ตอนที่ 402 แผนการล่อลวง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

สิ่งที่อาอู่กล่าวเมื่อครู่ได้จุดประกายบางอย่างให้กับฉินอวี้โม่ แท้จริงแล้วสิ่งที่ดึงดูดใจทั้งเลี่ยหยางและฉินส่าวชิงนั้นหาได้ไม่ยากเลย

ไม่ว่าจะเป็นสมบัติหายากหรืออสูรมายาระดับสูง พวกเขาจะต้องสนใจอย่างแน่นอน

เพียงแต่สองสิ่งนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวออกมาด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นหากต้องการล่อลวงให้ทั้งสองออกมา ของสิ่งนั้นจะต้องเป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจพวกเขาจนไม่อาจปล่อยผ่านไปได้

และบังเอิญว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆสามารถร่วมมือกันสร้างขึ้นมาได้

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทุกคนก็หันมามองนางด้วยความสงสัยเป็นตาเดียว

“อีกหนึ่งปีข้างหน้า เลี่ยหยางและฉินส่าวชิงจะไม่มีทางพลาดซากปรักหักพังของยอดฝีมือผู้ใช้ข่ายอาคมอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าพวกเขาสนใจในซากปรักหักพังนี้มาก หากเราสร้างซากปรักหักพังปลอมขึ้นมาและวางแหฟ้าตาข่ายดิน พวกเราจะจัดการกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของซูวั่งชวน ซูชิงและจูเฟยชวี่ก็เป็นประกาย คำพูดของฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขานึกขึ้นได้ในทันที

คนอื่นๆก็ยังคงฉงนสนเท่ห์และพวกเขาไม่กล้าเอ่ยถามโดยตรง

“ท่านเทพมายา ท่านพูดถูกทุกอย่าง เราเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่ล่อตาล่อใจอย่างซากปรักหักพังได้แน่ เพียงแต่การสร้างมันขึ้นมานั้นยากเย็นเกินไปและมันยังต้องเป็นซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสมบัติซึ่งเพียงพอจะทำให้ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางสนใจอีกด้วย มิฉะนั้นพวกเขาไม่มีทางมาด้วยตัวเองแน่”

ใครคนหนึ่งเอ่ยความกังวลใจที่มีและคนอื่นๆก็พยักศีรษะเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว

“ฮ่าๆๆ ใช่แล้วล่ะ การสร้างซากปรักหักพังนั้นยากเย็นอย่างยิ่ง ทว่าหากเราต้องการเพียงแค่หาซากปรักหักพังของปลอมมา มันก็ไม่ยากนัก บังเอิญคฤหาสน์เฟิงหัวของข้าก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดพอดี”

หากเป็นซากปรักหักพังอื่นๆ ฉินอวี้โม่คงต้องกังวลเรื่องการหลบหนีของฉินส่าวชิงและเลี่ยหยาง อย่างไรก็ตาม หากใช้คฤหาสน์เฟิงหัวของนางเป็นซากปรักหักพังปลอม ตราบใดที่เป้าหมายทั้งสองเข้ามาข้างใน ต่อให้มีปีกบิน พวกเขาก็ไม่มีทางหลบหนีออกไปได้

เมื่อได้ยินวาจาของเทพมายาคนใหม่ บรรดาผู้ที่ยังฉงนสงสัยก็เริ่มเชื่อมั่นขึ้นมา

“เพียงแต่ว่าเราจะจัดการอย่างไรไม่ให้ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางไหวตัวทันและค้นพบว่านี่เป็นกับดักที่เราวางไว้? ยิ่งไปกว่านั้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันจะไม่ดึงดูดความสนใจของขุมกำลังอื่นๆด้วยรึ? เมื่อถึงตอนนั้นเรื่องจะไม่ยุ่งยากไปกันใหญ่รึ?”

อีกคนเอ่ยถามและแสดงถึงความสงสัยของตนเอง

“ไม่ยากหรอก ตราบใดที่ซากปรักหักพังมิได้มีขนาดใหญ่ คนจากเมืองอื่นๆก็คงจะไม่ทุ่มเทลงทุนมาถึงที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น เราก็สามารถสะสางปัญหาทุกอย่างให้เสร็จสิ้นก่อนที่ขุมกำลังอื่นจะรู้เรื่องนี้”

ซูวั่งชวนเอ่ยตอบ เขาไม่กังวลเรื่องนี้เลยสักนิด

โลกมายายังคงกว้างใหญ่ยิ่งนัก และต่อให้ขุมกำลังอื่นรู้ข่าว คนเหล่านั้นก็ต้องใช้เวลานานกว่าที่จะมาถึงได้ เพียงแค่พวกเขาสะสางปัญหาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว พวกเขาก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใดอีก

“การทำให้พวกเขาเชื่อไม่ใช่เรื่องยาก ชนเผ่าวิหคโบยบินเราเก็บตัวลึกลับมาโดยตลอดและอยู่ในตำแหน่งที่ดีพอสมควร หากมีข่าวเรื่องซากปรักหักพังจากชนเผ่าวิหคโบยบิน ข้าเชื่อว่าฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางจะไม่สงสัยเป็นแน่”

จูเฟยชวี่ยิ้มออกมาเช่นกัน เขาเองก็มีความคิดอยู่ในใจ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ชีวิตของเจ้าเมืองเพลิงมายาและผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามจะต้องจบลงอย่างแน่นอน

หลายคนหันมองหน้ากันด้วยความเข้าใจและหารือกันต่อในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่

จนกระทั่งช่วงเย็น ในที่สุดทุกคนก็วางแผนเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังไม่รีบร้อน แผนการที่วางไว้ยังต้องรอจนกระทั่งครบกำหนดระยะหนึ่งร้อยวันเพื่อทดสอบฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางก่อน

หลังจากวางแผนเสร็จสิ้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัว ฉินอวี้โม่ก็อาศัยอยู่ในชนเผ่าเมฆาครามเพื่อรอครบกำหนดหนึ่งร้อยวันอย่างใจเย็น

ตลอดช่วงหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ฝึกยุทธ์มากนัก นางใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสนทนาพาที ศึกษาข่ายอาคมและให้คำแนะนำอาอู่ ซูน่าก็แวะเวียนมาหานางเป็นครั้งคราวเพื่อประชันฝีมือ แม้ว่านางจะกลับไปพร้อมรอยช้ำที่จมูกและใบหน้าปูดบวมทุกคราที่ประชันฝีมือกัน คุณหนูแห่งชนเผ่าเมฆาครามก็ยังรู้สึกสนุกสนานและความแข็งแกร่งของนางก็พัฒนาขึ้นมาก

ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา ในที่สุดก็ครบกำหนดระยะเวลาหนึ่งร้อยวัน

เช้าตรู่ของวันนั้น ฉินอวี้โม่และคณะมุ่งหน้าออกไปที่รอบนอกอาณาเขตของชนเผ่าเมฆาครามเพื่อรอการมาถึงของฉินส่าวชิง เลี่ยหยางและคนอื่นๆ

“ซูน่า ดูเหมือนเจ้าใกล้จะทะลวงพลังแล้ว”

เมื่อสัมผัสได้ว่าสภาวะพลังของซูน่าปั่นป่วนเล็กน้อย ฉินอวี้โม่ก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว ข้าถูกเจ้ารังแกมาตลอดหลายวันนี้และได้เรียนรู้มามาก ข้ารู้สึกได้เลยว่าในช่วงไม่กี่วันข้างหน้านี้ ข้าน่าจะมีโอกาสทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตเซียนครึ่งก้าว”

ซูน่าพยักศีรษะและกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ต้องยอมรับเลยว่าการประมือกับฉินอวี้โม่ทำให้พลังของนางพัฒนาขึ้นมาก

ความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับทักษะยุทธ์ของฉินอวี้โม่เหนือชั้นกว่านางมาก การได้ประชันฝีมือกับฉินอวี้โม่ได้ช่วยขัดเกลานางจนนางพัฒนาและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ในที่สุดนางก็สัมผัสได้ถึงสัญญาณของการทะลวงพลัง คาดการณ์ว่าในอีกไม่ช้านางจะได้ทะลวงพลังกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนครึ่งก้าว

“ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ ในขณะนี้พลังความแข็งแกร่งของนางก็คงที่แล้ว แม้ว่ายังไม่บรรลุถึงขอบเขตเซียนที่แท้จริง นางก็เข้าใกล้จุดนั้นเต็มที ในอีกไม่นานนางเชื่อว่าตนเองจะทะลวงพลังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเซียนขั้นหนึ่งได้

“ฮ่าๆๆ เราทั้งสองต่างก็มีความสุขกันจริงๆ เมื่อข้าบรรลุขอบเขตเซียนครึ่งก้าว ข้าจะต้องเอาอัดเจ้าเลี่ยซานจนดอกไม้ร่วงโรย สายน้ำไหลริน อยากรู้นักว่าในอนาคตเขาจะกล้าอวดดีอีกหรือไม่”

* 落花流水 ดอกไม้ร่วงโรย สายน้ำไหลริน หมายถึง ถูกโจมตีจนยับเยิน พ่ายแพ้ยับเยิน ไม่มีโอกาสพลิกฟื้น

ซูน่ายิ้มและกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางทะนงตน

เมื่อได้ยินคำพูดกล้าหาญและทะนงตนของซูน่า ทุกคนก็อดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้

“เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะล้างแค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ด้วยตัวเอง”

อาอู่ถอนหายใจเบาๆ แม้ว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของเขาจะพัฒนาขึ้นมากแล้ว มันก็ยังไม่เพียงพอ แม้เขาไม่เคยเอ่ยถึงความชิงชังที่มีต่อพวกคนชั่วที่สังหารบิดามารดา เขาก็ไม่เคยลืมแม้แต่วินาทีเดียว หากมีโอกาส อาอู่จะต้องล้างแค้นศัตรูให้ได้อย่างแน่นอน

“อาอู่ สู้สู้”

ซูน่าตบไหล่พร้อมกล่าวให้กำลังใจอาอู่

“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าไม่ยอมให้พี่ซูน่าและพี่อวี้โม่ทิ้งห่างข้าไปมากนักหรอก”

อาอู่พยักหน้าหงึกหงัก เขาจะเพียรฝึกฝนและพยายามอย่างหนักอย่างแน่นอน

“ฉินส่าวชิงและเลี่ยหยางมาถึงแล้ว”

ขณะคนหนุ่มสาวกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ซูวั่งชวนซึ่งอยู่ด้านข้างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฉินส่าวชิง เลี่ยหยางและพรรคพวก เขาจึงเอ่ยขึ้นโดยไม่มีสีหน้าหวาดหวั่นใดๆ

“ดูเหมือนว่าครานี้จะมีคนมากทีเดียว”

ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้เช่นกันและรู้ว่ามีกลุ่มคนจำนวนมากที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ชนเผ่าเมฆาครามอย่างรวดเร็วโดยมีจุดประสงค์ที่ไม่แน่ชัด

“พวกเขาต้องการที่จะกำจัดชนเผ่าเมฆาครามของเราให้สิ้นซากจริงๆ”

ซูชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความมุ่งร้าย พวกเขาคาดการณ์ไว้ไม่ผิดเลย ฉินส่าวชิงต้องการกำจัดชนเผ่าเมฆาครามของพวกเขาไปอย่างสมบูรณ์

“ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม”

ซูวั่งชวนกล่าวย้ำเตือนทุกคน ทว่าพวกเขาก็ไม่มีความกลัวเลยสักนิด

ทว่าตอนนี้จูเฟยชวี่ก็พาคนจำนวนหนึ่งเข้าไปหลบซ่อนตัวในคฤหาสน์เฟิงหัวของฉินอวี้โม่

ถึงแม้จะต้องการออกมาช่วย มันก็ยังไม่ถึงเวลา เวลานี้พวกเขาทำได้เพียงแค่ส่งกำลังใจให้ซูวั่งชวนและคนอื่นๆอยู่ข้างในคฤหาสน์มิติ

หากถึงช่วงเวลาวิกฤต พวกเขาจะเคลื่อนไหวออกมาทันที และเมื่อถึงเวลานั้น ฉินส่าวชิงและพวกก็จะต้องกลับไปมือเปล่า

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าผู้นำซูจะใจดีถึงขั้นพาคนออกมาต้อนรับเราหน้าประตูเช่นนี้ เกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เห็นพวกเรานำคนมาเป็นจำนวนมากจึงต้องการที่จะยอมจำนนตั้งแต่เนิ่นๆรึ?”

เลี่ยหยางหัวเราะเสียงดังก่อนที่จะเข้ามาใกล้ด้วยซ้ำ จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“เราแค่ไม่อยากปล่อยให้คนนอกบางคนเข้าไปในชนเผ่าของเราและทำลายบรรยากาศอันงดงามของชนเผ่าก็เท่านั้น ดูเหมือนว่าพลังของผู้นำเลี่ยหยางจะไม่เพิ่มขึ้นเลย ทว่าใบหน้ากลับด้านหนาขึ้นมากทีเดียว”

ซูชิงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยอย่างเต็มเปี่ยม

“เหอะ ยโสโอหังยิ่งนัก!”

เลี่ยหยางแค่นเสียงเย็นชาทันทีที่ได้ยินคำตอบโต้ของอีกฝ่าย

“นี่พวกเจ้าหมายความว่าพวกเจ้าไม่ต้อนรับท่านเจ้าเมืองงั้นรึ?”

เลี่ยซานก้าวเข้ามาขณะจ้องหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆอย่างวางท่า

ฝ่ายฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิดและไม่ชายตามองเขาด้วยซ้ำจนเลี่ยซานโมโหเป็นอย่างยิ่ง

“ชนเผ่าเมฆาครามของเราต้อนรับเฉพาะคนที่เราชื่นชอบเท่านั้น เราไม่เคยต้อนรับคนที่เราไม่ชอบขี้หน้า”

ป้าหลานผู้ซึ่งยืนอยู่ด้านข้างอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองไม่ได้

เมื่อเห็นใบหน้าของเลี่ยซานและเลี่ยหยาง ความโกรธเมื่อนึกถึงการตายของบิดามารดาของอาอู่ก็ปะทุขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ นางคงอยากจะสั่งสอนเลี่ยซานให้รู้สำนึก

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของป้าหลาน ฉินอวี้โม่ก็เดินเข้าไปหาและจับมือของนางอย่างแผ่วเบา

ฉินอวี้โม่เขย่ามืออีกฝ่ายเบาๆและความโกรธของป้าหลายก็บรรเทาลงเล็กน้อย นางยิ้มให้ฉินอวี้โม่และพยักศีรษะบ่งบอกว่าไม่ต้องกังวล

“บังอาจนัก แม้แต่ท่านเจ้าเมืองพวกเจ้าก็ไม่ให้การต้อนรับรึ?!”

เมื่อได้ยินวาจาของป้าหลาน เลี่ยซานก็เอ่ยตอบโต้

“เลี่ยซาน เจ้าโง่รึอย่างไร? เราต่างก็รู้ดีว่าพวกเจ้ามาทำอะไรในวันนี้ หากเราต้อนรับอย่างหน้าชื่น เราก็คงจะเสียสติเต็มที”

ซูน่าจ้องหน้าเลี่ยซานและกล่าวประชดประชัน

“เหอะ ซูน่า ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้าอีกต่อไปแล้ว”

คำพูดของซูน่าทำให้เลี่ยซานแค่นเสียงในลำคอและกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจราวกับไม่เห็นนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

“งั้นรึ? เช่นนั้นก็มาลองดูกันสักตั้ง!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูน่าก็กล่าวท้าทาย นางต้องการวัดฝีมือกับเลี่ยซานให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“ซูน่า กลับมาก่อน”

ซูวั่งชวนเอ่ยห้ามปรามและเรียกหลานสาวให้ถอยกลับมา

“เจ้าเลี่ยซานดูแปลกไป ดูเหมือนว่าเขาจะทะลวงพลังไปถึงขอบเขตเซียนครึ่งก้าวแล้วและคลื่นพลังก็มั่นคงมาก ข้าคิดว่าเขาน่าจะทะลวงพลังมาพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้พลังของเจ้าก็ยังไม่เสถียรและคงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”

ฉินอวี้โม่กระซิบข้างหูซูน่าเพื่อไม่ให้นางกระทำสิ่งใดวู่วาม

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูน่าก็พยักศีรษะเบาๆ นางมิใช่คนบุ่มบ่ามไม่ยั้งคิด จากวาจาของฉินอวี้โม่ นางเองก็สัมผัสได้ถึงพลังของเลี่ยซานเช่นกัน ในเมื่อฉินอวี้โม่พูดถูก นางจึงไม่สนใจเลี่ยซานอีก

“ฮ่าๆๆ ซูน่า ไม่ต้องการสู้แล้วรึ? ไหนๆข้าก็มาถึงที่นี่แล้ว อะไรกัน เจ้าไม่กล้ารึไง?!”

เมื่อซูน่าถอยกลับไป เลี่ยซานก็กล่าวเย้ยหยันทันที ในที่สุดเขาก็ได้เป็นฝ่ายเหนือกว่าแล้ว เขาไม่มีทางเสียโอกาสซ้ำเติมทับถมซูน่าไปง่ายๆอย่างแน่นอน

“เลี่ยซาน ข้าจะเป็นคู่มือให้กับเจ้าเอง มีพลังเพียงแค่ขอบเขตเซียนครึ่งก้าว แต่คิดว่าตนเองไร้เทียมทานงั้นรึ?”

จู่ๆฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นมาจนเลี่ยซานพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เขาทราบดีว่าพลังของฉินอวี้โม่เป็นอย่างไร แม้ว่าเขามีพลังในขอบเขตเซียนครึ่งก้าว เขาก็ไม่กล้าที่จะประจันหน้ากับฉินอวี้โม่อีกครา

เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มเยาะและไม่กลั่นแกล้งอีกต่อไป คนอย่างเลี่ยซานไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของนาง