ตอนที่ 399 ข่าวจากจูเฟยชวี่

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ฉินอวี้โม่มุ่งหน้าตรงไปที่บ้านไม้ไผ่ของจูเฟยชวี่อย่างรวดเร็ว หลังจากปิดประตูอย่างมิดชิดและสั่งให้มารยาช่วยคุ้มกันรอบๆ นางก็หลับตาลงและจดจ่อกับการทะลวงพลัง

พลังมายารอบๆรวมตัวกันหนาแน่นและหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของนางโดยตรง ขณะนี้มีวังวนคลื่นพลังขนาดเล็กก่อตัวขึ้นรอบตัวนางซึ่งดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงพลังมายาที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างของตนเองอย่างบ้าคลั่ง ทว่านางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย

ขอบเขตเซียนเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของการไปสู่ระดับของยอดฝีมือที่แกร่งกล้า เพราะฉะนั้นการทะลวงพลังจากขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดไปสู่ขอบเขตเซียนจึงมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เข้าใจว่าการทะลวงพลังอย่างกะทันหันครานี้ไม่ได้ทำให้นางพัฒนาไปถึงขอบเขตเซียน ทว่าเป็นขอบเขตเซียนครึ่งก้าวเท่านั้น

ขอบเขตเซียนครึ่งก้าวเป็นระดับพลังระหว่างขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดและขอบเขตเซียน การพัฒนามาถึงขอบเขตนี้หมายความว่าจอมยุทธ์จะมีโอกาสทะลวงพลังไปถึงขอบเขตเซียนในอนาคต ทว่าตอนนี้พลังงานภายในร่างกายของนางก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับการทะลวงไปถึงขอบเขตเซียนโดยตรง

กล่าวได้ว่าตราบใดที่จอมยุทธ์เข้าสู่ขอบเขตเซียนครึ่งก้าว กอปรกับการฝึกยุทธ์ในระยะหนึ่ง การทะลวงพลังไปถึงขอบเขตเซียนก็จะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็ว

อย่างไรก็ตาม จอมยุทธ์หลายคนก็ติดชะงักอยู่ที่ขอบเขตจ้าวสุริยะขั้นสูงสุดและไม่มีหนทางไปถึงขอบเขตเซียนครึ่งก้าวได้ เพราะเหตุนั้น ยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตเซียนขึ้นไปจึงมีจำนวนเพียงไม่มากนัก ในดินแดนเทพมายาอาจมีจอมยุทธ์เหล่านั้นอยู่หลายร้อยคนทว่าในโลกมายาแห่งนี้ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ฉินอวี้โม่ใช้เวลาบ่มเพาะทั้งวันก่อนค่อยๆลืมตาขึ้นอีกครั้งและพลังมายารอบๆร่างของนางก็เริ่มถูกควบคุมไว้จนยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

“ยินดีด้วยนายหญิง”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เหยียดกายลุกขึ้น มารยาก็ยิ้มพร้อมกล่าวแสดงความยินดีออกมา

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและนางสัมผัสได้ว่าพลังของตนเองในเวลานี้แข็งแกร่งขึ้นมาก หากนางเผชิญหน้ากับจูเฟยชวี่ในตอนนี้ ต่อให้อีกฝ่ายทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน

“มารยา เจ้าเองก็น่าจะใกล้ทะลวงพลังแล้วเช่นกัน”

เมื่อหันไปมองอสูรสาว ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าพลังของมารยาก็แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนเช่นกันและรู้สึกเหมือนกับว่าตัวตนของมันเริ่มจางหายไปเล็กน้อย

เมื่อสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มันเป็นการบ่งบอกว่ามารยาใกล้ที่จะทะลวงพลังเต็มที ยิ่งไปกว่านั้น พลังของมารยาก็ติดอยู่ที่ระดับสุริยะขั้นสูงสุดมาพักใหญ่แล้วและใกล้ถึงเวลาที่จะพัฒนาตนเองอีกครั้ง

ในทางกลับกัน หานอวี้ไม่มีท่าทีหรือสัญญาณบ่งบอกว่าเข้าใกล้การทะลวงพลัง มันคงจะต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าที่จะทะลวงพลังขึ้นไปได้

“เอาล่ะ ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่กี่วันจะเกิดการลงทัณฑ์สายฟ้าขึ้น”

มารยาพยักหน้าเบาๆ มันสัมผัสได้ว่าการลงทัณฑ์สายฟ้าน่าจะเกิดขึ้นในไม่ช้า

อสูรมายาเหล่านี้แตกต่างจากมนุษย์ หากพวกมันต้องการทะลวงพลังจากอสูรสุริยะขั้นสูงสุดไปสู่ระดับเซียน พวกมันต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้า ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งอสูรมายามีพรสวรรค์มากเพียงใด การลงทัณฑ์สายฟ้าที่เกิดขึ้นกับพวกมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเพียงนั้นและนั่นหมายถึงภยันตรายที่มากขึ้นเช่นกัน เพราะเหตุนั้นมารยาจึงต้องเตรียมความพร้อมพอสมควรตลอดช่วงไม่กี่วันข้างหน้าเพื่อที่มันจะได้มั่นใจมากขึ้นเมื่อเผชิญหน้ากับการลงทัณฑ์สายฟ้า

ฉินอวี้โม่ทราบเรื่องนี้ดีและไม่เอ่ยสิ่งใดให้มากความ นางเพียงแต่นึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับการลงทัณฑ์สายฟ้าที่จะมาถึง

“ท่านแม่ มันยังเร็วเกินไปสำหรับการลงทัณฑ์สายฟ้าของข้า ข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปี”

หานอวี้ปรากฏกายข้างฉินอวี้โม่เช่นกัน ในฐานะมังกรทองห้าเล็บซึ่งมีสายเลือดที่สูงส่ง การทะลวงพลังของมันจึงยากเป็นพิเศษ เมื่อครู่นี้ที่ฉินอวี้โม่ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนครึ่งก้าว ตัวมันก็ได้รับประโยชน์เช่นกัน ทว่ามันยังต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อให้พลังเพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่จะสามารถเผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้าได้

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับทราบ ทว่าพลังของหานอวี้ในตอนนี้ก็แข็งแกร่งยิ่งกว่ายอดฝีมือในขอบเขตเซียนหลายคนเสียอีก หลังจากข้ามผ่านการลงทัณฑ์สายฟ้าได้ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่ามันจะแข็งแกร่งมากเพียงใด

อย่างไรก็ตาม หานอวี้มิใช่อสูรที่ฉินอวี้โม่เป็นกังวลที่สุดในตอนนี้ หากแต่เป็นซิวผู้ซึ่งยังคงนิ่งเงียบไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

ครานี้ซิวต้องใช้เวลาเก็บตัวจำศีลเป็นเวลานาน เดิมทีพลังของมันก็แข็งแกร่งกว่าหานอวี้มากอยู่แล้ว ฉินอวี้โม่จึงอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่าหากผ่านการจำศีลครานี้ไป พลังของซิวจะพัฒนาขึ้นจนถึงระดับไหน

แน่นอนว่าเสี่ยวเฮยและอสูรตัวอื่นๆก็ได้รับประโยชน์จากการทะลวงพลังของฉินอวี้โม่ในครานี้เป็นอย่างมาก บัดนี้อสูรมายาทั้งหมดของนางอยู่ในระดับสุริยะแล้ว โดยบางตัวเพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ระดับสุริยะในขณะที่บางตัวพัฒนาเป็นอสูรสุริยะขั้นสูงสุด

และอสูรมายาตัวที่แข็งแกร่งมากกว่าก็ใกล้ที่จะเผชิญกับการลงทัณฑ์สายฟ้าเต็มที

พลังของจินเย่า—สิงโตระดับเซียนที่ฉินอวี้โม่ได้ทำพันธสัญญาก่อนหน้านี้เพียงไม่นานก็พัฒนาขึ้นเล็กน้อยเช่นกันและบัดนี้มันอยู่ในระดับเซียนขั้นสามแล้ว

“ดูเหมือนว่าครานี้จะได้ประโยชน์ครั้งใหญ่กันไปถ้วนหน้าเลยสินะ”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะอย่างพึงพอใจเมื่อพบว่ากองทัพอสูรของตนเองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

“นายหญิง อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย ผู้นำจูนั่นรออยู่ที่หน้าประตูมาพักใหญ่แล้ว”

มารยายิ้มและกล่าวกับผู้เป็นนาย

เป็นเพราะบ้านพักของจูเฟยชวี่มีสภาวะพลังที่หนาแน่นมากกว่า ฉินอวี้โม่จึงไม่ได้เข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวทว่าเลือกที่จะทะลวงพลังอยู่ที่นี่

ในขณะเดียวกัน หลังจากจัดการเรื่องต่างๆเสร็จสิ้น จูเฟยชวี่ก็ต้องการกลับมาที่นี่โดยเร็ว ทว่าในเมื่อการทะลวงพลังของฉินอวี้โม่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เขาจึงไม่ต้องการเข้ามารบกวนและรออยู่หน้าประตูอย่างเงียบๆ

ทันทีที่ตระหนักได้ว่าฉินอวี้โม่กำลังจะทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเซียนครึ่งก้าว จูเฟยชวี่ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง พรสวรรค์ของสตรีผู้นี้เหนือธรรมชาติเกินไป เพียงแค่การประชันฝีมือกับเขา ไม่คาดคิดว่าจะทำให้นางได้มีโอกาสทะลวงพลังขึ้นไป

ยิ่งไปกว่านั้น การประชันฝีมือระหว่างนางและเขาก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขาสนใจจอมยุทธ์ต่างถิ่นผู้นี้มากยิ่งขึ้น พลังการต่อสู้ที่นางแสดงออกมานั้นเหนือกว่าความคาดหมายของเขาไปมากจนเขาเชื่อว่าอนาคตของฉินอวี้โม่จะต้องรุ่งเรืองและเจิดจรัสเป็นแน่

“ขออภัยที่ทำให้ท่านผู้นำจูต้องรอนาน”

ในขณะที่กำลังคิดไตร่ตรอง จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกและจูเฟยชวี่ก็เห็นฉินอวี้โม่ที่ก้าวออกมาพร้อมกับสตรีผู้แผ่พลังลึกลับซึ่งมีรูปลักษณ์งดงามเช่นกัน

“ฮ่าๆๆ ขอข้าแสดงความยินดีด้วย”

จูเฟยชวี่ยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าวแสดงความยินดีทันที

“ขอบคุณท่านมาก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มตอบก่อนชี้ไปที่มารยาซึ่งยิ้มบางๆอยู่ข้างกายและกล่าวแนะนำ “นี่คืออสูรมายาของข้า..มารยา ข่ายอาคมก่อนหน้านี้ก็เป็นฝีมือของมัน มันเป็นอสูรมายาที่มีความชำนาญด้านข่ายอาคมและทักษะลวงตา”

จูเฟยชวี่พยักศีรษะรับทราบ ไม่น่าเชื่อเลยว่าข่ายอาคมขั้นสูงก่อนหน้านี้จะเป็นฝีมือของมารยา อสูรสาวตนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

เดิมทีเขาก็รู้สึกได้ว่าข่ายอาคมก่อนหน้านี้คงจะไม่ใช่ฝีมือของฉินอวี้โม่ เพราะหากนางเป็นคนลงมือ เขาก็จะต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอน

“ข้าเองก็เป็นผู้ใช้ข่ายอาคมเช่นกัน ทว่าความเข้าใจของข้าในศาสตร์นี้ยังคงน้อยเกินไป เพราะเหตุนั้นข้าจึงวางได้เพียงข่ายอาคมเล็กๆธรรมดาเท่านั้น”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางและกล่าวอธิบาย

จูเฟยชวี่เพียงพยักศีรษะเบาๆ เขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

เทพมายาคนก่อนเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมชั้นยอด นอกเหนือจากความแข็งแกร่ง ความรู้ของนางในด้านข่ายอาคมก็กว้างไกลถึงขีดสุดจนยอดฝีมือหลายคนหวั่นเกรง หากฉินอวี้โม่ไม่มีความเข้าใจในด้านข่ายอาคมเลย เขาก็คงเห็นเป็นเรื่องแปลก

“สถานการณ์ตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

ฉินอวี้โม่ไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนางปลีกตัวออกมา ถึงแม้นางเชื่อว่าจูเฟยชวี่จะสามารถทำให้คนเหล่านั้นจงรักภักดีต่อนางได้ นางก็ต้องการถามให้รู้ความ

“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องห่วง ชนเผ่าวิหคโบยบินของเราจงรักภักดีต่อเทพมายาอยู่แล้ว ความสามารถที่ท่านแสดงให้ได้เห็นก็ทำให้พวกเขายอมรับในตัวของท่าน พวกเขาแต่ละคนต่างก็มุ่งมั่นที่จะติดตามท่านเพื่อขับไล่ฉินเหยียนผู้นั้นออกไป”

จูเฟยชวี่ยิ้มพร้อมกล่าวอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี

เขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ต่อทุกคนแล้ว นอกเหนือจากความตกใจในตอนแรก บรรดาสมาชิกของชนเผ่าวิหคโบยบินก็เชื่อมั่นในตัวนางอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือพลังของฉินอวี้โม่ รวมถึงความแน่วแน่และความองอาจกล้าหาญของนาง สิ่งเหล่านี้เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจพวกเขาให้ยอมรับนางจากใจจริง

“ขอบคุณผู้นำจูมาก”

เมื่อได้ยินวาจาของจูเฟยชวี่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวขอบคุณ หากไม่มีความช่วยเหลือจากเขา เรื่องนี้คงไม่ง่ายเช่นนี้แน่ เพราะฉะนั้นนางจึงต้องกล่าวขอบคุณเขาอย่างจริงใจ

“ท่านเทพมายา ท่านไม่จำเป็นต้องพิธีรีตองนักหรอก ไม่ต้องเรียกข้าว่าผู้นำจู ท่านเป็นนายหญิงที่พวกเราติดตามแล้ว เรียกแค่ชื่อของข้าก็พอ”

จูเฟยชวี่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ความสุภาพของฉินอวี้โม่ทำให้เขาประทับใจอย่างยิ่งและทำให้เขาภักดีต่อนางมากยิ่งขึ้น

“ผู้นำจู อย่าปฏิเสธเลย ประการแรก ท่านมีอายุมากกว่าและแข็งแกร่งกว่าข้า การเรียกท่านว่าผู้นำจูถือว่าเหมาะสมแล้ว ประการที่สอง แม้ว่าข้าเป็นเทพมายาคนใหม่ ท่านก็เป็นผู้อาวุโสของเผ่ามายาของเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกที่บุคคลระดับผู้อาวุโสจะถูกเรียกเช่นนั้น”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้ตกปากรับคำ การเรียกเฉพาะชื่อของจูเฟยชวี่ไม่เพียงแต่จะไม่สุภาพเท่านั้นทว่ายังทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจ แน่นอนว่านางไม่มีทางยอมเรียกเขาเช่นนั้น

“อีกอย่าง..ผู้นำจูก็คงจะมีสิ่งอื่นที่ต้องการบอกข้าใช่รึไม่?”

เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถามออกไปทันทีและไม่ติดพันอยู่กับปัญหาเรื่องคำเรียกอีกต่อไป

เมื่อเห็นสีหน้าของฉินอวี้โม่ จูเฟยชวี่ก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ทว่าเขาไม่เอ่ยสิ่งใดต่อให้มากความและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามฉินอวี้โม่

“ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ชนเผ่าวิหคโบยบินของเราซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ พวกเราเก็บตัวไม่สุงสิงและไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเกินไป สาเหตุที่เราทำเช่นนี้ก็เพื่อสืบหาข้อมูลอย่างลับๆและคอยจับตาดูว่ามีผู้ใดอีกหรือไม่ที่ต่อต้านฉินเหยียนและยังภักดีต่อเทพมายา หลังจากการสืบหาข่าวนานนับสิบปี พวกเราก็พอจะได้เบาะแสอยู่บ้าง ในเมื่อท่านคือเทพมายาคนใหม่ ท่านก็ควรจะต้องรับรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ก่อน และในเมื่อท่านอยู่ที่นี่แล้ว ท่านก็คงอยากจะสะสางปัญหาของที่นี่ เพราะเหตุนั้นเราจึงต้องหารือถึงแผนการต่อไป”

จูเฟยชวี่ยิ้มและกล่าวจุดประสงค์ของตนเอง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเห็นด้วย นางต้องหารือเรื่องแผนการต่อไป

“ผู้นำจู ท่านรู้รึไม่ว่าข้ามาจากที่ใด?”

หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าหากต้องมีการหารือจริงๆ ก็ควรที่จะให้ซูวั่งชวนและคนอื่นๆในชนเผ่าเมฆาครามทราบเรื่องเช่นกัน ทุกๆคนจะได้หารือร่วมกันและคิดหาหนทางแก้ไขปัญหาดีๆ

จูเฟยชวี่ส่ายศีรษะด้วยความไม่รู้

“คารวะผู้นำจู”

ทันทีที่เขาส่ายหน้า จู่ๆจูเฟยชวี่ก็เห็นซูน่าที่ปรากฏตัวข้างฉินอวี้โม่อย่างกะทันหันและคำนับเขาด้วยความเคารพ

“สาวน้อยซูน่างั้นรึ?”

แน่นอนว่าจูเฟยชวี่จำอีกฝ่ายได้ แม้ว่ายังคงตกตะลึง ทว่าเขาก็พอจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้รับข่าวว่าฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางบุกไปที่ชนเผ่าเมฆาคราม ครานั้นเลี่ยซานต่อสู้กับสตรีผู้หนึ่งและต้องพ่ายแพ้กลับไปจนอับอายขายขี้หน้า

บัดนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว สตรีผู้นั้นก็น่าจะเป็นฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง

จูเฟยชวี่เป็นคนที่เฉลียวฉลาด เขาเพียงยิ้มบางๆและเอ่ยออกไป “หากเป็นเช่นนั้น ข้าว่าวันนี้พวกเราควรจะพักผ่อนกันก่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะไปที่ชนเผ่าเมฆาครามพร้อมกับท่าน”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับทราบและเห็นด้วยกับอีกฝ่าย

.