ตอนที่ 400 หารือแผนการร่วมกัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เช้าตรู่ของวันต่อมา จูเฟยชวี่จัดการสิ่งต่างๆในชนเผ่าวิหคโบยบินก่อนเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่

ด้วยการขับเคลื่อนของคฤหาสน์เฟิงหัว ทั้งสามคนก็มาถึงชนเผ่าเมฆาครามอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และซูน่ากลับมาอย่างปลอดภัย ซูวั่งชวนและคนอื่นๆที่เป็นกังวลต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นจูเฟยชวี่ที่กลับมาพร้อมกับพวกนางด้วย ซูวั่งชวนและคนอื่นๆก็ตกใจไม่น้อย ทว่าพวกเขาเชื่อว่าชนเผ่าวิหคโบยบินน่าจะยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว

เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่พัฒนาขึ้นของฉินอวี้โม่ ซูวั่งชวนและทุกคนก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้ พรสวรรค์ของจอมยุทธ์ผู้นี้ผิดมนุษย์มากเกินไป ทว่าพวกเขาก็เหมือนจะเริ่มคุ้นชินแล้วเช่นกัน

“ไม่คิดเลยว่าการเดินทางไปที่ชนเผ่าวิหคโบยบินครานี้ ไม่เพียงแต่แผนการจะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีเท่านั้น ทว่าพลังของอวี้โม่ก็พัฒนาขึ้นมาก เกรงว่าอีกไม่นานพลังของอวี้โม่จะเหนือกว่าพวกเราทุกคนเป็นแน่”

ซูชิงอดกล่าวพร้อมทอดถอนหายใจไม่ได้ จู่ๆเขาก็รู้สึกเหมือนตนเองแก่ชรามากแล้ว

“ใช่แล้ว พรสวรรค์ของอวี้โม่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง แม้ว่านางจะมีกายวิเศษอย่างกายเทพมายา ทว่าความหมั่นเพียรพยายามของนางก็มากกว่าพวกเราทุกคน”

ซูน่าอดถอนหายใจไม่ได้ นางก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่ผ่านมาของฉินอวี้โม่เช่นกัน การที่สตรีผู้นี้พัฒนาจากการเป็น ‘ขยะไร้ค่า’ ไร้พลังมายาจากดินแดนหวนหลิงมาถึงปัจจุบันนี้ได้ พรสวรรค์อย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออย่างแน่นอน

ความหมั่นเพียรฝึกฝนและความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องของนางก็อยู่ในระดับที่มากกว่าคนทั่วไปและพวกเขาทั้งหมดควรเรียนรู้จากตัวอย่างเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ในหมู่ทุกคนที่นี่ ซูน่าก็รู้เรื่องของฉินอวี้โม่มากที่สุด สำหรับทุกอย่างที่ฉินอวี้โม่เคยเผชิญ หากปราศจากจิตวิญญาณที่แน่วแน่มั่นคง มันก็ยากที่จะต้านทานและรับมือได้

“ผู้อาวุโสซู ผู้นำซู ไม่ได้พบกันเสียนาน”

จูเฟยชวี่ยิ้มและกล่าวทักทายซูวั่งชวนและซูชิง

ซูวั่งชวนถือเป็นผู้อาวุโสของชนเผ่า จูเฟยชวี่ก็นับถือเขาในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง แม้ว่าซูวั่งชวนมิได้แข็งแกร่งมากเท่าเขา ทว่าจูเฟยชวี่ก็ยังแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างสมเกียรติ

“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าพลังของผู้นำจูจะแข็งแกร่งขึ้นมาก คนแก่อย่างข้ารู้สึกละอายใจจริงๆ”

ซูวั่งชวนอดถอนหายใจไม่ได้ เขารู้สึกชื่นชมจูเฟยชวี่อยู่ไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือลักษณะนิสัย จูเฟยชวี่ก็เป็นบุรุษที่คู่ควรแก่การผูกมิตรด้วย เพียงแต่ชนเผ่าวิหคโบยบินมักจะเก็บตัวและไม่สุงสิงกับผู้ใด อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะผูกมิตรกับใคร หากก่อนหน้านี้ทั้งสองได้พบปะสานสัมพันธ์กัน พวกเขาอาจกลายเป็นมิตรคนสนิทกันไปนานแล้ว

“มันเป็นเพียงเพราะข้อได้เปรียบทางสายเลือด หากต้องสู้กันจริงๆ ข้าก็คงเทียบท่านไม่ได้”

จูเฟยชวี่ยิ้มพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ

หากไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษของเขาเป็นผู้ใช้ข่ายอาคมผู้ทรงพลังอย่างยิ่งและด้วยความจริงที่ว่าพลังวิญญาณของสายเลือดตระกูลจูของเขาแกร่งกล้ากว่าจอมยุทธ์ทั่วไปเป็นอย่างมาก เขาก็อาจจะไม่มีความแข็งแกร่งอย่างในทุกวันนี้ได้

แม้ซูวั่งชวนเป็นยอดฝีมือเพียงขอบเขตเซียนขั้นสอง ประสบการณ์การต่อสู้และความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าจูเฟยชวี่ ยิ่งไปกว่านั้น ชนเผ่าเมฆาครามอาจดูเหมือนเป็นขุมกำลังที่อ่อนแอที่สุดในสามแห่ง ทว่าการที่สามารถยืนหยัดมาได้นานขนาดนี้ ซูวั่งชวนจะต้องมีไพ่ตายบางอย่างที่ทำให้ฉินส่าวชิงต้องหวั่นเกรงอย่างแน่นอน

“เอาล่ะ ทุกคนอย่าเพิ่งพิธีรีตองกันนักเลย วันนี้ที่ข้าเชิญผู้นำจูมาที่นี่ ทุกคนก็น่าจะทราบแล้วว่าจุดประสงค์คืออะไร ตามข้าเข้ามาในคฤหาสน์เฟิงหัวและพูดคุยหารือกันในนั้นเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและพยักศีรษะด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของซูวั่งชวนและคนอื่นๆที่ชื่นชมกันและกัน

ชนเผ่าเมฆาครามและวิหคโบยบินเป็นสองขุมกำลังที่นางสามารถพึ่งพาได้ในโลกมายาแห่งนี้ แน่นอนว่าการที่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเป็นไปด้วยดีก็เป็นสิ่งที่นางต้องการจะเห็น

ซูวั่งชวน จูเฟยชวี่และคนอื่นๆก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร จากนั้นพวกเขาก็ไม่รอช้าและมุ่งหน้าเข้าสู่คฤหาสน์หลังน้อยทันที

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ทุกคนนั่งลงตรงข้ามกันและบรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง

“ผู้นำจู ก่อนหน้านี้ท่านกล่าวไว้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านนี้ท่านสืบหาข่าวบางอย่างมาได้ ตอนนี้ท่านสามารถพูดมาได้เลย พวกเราทุกคนรอฟังอยู่”

ฉินอวี้โม่ชงชาให้กับทุกคนและเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

จูเฟยชวี่พยักศีรษะและกล่าว “ข้าคงไม่ต้องพูดเกี่ยวกับกองทหารหงเฟิงมากนัก เชื่อว่าผู้อาวุโสซูก็น่าจะบอกท่านแล้ว กองทหารหงเฟิงเป็นขุมกำลังที่เราเชื่อได้ใจ หากเราติดต่อกับผู้บัญชาการของพวกเขาได้ การร่วมมือกันก็คงไม่ใช่เรื่องยาก”

ฉินอวี้โม่และซูวั่งชวนพยักศีรษะพร้อมกัน ทั้งสองรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การติดต่อสื่อสารกับขุมกำลังลึกลับนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“แน่นอนว่าการติดต่อผู้บัญชาการของพวกเขาจะเป็นปัญหาสักหน่อย อย่างไรก็ตาม เราเพิ่งได้รับข่าวมาเมื่อไม่กี่วันก่อน หากข่าวนั้นเป็นความจริง ข้าคิดว่าเราน่าจะติดต่อกับพวกเขาในอนาคตอันใกล้นี้ได้”

เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของฉินอวี้โม่และซูวั่งชวน จูเฟยชวี่ก็ยิ้มและกล่าวเสริม

วาจาของจูเฟยชวี่ทำให้ทั้งสองแปลกใจไปชั่วขณะและมองจูเฟยชวี่ด้วยแววตาสงสัย

“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสซู ท่านน่าจะเคยได้ยินว่าหลังจากนี้ประมาณหนึ่งปีจะมีซากปรักหักพังที่ปรากฏขึ้นมาบนภูเขาอเวจี”

จูเฟยชวี่กล่าวขณะมองมาที่ซูวั่งชวน

ซูวั่งชวนพยักศีรษะเบาๆ เขาเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน

“จากข้อมูลที่เราได้รับ ซากปรักหักพังนี้น่าจะถูกทิ้งไว้โดยผู้ใช้ข่ายอาคมที่เก่งกาจคนหนึ่งและไม่อาจรู้มูลค่าของมันได้ ฉินเหยียนก็สนใจเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่อยู่ภายในซากปรักหักพังนั้นเช่นกันและจะต้องส่งคนที่นางไว้วางใจไปที่นั่นด้วยตัวเองอย่างแน่นอน.. และด้วยลักษณะของกองทหารหงเฟิง พวกเขาไม่มีทางยอมให้ฉินเหยียนทำสำเร็จ หากข้าคิดไม่ผิด ผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงน่าจะไปที่ซากปรักหักพังด้วยตัวเองเพื่อขโมยสิ่งต่างๆภายในซากปรักหักพังไป เมื่อถึงตอนนั้น หากเราไปด้วยกัน เราจะมีโอกาสติดต่อกับเขาได้”

ข่าวเรื่องกองทหารหงเฟิงเป็นข้อสันนิษฐานของจูเฟยชวี่ ทว่าข่าวเรื่องฉินเหยียนนั้น เขาได้รับข่าวสารมาอย่างชัดเจน

ซากปรักหักพังของผู้ใช้ข่ายอาคมที่ยิ่งใหญ่ผู้นั้นล่อตาล่อใจเป็นอย่างยิ่ง หากสามารถเข้าไปได้ ที่นั่นจะต้องมีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่และมีโอกาสดีๆอย่างแน่นอน

ในฐานะผู้กุมอำนาจชั่วคราวของโลกมายา ฉินเหยียนไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นได้มันไปครอบครอง จากข่าวที่จูเฟยชวี่ได้รับมา ฉินส่าวชิงเจ้าเมืองเพลิงมายาจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง และนอกเหนือจากเจ้าเมืองวารีมายา เจ้าเมืองอีกสองคนก็จะไปที่นั่นเช่นกัน ครานี้เกรงว่าจะต้องเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นแน่

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะรับทราบ นางเชื่อว่าข้อสันนิษฐานของจูเฟยชวี่น่าจะไม่คลาดเคลื่อน หากเป็นเช่นนั้น ผู้บัญชาการกองทหารหงเฟิงก็จะมุ่งหน้าไปที่นั่นด้วยตัวเองในขณะที่ฉินเหยียนไม่สามารถไปที่นั่นได้เพราะยังมีหน้าที่ต้องคอยควบคุมดูแลเมืองมายา เมื่อถึงเวลานั้น โอกาสของพวกนางก็จะมาถึงอย่างแน่นอน

“เหตุใดเจ้าเมืองวารีมายาถึงไม่ไปล่ะ?”

ความเป็นจริงแล้วในบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายในโลกมายา เจ้าเมืองวารีมายาเป็นผู้ที่ลึกลับมากที่สุดและยากที่ผู้ใดจะเข้าใจความคิดของเขา

เขาเป็นคนที่กลุ่มผู้ทรยศพามาที่นี่ ทว่าเขาก็ไม่ได้แสดงความเคารพใดๆต่อฉินเหยียนผู้เป็นเจ้าเมืองมายาแม้แต่น้อย

เมืองวารีมายาเป็นเหมือนขุมกำลังอิสระที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของฉินเหยียนและเจ้าเมืองวารีมายาก็ไม่เคยเห็นฉินเหยียนอยู่ในสายตา

สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าก็คือฉินเหยียนผู้นั้นเป็นสตรีที่ทรงพลังและเผด็จการอย่างยิ่ง ทว่านางเหมือนจะไม่มีทางจัดการหรือควบคุมเจ้าเมืองวารีมายาได้เลยและไม่กล้าทำอะไรเขาเลยสักนิด

ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าฉินเหยียนจะปล่อยให้คนผู้นั้นจัดการดูแลหลายขุมกำลังในเมืองวารีมายาด้วยตนเองและไม่เคยเข้าไปแทรกแซง นางไม่กล้าส่งคนไปที่เมืองนั้นด้วยซ้ำและไม่กล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในของเมืองวารีมายา

“ข้าก็ไม่ทราบเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เจ้าเมืองวารีมายาเป็นบุคคลที่ลึกลับมาก เราไม่เคยเห็นหรือทราบถึงรูปลักษณ์ของเขาด้วยซ้ำและไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้เลย”

จูเฟยชวี่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เมืองวารีมายาลึกลับมาเสมอ แม้ว่าบัดนี้คนจากชนเผ่าวิหคโบยบินหลายคนได้แทรกซึมเข้าไปในขุมกำลังใหญ่ต่างๆแล้ว ทว่าไม่มีผู้ใดแทรกซึมเข้าไปในเมืองวารีมายาได้สำเร็จเลยแม้แต่คนเดียว

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและนึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเจ้าเมืองวารีมายาผู้นี้ขึ้นมา นางมีลางสังหรณ์มาเสมอว่าเจ้าเมืองผู้นี้น่าจะเป็นมิตร มิใช่ศัตรู หากว่ามีโอกาส นางจะต้องลองติดต่อกับอีกฝ่ายดู

 “อีกอย่าง ข้าลองพยายามติดต่อกับผู้ที่ภักดีต่อบรรพชนเทพมายาแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะกำลังคิดไตร่ตรองกันอยู่ ก็ไม่มีใครที่กล้าทำสิ่งใดที่ออกนอกหน้า ทว่าหากเรามีความแข็งแกร่งที่สามารถโน้มน้าวใจพวกเขาได้ เมื่อสงครามเริ่มต้น พวกเขาจะเข้ามาอยู่กับฝ่ายเราอย่างแน่นอน”

อันที่จริง ชนเผ่าวิหคโบยบินกระทำการหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ทว่าก็มีคนเพียงน้อยนิดที่รู้เท่านั้น

“เอาล่ะ โลกมายาแห่งนี้มีรากฐานมาจากเทพมายา ต่อให้มีหลายคนที่ยอมจำนนภายใต้แรงกดดันของฉินเหยียน ทว่าก็ยังมีคนอีกมากที่รังเกียจวิธีการของนาง ยิ่งไปกว่านั้นน่าจะมีคนไม่น้อยที่ยังคงจงรักภักดีต่อเทพมายา ตราบใดที่เราเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี เราก็มีโอกาสสูงที่จะเอาชนะได้”

ซูวั่งชวนพยักศีรษะและแสดงความคิดเห็นของเขา

เมื่อได้ฟังวาจาของซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่ อดีตนักฆ่าสาวก็มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆจะไม่เลวร้ายอย่างที่นางคิดไว้ในตอนแรก โอกาสคว้าชัยชนะของพวกนางยังถือว่ามีสูงพอสมควร

“อวี้โม่ ทำไมเจ้าไม่ลองบอกแผนการต่อไปของเจ้ากับพวกเราล่ะ?”

สายตาของซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่มองตรงมาที่ฉินอวี้โม่เพื่อรอฟังแผนการต่อไปที่ฉินอวี้โม่คิดไว้

“ในเมื่อซากปรักหักพังนั่นจะยังไม่ปรากฏขึ้นมาจนกว่าจะถึงปีหน้า เราก็ควรใช้เวลานี้ในการเสริมสร้างกำลังและฝึกยุทธ์อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกัน ข้าจะจับอสูรมายาและหลอมอุปกรณ์ที่จะเป็นตัวช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับเรา อีกสักพักหลังจากจัดการเรื่องของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางเสร็จสิ้น ข้าวางแผนที่จะไปจากที่นี่ก่อนและออกไปท่องโลกมายา จากนั้นเมื่อซากปรักหักพังปรากฏขึ้น เราจะรวมตัวกันอีกครั้ง”

ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองครู่หนึ่งและเอ่ยถึงแผนการของตนเองออกไป

ในเมื่อซากปรักหักพังจะปรากฏขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้า พวกเขาก็มีเวลาเตรียมตัวถึงหนึ่งปีเต็มๆ

ด้วยพลังในปัจจุบันของฉินอวี้โม่ การที่ต้องการจะทะลวงพลังไปถึงขอบเขตเซียนเป็นเรื่องที่ยากในระดับหนึ่ง นางเชื่อว่าหากพัฒนาจนไปถึงขอบเขตเซียนขั้นหนึ่งได้ก่อนซากปรักหักพังปรากฏ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นมาก

การอยู่ต่อในชนเผ่าเมฆาครามก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร นางจึงตัดสินใจที่จะออกไปท่องโลกภายนอกและสืบข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันไปพร้อมกัน เมื่อถึงเวลาที่ซากปรักหักพังปรากฏ ทุกคนก็จะไปพบกันที่นั่น

อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงตอนนั้น นางจะต้องสะสางเรื่องของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางให้ได้เสียก่อน มิฉะนั้นนางคงไม่อาจไปจากที่นี่ได้อย่างสบายใจ

“จัดการอะไรรึ?”

จูเฟยชวี่ผู้ซึ่งมาจากชนเผ่าอื่นไม่ได้รับรู้ถึงเรื่องดังกล่าว เขาจึงขมวดคิ้วและเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ซูชิงเป็นคนเอ่ยตอบและเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้จูเฟยชวี่ได้ทราบ

เมื่อได้ยินเรื่องราว ผู้นำชนเผ่าวิหคโบยบินก็พยักศีรษะและไม่เอ่ยสิ่งใดอีก ทว่าสมองของเขากำลังแล่นอย่างรวดเร็วเพื่อคิดหาวิธี

เวลานี้ฉินอวี้โม่ไม่ได้กังวลถึงสิ่งใด ด้วยพลังของนางในปัจจุบัน นางสามารถต่อสู้และรับมือกับฉินส่าวชิงได้อย่างง่ายดาย นางเพียงต้องแสดงพลังเพื่อทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวเท่านั้น นางเชื่อว่าฉินส่าวชิงมิใช่คนเขลาและเขาน่าจะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง

.