ตอนที่ 401 ระยะเวลาหนึ่งร้อยวัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

วันต่อๆมา ชีวิตของฉินอวี้โม่ก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายสบายๆ

แม้ให้คำมั่นว่าจะช่วยชนเผ่าเมฆาครามและวิหคโบยบินเสริมความแข็งแกร่ง ทว่าการควบคุมสั่งการเหล่าสมาชิกของทั้งสองชนเผ่าโดยซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่ก็ทำให้นางผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขามิได้ส่งวัสดุระดับต่ำมาให้กับนาง ทว่าส่งเพียงวัสดุระดับสูงในจำนวนที่ไม่มากนัก

ฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาเพียงวันเดียวในการหลอมอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมเป็นจำนวนมากกว่าสิบชิ้นด้วยวัสดุสิ่งหลอมทั้งหมดที่ได้รับมา

อย่างไรก็ตาม การสยบอสูรก็ง่ายยิ่งกว่าเสียอีก

ทั้งซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่ส่งคนฝีมือดีออกไปจับอสูรมายาระดับสูงมา ส่วนฉินอวี้โม่ก็มีหน้าที่เพียงแค่สยบพวกมันเท่านั้น

เพราะเหตุนั้น ชีวิตของนางในแต่ละวันจึงน่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกัน การสยบอสูรมายาจำนวนมากและหลอมอุปกรณ์ระดับสูงส่งผลให้ความแข็งแกร่งของนางพัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน

หากสถานการณ์ยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป นักฆ่าสาวเชื่อว่าตนเองจะบรรลุเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนที่แท้จริงก่อนซากปรักหักพังจะปรากฏขึ้นมาอย่างแน่นอน

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน อสูรมายาระดับสูงจำนวนมากใกล้บริเวณเมืองเพลิงมายาก็ถูกจับตัวมาทั้งหมด จอมยุทธ์อิสระที่อยู่ในบริเวณนี้ต่างก็งุนงงและไม่อาจเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลย ที่นี่เคยคึกคักและเต็มไปด้วยอสูรมายานานาชนิด ทว่าบัดนี้พวกเขากลับไม่พบอสูรมายาระดับสูงด้วยซ้ำ

และด้วยการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ ไม่มีทางที่มันจะไม่แพร่งพรายไปถึงหูฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางแห่งชนเผ่าเพลิงคำราม

“ในช่วงที่ผ่านมานี้คนของจูเฟยชวี่และซูวั่งชวนออกตระเวนจับอสูรมายาเป็นจำนวนมาก พวกนั้นกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฉินส่าวชิงขมวดคิ้วมุ่นด้วยลางสังหรณ์ในใจว่าต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

เลี่ยหยางส่ายศีรษะเบาๆ เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เหตุใดจู่ๆชนเผ่าที่ปลีกวิเวกเก็บตัวมาตลอดอย่างชนเผ่าวิหคโบยบินจึงออกตระเวนจับตัวอสูรมายาจำนวนมากและปรากฏตัวให้สาธารณะได้เห็น?

“เป็นไปได้รึไม่ว่ามีผู้ฝึกสัตว์อสูรที่ทรงพลังปรากฏขึ้นในชนเผ่าทั้งสอง พวกเขาจึงจับอสูรมายามากมายเช่นนี้เพื่อสยบพวกมัน?”

เลี่ยซานเอ่ยขึ้นเบาๆโดยไม่ทราบเลยว่าตนเองคาดเดาได้ถูกต้องในทันที

อย่างไรก็ตาม เลี่ยหยางและฉินส่าวชิงมองหน้ากันพร้อมส่ายศีรษะไม่คล้อยตามข้อสันนิษฐานของเลี่ยซาน

“ไม่มีทางหรอก ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เราจับตาดูทั้งสองชนเผ่าอยู่ไม่ห่าง เราไม่พบผู้มาใหม่เข้ามาและไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ฝึกสัตว์อสูรฝีมือดีปรากฏตัว และจากความเข้าใจของข้า หากพวกเขาปรากฏตัวในเมืองนี้จริง พวกเขาก็น่าจะเก็บตัวมิดชิดมากกว่านี้ มิใช่กระทำการอย่างโจ่งแจ้งจนรู้มาถึงหูพวกเรา”

เลี่ยหยางส่ายศีรษะเบาๆ เขาส่งคนออกไปจับตาดูทั้งชนเผ่าวิหคโบยบินและชนเผ่าเมฆาครามก่อนแล้ว และตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีผู้มาใหม่คนใดไปที่นั่น

เมื่อได้ยินวาจาของเลี่ยหยาง เลี่ยซานก็เริ่มคล้อยตามและสลัดข้อสันนิษฐานที่ถูกต้องของตนเองทิ้งไป

“หรือว่าพวกเขาจะจงใจทำเช่นนี้เพื่อทำให้เราคิดไปไกล เป็นการทำสงครามทางจิตวิทยาเพื่อบั่นทอนขวัญและกำลังใจของพวกเรา?”

เลี่ยซานคิดข้อสันนิษฐานข้อใหม่และขมวดคิ้วมุ่น

ครานี้เลี่ยหยางและฉินส่าวชิงพยักศีรษะเห็นด้วย พวกเขารู้สึกว่าข้อคาดเดานี้มีความเป็นไปได้สูง

“อีกอย่าง..ช่วงนี้จอมยุทธ์อวี้โม่นั่นมีการเคลื่อนไหวใดรึไม่?”

ฉินส่าวชิงเอ่ยถามและไม่คาดเดาในเรื่องนี้อีกต่อไป ไม่ว่าอย่างไร เมื่อถึงเวลา สิ่งที่ทั้งสองชนเผ่าพยายามทำก็จะประจักษ์ชัดเจน

“ไม่มี ตามข้อมูลจากคนที่เราส่งออกไปสืบข่าว นางไม่เคยออกจากชนเผ่าเมฆาครามเลยและเพียงแค่เก็บตัวฝึกยุทธ์อยู่ข้างใน เจ้าเมืองก็รู้ดีว่าคนของเราเข้าไปในชนเผ่าเมฆาครามไม่ได้ เพราะเหตุนั้นเราจึงไม่อาจทราบได้ว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่ภายในชนเผ่า”

เลี่ยหยางเอ่ยตามความจริงที่ได้รับมา เขาส่งคนออกไปจับตาดูรอบชนเผ่าเมฆาครามและได้รับรายงานกลับมาว่าไม่มีผู้ใดเห็นฉินอวี้โม่ก้าวเท้าออกจากชนเผ่าแม้แต่ก้าวเดียว หากพิจารณาความจริงข้อนี้ นางก็น่าจะเก็บตัวอยู่ในชนเผ่าตลอดเวลาและไม่คิดที่จะหลบหนี

อย่างไรก็ตาม พวกเขาเหล่านี้ไม่อาจทราบเลยว่าฉินอวี้โม่มีคฤหาสน์เฟิงหัวอยู่ สำหรับคนที่พวกเขาส่งออกไปสืบข่าวนั้น ไม่ว่าจะทรงพลังเพียงใดก็ไม่สามารถค้นพบคฤหาสน์มิติของฉินอวี้โม่ได้ นางสามารถผ่านเข้าออกชนเผ่าได้อย่างอิสระโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมาพบเห็น

“การกำหนดช่วงเวลาหนึ่งร้อยวันก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจเท่าไหร่นัก อีกไม่นานก็จะครบกำหนดหนึ่งร้อยวันแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเราจะต้องไม่ทำผิดพลาดเหมือนกับคราก่อนอีก”

ฉินส่าวชิงพยักศีรษะเบาๆ ทว่าเขาตัดสินใจแล้วว่าเมื่อครบกำหนดเวลา เขาจะต้องกำจัดชนเผ่าเมฆาครามไปจนสิ้นซากและช่วยให้ขุมกำลังที่เขาสนับสนุนขึ้นมาแทนที่ให้ได้

“ท่านเจ้าเมือง ไม่ต้องกังวลไป ครานี้เราจะไม่ล้มเหลวอย่างแน่นอน!”

เลี่ยหยางพยักศีรษะพร้อมกล่าวด้วยความมั่นใจ ครานี้พวกเขาพร้อมสำหรับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น เมื่อเวลานั้นมาถึง ฉินอวี้โม่และชนเผ่าเมฆาครามจะตกอยู่ในกำมือของพวกเขาอย่างแน่นอน

“ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น”

เจ้าเมืองเพลิงมายากล่าวเพียงสั้นๆโดยไม่เอ่ยสิ่งใดอีกต่อไป

…..

ณ อีกฟากหนึ่งของเมือง ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆรวมถึงบุคคลสำคัญหลายคนของชนเผ่าวิหคโบยบินกำลังสนทนาพาทีกันอย่างออกรสอยู่ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว

“ท่านเทพมายา ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งที่ผ่านมานี้ พลังของพวกเราทั้งสองชนเผ่าแกร่งกล้าขึ้นมากว่าหลายเท่าตัว บัดนี้ต่อให้ชนเผ่าเพลิงคำรามคิดจะทำสิ่งใดอุกอาจ เราจะสร้างความตกใจให้กับพวกเขาโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและตอบโต้กลับไปอย่างทันควัน!”

ผู้อาวุโสจากชนเผ่าวิหคโบยบินกล่าวพร้อมรอยยิ้มประดับบนใบหน้า

“ใช่แล้ว ครานี้ท่านเทพมายาเสริมความแข็งแกร่งให้กับพวกเราสองชนเผ่าได้เป็นอย่างมาก อย่าว่าแต่ชนเผ่าในเมืองเพลิงมายาเลย ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นชนเผ่าอื่นๆในดินแดน เราก็มีพลังที่จะประจันหน้าได้โดยที่ไม่ตกเป็นรอง”

ผู้อาวุโสใหญ่ของชนเผ่าเมฆาครามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคารพต่อฉินอวี้โม่อย่างมาก

ระหว่างช่วงที่ผ่านมา ซูวั่งชวนได้บอกตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ให้กับสหายคนสนิทบางคน ในตอนแรกที่พวกเขาทราบว่านางคือเทพมายาคนใหม่ พวกเขาทั้งเป็นกังวลและไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม หลังได้เห็นพลังและความสามารถของสตรีผู้นี้ พวกเขาก็ยอมจำนนต่อนางอย่างแท้จริง พวกเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้การควบคุมของฉินอวี้โม่ พวกเขาจะสามารถพัฒนาเป็นขุมกำลังอันดับต้นๆของโลกมายาได้และสามารถนำพาความรุ่งเรืองมาสู่ชนเผ่าเมฆาคราม

“น่าเสียดายที่เราไม่มีอสูรมายาระดับสูงอีกแล้ว หากยังมีหลงเหลือ ความแข็งแกร่งของเราจะพัฒนาขึ้นได้อีก”

ใครคนหนึ่งอดกล่าวพร้อมทอดถอนหายใจไม่ได้

“อีกอย่าง เจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามจะต้องรู้การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของเราแน่ อยากรู้นักว่าพวกเขาจะมีความคิดเห็นอย่างไร?

ซูน่าเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้มมุมปาก เวลานี้นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับชนเผ่าเพลิงคำรามอย่างยิ่ง

“ข้าคิดว่าพวกเขาน่าจะคิดว่าเราจงใจทำสิ่งเหล่านี้เพื่อสร้างความหวาดหวั่นให้กับพวกเขา มิฉะนั้นพวกเขาคงปรี่มาที่นี่ด้วยตัวเองแล้ว”

ซูวั่งชวนกล่าว ในฐานะผู้ที่มีประสบการณ์โชกโชนที่สุดในที่แห่งนี้ แน่นอนว่าเขาพอจะเข้าใจความคิดของเลี่ยหยางและฉินส่าวชิงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ด้วยลักษณะนิสัยเฉพาะตัวของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยาง หากทราบว่าทั้งสองชนเผ่าจับอสูรมายาทั้งเมืองมาเพื่อทำการสยบ คนพวกนั้นจะต้องรีบปรี่เข้ามาที่นี่เพื่อเห็นความจริงกับตาตัวเองอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาเก็บตัวเงียบมากเกินไป นั่นก็อาจทำให้เลี่ยหยางและพวกคิดสงสัยขึ้นมา ทว่าในเมื่อพวกเขาแสดงตัวอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เลี่ยหยางและคนอื่นๆคงคิดว่าพวกเขาเพียงแค่แสร้งทำตัวน่าสงสัยและต้องการทำสงครามจิตวิทยา ดังนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

จูเฟยชวี่ ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็พยักศีรษะ แน่นอนว่านั่นคือผลลัพธ์ที่พวกเขาต้องการอยู่แล้ว เมื่อถึงคราประจันหน้ากัน ทุกคนจากชนเผ่าเพลิงคำรามจะต้องตกใจกับสิ่งที่คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน

“ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าพวกเขาจะคิดทำการใดเมื่อครบหนึ่งร้อยวัน”

จูเฟยชวี่ยิ้มและกล่าว “ทว่าเมื่อถึงเวลานั้น หากต้องการความช่วยเหลือ ชนเผ่าวิหคโบยบินเราจะช่วยอย่างเต็มที่แน่นอน”

“ถ้างั้นข้าก็ต้องขอบคุณผู้นำจูเป็นการล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม หากข้าคิดถูก ฉินส่าวชิงจะต้องฉวยโอกาสนี้ในการทำให้ชนเผ่าเมฆาครามเราอ่อนกำลังลง ทว่าเขาคงจะหารู้ไม่ว่าชนเผ่าของเราในเวลานี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ต่อให้พลังของข้าไม่แกร่งกล้าเท่าฉินส่าวชิง ทว่าหากเขาต้องการที่จะจัดการกับพวกเรา ข้าเกรงว่าเขาคงจะไม่มีฝีมือเพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้”

ต้องกล่าวก่อนเลยว่าซูวั่งชวนเข้าใจลักษณะนิสัยและระบบความคิดของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางอย่างชัดเจนจนสามารถคาดการณ์แผนการของทั้งสองได้ไม่ยาก

แรกเริ่มเดิมที ซูวั่งชวนยังคงกังวลพอสมควร ทว่าหลังจากการเสริมความแข็งแกร่งที่ผ่านมานี้ ชนเผ่าเมฆาครามก็มิใช่ชนเผ่าเดิมเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

ชนเผ่าเมฆาครามในเวลานี้ หากทำสงครามกับชนเผ่าเพลิงคำราม พวกเขาจะเป็นฝ่ายได้เปรียบและทำให้ฝ่ายเพลิงคำรามเผชิญกับความสูญเสียได้อย่างแน่นอน

เมื่อถึงตอนนั้น ฉินส่าวชิงคงต้องพิจารณาเสียใหม่ว่าจะเสียหน้าและล่มจมไปพร้อมกับชนเผ่าเพลิงคำรามหรือไม่

“หากมีโอกาส เราต้องทำลายชนเผ่าเพลิงคำรามและฉินส่าวชิงให้ได้ก่อน ตราบใดที่ทั้งสองถูกกำจัด เมืองเพลิงมายาก็จะตกอยู่ในการควบคุมของเรา อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยุ่งยากเสียหน่อยและต้องใช้การไตร่ตรองพิจารณาในระยะยาว”

ซูชิงเอ่ยความคิดที่ผุดขึ้นในหัวด้วยน้ำเสียงมุ่งร้ายเล็กน้อย

เมื่อได้ยินวาจาของซูชิง ซูวั่งชวนและจูเฟยชวี่ก็พยักศีรษะเบาๆ ทั้งสองรู้สึกว่าสิ่งที่ซูชิงกล่าวมานั้นสมเหตุสมผลทีเดียว

ฉินอวี้โม่เองก็พยักศีรษะเช่นกัน หากยึดการควบคุมเมืองเพลิงมายามาได้ก่อนก็ถือเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ยุ่งยากไม่น้อย

“อันที่จริง ข้าคิดว่าไม่ยากหรอก เพียงแค่ต้องขอความร่วมมือจากทุกคน”

จู่ๆอาอู่ผู้ซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยแทรกขึ้นราวกับเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

“อาอู่ เจ้ามีความคิดอะไรอยู่รึ?”

เมื่อได้ยินวาจาของอาอู่ สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เขาทันที ในช่วงที่ผ่านมา บุรุษหนุ่มได้แสดงให้เห็นสติปัญญาอันชาญฉลาดและกลยุทธ์ยอดเยี่ยมซึ่งทำให้ทุกคนมองเขาด้วยแววตาชื่นชม

ฉินอวี้โม่เล็งเห็นว่าอาอู่คือจอมยุทธ์ที่มีอนาคตไกลและสามารถพัฒนาไปได้อีกมาก ไม่ต้องกล่าวถึงพรสวรรค์ของเขาด้วยซ้ำ เพียงแค่กลยุทธ์ของเขาเพียงอย่างเดียวก็เหนือชั้นกว่าคนทั่วไปมากมาย

“ข้าคิดว่าฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องผลประโยชน์ของตนเอง เพราะฉะนั้นหากมีบางสิ่งที่ล่อตาล่อใจ พวกเขาจะไม่อยู่เฉยและรีบมุ่งหน้ามาด้วยตัวเองแน่ เมื่อถึงตอนนั้นหากเราวางแหฟ้าตาข่ายดินได้ การจัดการพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

* 天罗地网 แหฟ้าตาข่ายดิน เปรียบถึงการล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างหนาแน่น

อาอู่กล่าวอธิบายในสิ่งที่คิดไว้

แม้ว่าเขายังมีอายุน้อย ความสามารถในการอ่านคนของเขาก็ไม่เป็นสองรองใคร เขาพอจะรู้จักนิสัยตัวตนของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางพอสมควร

ทั้งสองเป็นบุคคลที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง หากมีสิ่งใดปรากฏขึ้นและน่าสนใจสำหรับพวกเขา คนทั้งสองจะต้องอดใจไม่ไหวอย่างแน่นอน

“เพราะฉะนั้นข้าคิดว่าเราควรจะหาสิ่งที่ดึงดูดใจและทำให้เป้าหมายเข้ามากินเหยื่อ จากนั้นทุกอย่างก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเรา”

เมื่อได้ฟังวาจาของอาอู่ ทุกคนก็พยักศีรษะอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยความรู้สึกที่ว่าสิ่งที่อาอู่กล่าวมานั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง

“อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาสิ่งที่ล่อตาล่อใจพวกเขาทั้งสองได้ ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้หาพบ การโน้มน้าวใจพวกเขาให้เป็นไปตามแผนของเราก็ยุ่งยากทีเดียว”

ซูชิงกล่าวแสดงความเห็น เรื่องนี้ยังต้องได้รับการไตร่ตรองเป็นเวลานาน

ทว่าทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากและกล่าว “เมื่อได้ยินอาอู่กล่าวเช่นนั้น ข้าก็พอจะมีความคิดบางอย่าง”

.