่ไกลจากเขา

แม้ว่านางมีพลังเพียงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุด ประสบการณ์การต่อสู้ของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเขาเลย ทั้งจังหวะและทิศทางของการโจมตีต่างก็เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมซึ่งทำให้เขาคาดเดาได้ยาก

จูเฟยชวี่รู้ได้ทันทีเลยว่าหากเขาเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า เขาจะต้องพ่ายแพ้ต่อสตรีผู้นี้ภายในระยะเวลาสั้นๆเป็นแน่

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบางๆและไม่ได้เอ่ยสิ่งใด นางเป็นถึงนักฆ่าฝีมือดีในชีวิตก่อนและทักษะการต่อสู้ระยะประชิดของนางก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน ยิ่งไปกว่านั้น นางได้ผ่านการต่อสู้มาแล้วมากมาย ความเข้าใจในจังหวะการต่อสู้ของนางจึงเหนือกว่าผู้คนส่วนใหญ่

ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆของทั้งดินแดน หากต้องประชันหน้ากันโดยที่พึ่งพาเพียงทักษะการต่อสู้เท่านั้น นางมั่นใจว่านางจะไม่ตกเป็นรองอย่างแน่นอน

และในการต่อสู้นี้ ทั้งสองไม่สามารถใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังอย่างวิชามนตราได้ มันจึงเป็นจูเฟยชวี่ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อย

“ผู้นำจู ลองรับมือกับทักษะล่าสุดของข้าดูหน่อยเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมาก่อนที่ร่างของนางจะปรากฏขึ้นมาเป็นหลายร่าง

นี่คือกระบวนท่าที่นางเพิ่งฝึกฝนจนสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้—วิชาแยกเงาโจมตี

เมื่อไม่นานมานี้ วิชาอสนีบาตของนางได้ทะลวงผ่านขีดจำกัดและพัฒนาขึ้นไปในอีกระดับหนึ่ง ซึ่งมันส่งผลให้ความเร็วของนางเพิ่มขึ้นมาเช่นกัน

ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่ค้นพบว่าเมื่อความเร็วของตนเองก้าวผ่านจุดหนึ่งไป มันจะก่อให้เกิดภาพติดตาขึ้นมาได้ซึ่งดูเหมือนกับเป็นการแยกเงา ยิ่งไปกว่านั้น ภาพติดตาเหล่านั้นก็เสมือนจริงอย่างยิ่งจนไม่มีทางระบุร่างหลักได้ในระยะเวลาสั้นๆ

และในช่วงเวลาที่คู่ต่อสู้กำลังสับสนนั่นเอง นางก็สามารถลงมือโจมตีเพื่อทำให้ตนเองได้เปรียบขึ้นมา

เพียงแต่หากใช้วิชาแยกเงาโจมตีนี้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ประสิทธิภาพของมันจะลดลงอย่างมาก

แม้ว่ามันจะสร้างความปวดหัวให้กับจูเฟยชวี่ได้ไม่น้อย เขาก็จะไม่พ่ายแพ้ไป

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่หลายร่างที่ปรากฏตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว จูเฟยชวี่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

บรรดาชาวชนเผ่าวิหคโบยบินซึ่งชมการประชันฝีมือนี้ก็นิ่งเงียบไม่ได้อีกต่อไป พวกเขาเริ่มซุบซิบหารือกัน

“สวรรค์ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก จอมยุทธ์ผู้นี้มาจากที่ใดกัน? ไม่เพียงแต่สามารถล่องหนและสู้กับผู้นำของเราได้เป็นเวลานานเท่านั้น ทว่ายังมีวิชาแยกร่างที่ทรงพลังเช่นนี้อีก ไม่อาจรู้ได้เลยว่าร่างใดคือร่างที่แท้จริงของนางกันแน่”

คนผู้หนึ่งพยายามใช้พลังวิญญาณเพื่อระบุว่าร่างใดคือร่างจริงของฉินอวี้โม่ ทว่าก็ไม่อาจระบุตำแหน่งที่แน่นอนได้เลย วิชาแยกเงาโจมตีนี้ช่างประหลาดโดยแท้

“ใช่แล้ว นี่มันผิดมนุษย์เกินไปแล้ว ดูเหมือนว่านางจะมีพลังเพียงขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดและมีอายุเพียงประมาณยี่สิบปีเท่านั้น ถือเป็นเรื่องที่น่ายำเกรงจริงๆที่สู้กับผู้นำของเราได้อย่างไม่เสียเปรียบเช่นนี้!”

คนอื่นๆต่างก็เห็นด้วยและแววตาของพวกเขาแสดงถึงความเคารพต่อฉินอวี้โม่จากก้นบึ้งของหัวใจ นั่นคือความเคารพที่แสดงต่อผู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาเชื่อในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และนางคู่ควรแก่ความเคารพจากพวกเขา

“เอาล่ะ หยุดเถอะ ข้ายอมแพ้”

จู่ๆจูเฟยชวี่ก็เอ่ยออกมา เขาไม่ต้องการต่อสู้อีกต่อไป

แม้ว่าการยอมแพ้มิใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์นัก ทว่าในเวลานี้จูเฟยชวี่ก็รู้สึกดีไม่น้อยเลย

การแสดงฝีมือของฉินอวี้โม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหนือกว่าความคาดหมายของเขาอย่างแท้จริง เดิมทีเขาคิดว่าต่อให้สตรีผู้นี้แข็งแกร่ง นางก็จะไม่เป็นภัยคุกคามใดๆต่อเขา ทว่าบัดนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าคิดผิดไป

ไม่ว่าจะเป็นทักษะการล่องหนอำพรางตัว เพลิงจักรพรรดิหรือแม้กระทั่งแยกเงาโจมตี ทั้งหมดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ทรงพลังอย่างแท้จริงและเหนือมนุษย์อย่างที่สุด

จูเฟยชวี่รู้สึกได้ว่าหากเขาไม่ใช้วิชามนตราในการต่อสู้นี้ เขาไม่มีทางเทียบชั้นฉินอวี้โม่ได้อย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น จุดประสงค์เดิมของเขาก็คือการโน้มน้าวใจทุกคนในชนเผ่าวิหคโบยบินให้ยอมรับในตัวฉินอวี้โม่ บัดนี้ดูเหมือนว่าเป้าหมายจะบรรลุแล้ว หากตัวตนของฉินอวี้โม่ถูกเปิดเผยออกไปก็คงจะไม่เป็นปัญหา

เพราะเหตุนั้น จูเฟยชวี่จึงยอมจำนนและไม่ต้องการสู้อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นการประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่เมื่อครู่ก็ล่วงเลยมาเกินกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว

เมื่อได้ยินวาจาของจูเฟยชวี่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆและหยุดการเคลื่อนไหว

ทันทีที่หยุดลง ภาพติดตาจำนวนมากก็ค่อยๆหายไปราวกับกลับคืนสู่ร่างของนางซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่ดูลึกลับอย่างที่สุด

ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง จู่ๆฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าสภาวะพลังในร่างกายปั่นป่วนอย่างรุนแรง

“ผู้นำจู ข้าคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของท่านก่อน ข้าขอใช้บ้านของท่านสักพักและอย่าให้ใครเข้ามารบกวนข้า”

เมื่อไม่มีเวลาอธิบายสิ่งใด ฉินอวี้โม่เพียงกล่าวทิ้งท้ายก่อนพุ่งตรงออกไปข้างนอกและมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านไม้ไผ่ของจูเฟยชวี่ทันที

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่และเห็นท่าทางผิดปกติของนาง จูเฟยชวี่ก็ตกตะลึงเล็กน้อย เดิมทีทั้งสองวางแผนที่จะประกาศตัวตนแท้จริงต่อหน้าทุกคนและให้ทุกคนแสดงความเคารพ ทว่าเหตุใดจู่ๆฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องนี้กลับขอตัวออกไปอย่างกะทันหัน?

อย่างไรก็ตาม เพียงครู่เดียวจูเฟยชวี่ก็นึกบางอย่างขึ้นได้และก็ต้องประหลาดใจมากขึ้น

เมื่อเขามองฉินอวี้โม่เมื่อครู่ เขาก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังรอบตัวที่ผันผวนอย่างชัดเจน เป็นไปได้รึไม่ว่านางกำลังจะทะลวงพลัง?

เมื่อคิดว่าฉินอวี้โม่กำลังจะทะลวงพลังไปสู่ระดับที่สูงกว่า ผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินก็อดถอนหายใจให้กับโชคดวงและพรสวรรค์ของนางไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการคิดถึงเรื่องนี้ หลังจากมองไปรอบๆและเห็นสีหน้าสับสนของผู้คนเมื่อฉินอวี้โม่กลับออกไป จูเฟยชวี่ก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย

แม้ว่าฉินอวี้โม่จะขอตัวออกไปก่อน บางอย่างก็ยังต้องดำเนินต่อไป

“ฮ่าๆๆ ทุกคนคงจะสงสัยกันอย่างมากว่าสตรีผู้ที่ประชันฝีมือกับข้าเมื่อครู่นั้นเป็นใคร”

หลังจากกวาดสายตามองฝูงชน จูเฟยชวี่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

ทุกคนในชนเผ่าพยักศีรษะและใครคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “ท่านผู้นำ นางเป็นใครรึ? เราไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ที่ทรงพลังเช่นนี้ในโลกมายามาก่อน อีกอย่าง..ตอนที่นางเข้ามา พวกเราไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ นางมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ความสงสัยนี้ติดอยู่ในใจของพวกเขามาตลอดที่รับชมการประชันฝีมือ ก่อนหน้านี้จูเฟยชวี่เพียงประกาศว่าตนเองจะประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่ ทว่าพวกเขาก็ไม่รู้เลยว่าสตรีผู้นี้เข้ามาในชนเผ่าตั้งแต่เมื่อไหร่

“ฮ่าๆๆ ทุกคนจะต้องตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ข้ากำลังจะกล่าว อันที่จริงแล้ว…นางคือเทพมายาคนใหม่และเป็นนายหญิงผู้ยิ่งใหญ่ของเราในภายภาคหน้า—ฉินอวี้โม่”

เมื่อได้ยินวาจาของผู้นำ ทุกคนก็ตกตะลึงทันที จู่ๆทั่วบริเวณลานประลองที่เคยคึกคักและมีชีวิตชีวาก็เงียบลงอย่างกะทันหัน

.