บทที่ 225 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 16)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

“คะ งานเทศกาลงั้นหรือคะ และยังให้เตรียมงานให้เร็วที่สุด โดยที่งานจะจัดขึ้นทั้งก่อนและหลังพิธีขึ้นครองราชย์อย่างนั้นหรือคะ”

“เห็นบอกว่าอย่างนั้นค่ะ ทั้งหมดนี่คงเป็นเพราะพระญาตินั่นแหละค่ะ ก็พระชายาไม่ได้เป็นคนที่ทำอะไรฉุกละหุกแบบนี้นี่ค่ะ”

รูบี้เริ่มพูดจาให้ร้ายบลิสเป็นนัยๆ ออกมาให้กับข้าหลวงที่กำลังทำตาโตหลังจากรับเอกสารไป

ทำให้งานของอาเรียเพิ่มขึ้นยังไม่พอ ยังทำให้คนในพระราชวังที่ยุ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องทำงานเพิ่มขึ้นอีก โดนด่าแค่นี้จะเป็นอะไรไป รูบี้คิด

“คุณคงจะงานยุ่งเอามากๆ ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะรายงานให้พระชายาทราบเองค่ะ ว่าสีหน้าของคุณดูเหนื่อยอย่างเห็นได้-“

“ตายจริง พอดีเลยนะคะเนี่ย! ”

ทว่าท่าทีของข้าหลวงกลับต่างจากที่รูบี้คาดคิดเอาไว้อย่างมาก เธอตรวจทานเอกสารอย่างรวดเร็วและจับมือของรูบี้ที่ได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะความงุนงง

“ตลอดหนึ่งปีมานี้ดิฉันได้แต่ทำงานจิปาถะเท่านั้นเองค่ะ เพราะไม่มีโอกาสทำผลงานเลยกำลังกลุ้มอยู่ว่าจะลาออกดีไหม และงานนี้ก็คงจะสามารถทำให้เกิดการจ้างงานมากขึ้นได้ด้วยค่ะ! ”

อุตส่าห์สอบผ่านและออกจากชนบทที่ห่างไกลเพื่อเข้ามาทำงานได้แล้วทั้งที

แต่กลับถูกสั่งให้ทำแต่งานจุกจิกด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีงานที่ผู้หญิงจะทำได้ จนเธอต้องนอนร้องไห้ยันฟ้าสางอยู่ทุกวัน

เธอแสดงความมั่นใจที่มีด้วยการบอกว่าในเมื่อโอกาสที่รอคอยหล่นมาอยู่ในมือแล้ว ก็จะตั้งใจทำให้ดีที่สุด

“คะ… แต่ว่านี่มันจะไม่เป็นการยุ่งยากไปหน่อยหรือคะ อยู่ๆ ก็สั่งงานแบบกะทันหันแบบนี้น่ะค่ะ”

“ไม่เลยสักนิดเดียวค่ะ! ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรนะคะ แต่คนที่ได้แต่คำสั่งให้เฝ้าห้องธุรการอย่างดิฉัน ถือว่ามีเวลาเหลือเฟือเลยละค่ะ! นอกจากนั้นแล้วยังมีคำสั่งให้เพิ่มจำนวนบุคลากรที่ยังขาดอยู่อีกด้วยค่ะ จะมีอะไรน่าดีใจไปกว่านี้อีกล่ะคะ”

ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับอนุญาตให้ใช้งบประมาณส่วนตัวของอาเรียที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมดไปอีกด้วย

โอกาสที่จะได้สร้างผลงานจากการใช้งบประมาณและจำนวนคนแบบไม่จำกัดถูกหยิบยื่นมาให้ทั้งที แน่นอนว่าไม่มีใครรังเกียจมันแน่ๆ

“ประชาชนที่ได้งานทำก็คงดีใจไปด้วยค่ะ ดิฉันกำลังกลุ้มใจอยู่พอดีว่าจะพอแค่นี้แล้วกลับบ้านเกิดดีรึเปล่า ต้องขอบคุณจริงๆ นะคะ! ดิฉันจะทำงานให้ลุล่วงไปได้ด้วยดีตามที่พระชายาสั่งเลยค่ะ! ”

ข้าหลวงหญิงเอาแต่ผงกศีรษะและกล่าวคำขอบคุณให้กับตัวรูบี้ที่เอาเอกสารมาให้

และเพราะเธอเอาแต่พูดจาสรรเสริญอาเรียอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้รูบี้ไม่สามารถพูดจาว่าร้ายอะไรได้อีกต่อไป

‘…โง่เสียจริง ไม่รู้เลยรึไงว่าโอกาสอะไรแบบนั้นน่ะไม่มีหรอก’

หากจะเอาชีวิตรอดในพระราชวังให้ได้ ก็ต้องหาพรรคพวกเป็นของตัวเองไว้ แต่วิธีพูดและความคิดแบบนั้นไม่มีทางสร้างพรรคพวกของตัวเองได้แน่ๆ มีแต่จะถูกตีตัวออกห่างเท่านั้น

เพราะอย่างนั้นรูบี้จึงไม่คิดจะพูดเหน็บแนมอีกต่อไป ต่อหน้าคนแบบนี้เธอจะต้องระวังคำพูดเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องขึ้นมาในวันข้างหน้า

เพราะหากพูดออกไปตรงๆ ตามที่คิดละก็ สักวันอาจจะโดนผลกระทบตามมาได้

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยค่ะ คุณอุตส่าห์แสดงความมุ่งมั่นให้เห็นถึงขนาดนี้ ดิฉันก็รู้สึกปลื้มใจค่ะ ขอให้จัดงานเทศกาลอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยดีนะคะ”

รูบี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนและเดินออกจากห้องธุรการ พร้อมกับเสียงอันเปี่ยมด้วยพลังของข้าหลวงหญิงที่ดังตามหลังมาว่า

“ค่ะ! ดิฉันจะทำอย่างนั้นค่ะ! อย่างกังวลไปเลยค่ะ! เอาล่ะ! สู้ๆ! ”

 โง่เง่าเสียไม่มี ไม่รู้เลยสินะว่าตัวเองเพิ่งจะเสียเส้นสายที่ยิ่งใหญ่ไปเมื่อครู่นี้เอง

รูบี้กลั้นเสียงหัวเราะเยาะเอาไว้ และมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานของอาเรียอีกครั้งเพื่อรายงานว่าได้ส่งเอกสารอย่างเรียบร้อยแล้ว

เพราะงานเทศกาลแท้ๆ อาเรียเลยต้องทำงานมากขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ เห็นทีคงต้องไปเอาใจด้วยการนวดไหล่ให้เสียแล้ว

นั่นเป็นสิ่งที่รูบี้ตั้งใจเอาไว้ ก่อนที่จะพบกับบลิสบริเวณมุมทางเดินระหว่างทางกลับไปยังห้องทำงาน

‘…ดวงดีเสียจริง ไม่รู้ตัวเลยสินะว่าทำให้คนอื่นเขารำคาญมากขนาดไหน’

รูบี้กลั้นหัวเราะต่อภาพที่ได้เห็นหลังหน้าต่างนั่น

บลิสกำลังนอนหลับรับแสดงแดดอุ่นๆ อยู่บนม้าโยกในสวนหลังทางเดิน

ไม่รู้ว่าบลิสรู้ได้อย่างไรว่าที่ตรงนั้นเป็นตำแหน่งที่ดีที่สุด รูบี้เดินเข้าไปในสวนด้วยสีหน้าแข็งทื่อ

“คุณหนูบลิส”

รูบี้ยืนเท้าสะเอวเรียกบลิสที่กำลังนอนหลับตาอยู่

ท่าทางบลิสจะนอนหลับสนิท เพราะเธอไม่ขยับตัวเลยสักนิด

“คุณหนูบลิสตื่นได้แล้วค่ะ มานอนในที่แบบนี้เดี๋ยวก็เป็นเรื่องขึ้นมาหรอกค่ะ”

เพราะแบบนั้นรูบี้จึงเขย่าไหล่เล็กๆ ของบลิสและปลุกให้บลิสตื่น จากนั้นบลิสที่นอนหลับตาอยู่ก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาหนักๆ นั้นขึ้นมาช้าๆ เธอกะพริบตาด้วยใบหน้าที่ยังตื่นไม่เต็มที่

“…อือ อืม รูบี้เหรอ”

เมื่อเห็นว่าบลิสจำเธอได้ รูบี้ก็จับตัวบลิสให้ลุกขึ้นมานั่งด้วยสัมผัสที่ไม่อ่อนโยนสักเท่าไหร่

จากนั้นก็ยิ้มออกมาและถามว่า

“ถ้าชอบสวนมากขนาดนั้น ก็น่าจะพักอยู่ในห้องใกล้สวนด้านหลังตามที่ดิฉันบอกไว้ตั้งแต่แรกนะคะ ให้ดิฉันเปลี่ยนห้องให้ตอนนี้ดีไหมคะ”

“ฮะ ไม่เอา ฉัน-“

“คงจะยังไม่รู้อะไรเพราะยังไม่เคยไปอยู่ที่นั่นสินะคะ ก่อนอื่นลองย้ายไปอยู่ที่นั่นดูสักสองสามวันดีไหมคะ แน่นอนว่าจะต้องถูกใจแน่ๆ ค่ะ”

แม้จะเห็นได้ชัดว่าบลิสพยายามจะปฏิเสธออกมา แต่รูบี้ก็ไม่ฟังความคิดเห็นของบลิส

ไม่สิ นั่นไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว รูบี้บอกว่าจะพาเธอไปดูห้องเดี๋ยวนี้และจับมือบลิสขึ้นมา

“คุณหนูจะต้องชอบแน่ๆ ค่ะ ดิฉันจะเตรียมตุ๊กตาน่ารักๆ และของหวานอร่อยๆ เอาไว้ให้เยอะๆ เลยค่ะ จะต้องสนุกมากแน่ๆ ค่ะ”

“ไม่-! ฉันชอบห้องที่อยู่ตอนนี้! “

ที่จริงแล้วจะเป็นห้องแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น ขอได้อยู่ใกล้ๆ อาเรียเท่านั้นก็พอ

บลิสใช้แรงทั้งหมดที่มีขืนตัวเอาไว้ นั่นทำให้รูบี้ขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

“คุณหนูบลิส ยังไม่รู้อีกหรือคะ ว่าทำไมดิฉันถึงบอกให้เปลี่ยนห้องอยู่บ่อยๆ “

เธอก้มลงมองบลิสด้วยสายตาที่มองตัวปัญหาซึ่งพูดไม่รู้จักฟัง

เพราะรูบี้ไม่ตำหนิบลิสซึ่งๆ หน้าแบบนี้มาก่อน จึงทำให้บลิสหดตัวเล็กน้อยด้วยเพราะตกใจ

“มะ ไม่รู้…”

“ดิฉันก็ว่าอย่างนั้นละค่ะ คุณหนูคงไม่รู้ว่ากำลังทำให้คนอื่นลำบากสินะคะ โดยเฉพาะพระชายา”

“…พระชายาเหรอ”

ลำบากเหรอ แถมยังเป็นเพราะฉันด้วยอย่างนั้นเหรอ บลิสเบิกตากว้างราวกับว่าไม่รู้เลยจริงๆ

เพราะแบบนั้นรูบี้จึงเริ่มร่ายความผิดของบลิสออกมาทีละอย่างราวกับได้จังหวะต่อว่าขึ้นมาพอดี

“ก็ใช่น่ะสิคะ เพราะคุณหนูทำให้คนที่ยุ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องทำงานมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นยังทำน้ำหกใส่ชุดสำหรับพิธีราชาภิเษกอีกต่างหาก ไม่พอยังทำห้องครัวเละเทะอีกด้วย ไม่รู้เลยสินะคะว่านั่นทำให้พระชายาต้องลำบากมากแค่ไหน แถมคราวนี้ยังต้องเลื่อนจัดงานเทศกาลให้เร็วขึ้นมาอีกด้วย”

ทั้งหมดนั่นจึงทำให้อาเรียต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะต้องคอยรวบรวมพลเมืองอย่างเข้มงวดไปด้วย รูบี้เอาความโกรธที่ไม่สามารถปลดปล่อยที่ไหนได้มาลงที่บลิส

ไม่รู้ว่าลับหลังบลิสแล้วรูบี้เคยตำหนิอะไรเธอไว้บ้าง แต่เพราะรูบี้ไม่เคยต่อว่าบลิสซึ่งๆ หน้ามาก่อน จึงทำให้บลิสหน้าซีดอย่างกับกระดาษขึ้นมา

แต่ถึงอย่างนั้นบลิสก็ไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ เพราะที่รูบี้พูดมามันถูกต้องทั้งหมด

‘ฉันนี่มัน…โง่จริงๆ เลย…’

เธอตื่นเต้นที่จะได้ใช้เวลาอยู่กับอาเรียในตอนนี้และทำให้ทุกคนเดือดร้อนไปหมด

ที่กลับมายังอดีตก็เพราะไม่อยากให้อาเรียต้องเจ็บปวดแท้ๆ แต่กลายเป็นว่าตัวเองกำลังทำให้อาเรียต้องลำบากเพราะงานที่เพิ่มมากขึ้น

บลิสรู้สึกผิดพร้อมกับน้ำตาเอ่อขึ้นมา

แม้จะไม่ชอบรูบี้ในอนาคตและรูบี้ในตอนนี้ก็ตาม แต่นั่นเป็นเพราะรูบี้มักจะบอกความจริงที่เธอคิดไม่ถึงขึ้นมานั่นเอง

“ขอโทษ…ฮือ”

บลิสพูดขอโทษออกมาพร้อมกับน้ำตาไหลพราก ตอนนั้นเองที่รูบี้หยุดคำพูดอันรุนแรงเอาไว้

“ถ้าอย่างนั้นจะย้ายห้องใช่ไหมคะ”

“อืม…”

บลิสพยักหน้างึกๆ เธอน่าจะตอบกับฉันแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อกี้นะ รูบี้พอใจมากกับท่าทางเชื่อฟังของบลิส

แต่แน่นอนว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้รูบี้ไม่พอใจอยู่

อย่างเช่นการที่เด็กตัวกะเปี๊ยกซึ่งไม่มีทั้งตำแหน่งหรืออะไรสักอย่างแบบบลิสเอาแต่พูดกับคนอื่นอย่างไม่มีมารยาท และยังเอาแต่วิ่งเล่นไปทั่วทั้งพระราชวังโดยที่ไม่ได้รับอนุญาตอีก

นอกจากนั้นยังมีข้อตำหนิมากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว

ไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องจับบลิสมานั่งลงตรงหน้าและอบรมหลายๆ อย่างให้ฟังเท่าที่มีเวลาว่างพอ และในตอนที่รูบี้กำลังยิ้มอย่างพอใจและตั้งใจจะจับมือบลิสนั่นเอง

“จะไปไหนกันน่ะ”

จู่ๆ มือสีขาวนวลก็โผล่มาปัดมือรูบี้ออกไป

อยู่ๆ ก็มาตีมือคนอื่นเลยงั้นรึ ไร้มารยาทอะไรอย่างนี้กันเนี่ย

รูบี้อารมณ์เสียและหันหน้ากลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ ณ ที่ตรงนั้นอาเรียกำลังยืนอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชา

“อ๊ะ พระชายา”

รูบี้ผงกศีรษะแสดงความนอบน้อมอย่างรวดเร็วราวกับเมื่อครู่ตัวเองไม่ได้หงุดหงิดอย่างไรอย่างนั้น

ข้างๆ เธอมีบลิสยืนน้ำตาคลออยู่ แต่เพราะบลิสไม่ได้แสดงความเคารพออกมา รูบี้จึงบอกให้บลิสรีบก้มคำนับโดยเร็ว และยื่นออกไปทางศีรษะของบลิส-

ผัวะ!

อาเรียปัดมือของรูบี้ออกไป

“พระ พระชายา…”

รูบี้จ้องหน้าอาเรียด้วยสีหน้าตะลึงงัน เธอทำหน้าตาราวกับจะถามว่าเหตุใดถึงทำกับเธอเช่นนี้

เพราะแบบนั้นอาเรียจึงตอบเธอด้วยสายตาแห่งความสมเพช

“ทำไมถึงไม่ตอบที่ฉันถามล่ะ ทำไมบลิสถึงมีสภาพแบบนี้”

“เอ่อ…! ”

ในตอนนั้นเองที่รูบี้นึกขึ้นได้ว่าตอนที่ถูกอาเรียปัดมือทิ้งในครั้งแรกนั้น เธอถูกถามว่ากำลังจะไปที่ไหน

 เธอคิดว่าอาเรียเพียงแค่พูดทักขึ้นมาเท่านั้น แต่ดูเหมือนอาเรียอยากจะได้คำตอบจริงๆ

เพราะบลิสกำลังทำหน้าเหยเกอยู่ด้วย ทำให้รูบี้ต้องใส่ใจในคำตอบมากขึ้น

เพราะตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตนเอง รูบี้จึงโค้งตัวลงต่ำมากกว่าเดิมและตอบว่า

“คุณหนูบลิสบอกว่าอยากย้ายไปอยู่ในห้องที่ไกลออกไปหน่อย เลยกำลังจะไปย้ายห้องพอดีค่ะ”

“บลิสน่ะหรือ”

อาเรียทอดสายตาไปทางบลิส ราวกับจะเช็กดูว่ารูบี้พูดความจริงหรือไม่

งึกๆ บลิสพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเธอไม่ดีเลย

“งั้นเหรอ ทำไมล่ะ”

อาเรียกอดอกและถามบลิสอีกครั้ง ทว่ารูบี้กลับเป็นคนตอบคำถามนั้นแทน

“คุณหนูบอกว่าวิวในห้องใกล้สวนด้านหลังดีกว่าห้องในตอนนี้ค่ะ อีกทั้งพระชายาก็ยุ่งมากอยู่แล้ว จึงไม่อยากทำตัววุ่นวายอยู่ใกล้ๆ ที่ร้องไห้ก็เป็นเพราะรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ผ่านมานั่นแหละค่ะ ใช่ไหมคะ”

รูบี้ขอคำยืนยันจากบลิส

หลังจากที่เงียบอยู่ครู่หนึ่ง บลิสก็พยักหน้าขึ้นมาเป็นการตอบคำถามอย่างเลี่ยงไม่ได้

สีหน้าของอาเรียตอนที่จ้องมองท่าทางนั้น ทำให้เดาไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นเธอก็กะพริบตาช้าๆ และพูดออกมาว่า

“ฉันไม่ได้รู้สึกรำคาญอะไรขนาดนั้นสักหน่อย แถมเรื่องยุ่งยากน่ารำคาญทั้งหลายก็เสร็จไปหมดแล้วด้วย เลยมีเวลาว่างขึ้นมาบ้าง แต่ในเมื่อบลิสบอกว่าอยากเปลี่ยนห้อง ก็คงต้องทำอย่างนั้นละนะ อีกอย่างห้องทางสวนด้านหลังก็อยู่ไกลเสียด้วย เห็นทีต่อจากนี้คงไม่ค่อยได้เจอกันสักเท่าไหร่แล้วล่ะ”

“…! ”

ดวงตาของบลิสเบิกกว้างขึ้นมาในทันที

สภาพที่น้ำตาคลอและปากที่เม้มแน่นนั้น ดูอย่างไรก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องคิดว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นแน่

เพราะกลัวว่าอาเรียจะเข้าใจผิด รูบี้จึงจับมือบลิสขึ้นมาอย่างลนลาน และพ่นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นออกมาว่าบลิสคงจะปวดท้อง

“เพราะอย่างนั้นแล้วเธออยากพูดอะไรเป็น‘ครั้งสุดท้าย’ไหม”

อาเรียแสร้งพูดออกมาโดยเน้นที่คำว่า‘สุดท้าย’

แม้ว่าสวนด้านหลังจะอยู่ไกลมากก็ตาม แต่ก็ถือว่าอยู่ในพื้นที่พระราชวังเช่นกัน

หากขยันเดินหน่อยไม่ว่าอย่างไรก็เดินมาพบกันได้

ถ้าฉุกคิดสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ว่าอาเรียพูดเกินจริงออกมา แต่ช่างโชคร้ายที่ในตอนนี้บลิสไม่มีเวลาฉุกคิดเรื่องนั้นเลย

“หนู หนู…ที่จริง…! ”

ริมฝีปากที่กระตุกนั้นทำให้บลิสพูดออกมาได้ยากเย็น จนในที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมความเสียใจที่อัดอั้นเอาไว้ได้และร้องไห้โฮๆ วิ่งเข้ามาในอ้อมกอดของอาเรีย

“หนูไม่อยากเปลี่ยนห้อง! หนูอยากอยู่ข้างห้องพระชายาแบบนี้! อยากกินข้าวเช้าด้วยกันทุกวัน อยากไปเดินเล่นด้วยกันเหมือนตอนนี้ แล้ว แล้วก็…! ฮือ-! “

อาเรียกอดบลิสเอาไว้ราวกับกำลังรอให้เธอโผเข้ากอดอยู่แล้ว

“ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะพูดออกมาตรงๆ ตั้งแต่แรกสิ ทำไมต้องโกหกด้วยล่ะ”

“ขอโทษ…หนูขอโทษ-! “

บลิสขอโทษต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลกและร้องไห้น้ำตาไหลพรากออกมา เป็นภาพที่ดูตลกไม่น้อย

แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นที่รู้สึกสนุกขึ้นมา เพราะรูบี้ที่กำลังตกใจว่าทำไมบลิสถึงทำแบบนั้นได้เข้ามาห้ามเสียก่อน

“คุณ คุณหนูบลิส…! ”

“รูบี้”

ผัวะ อาเรียปัดมือรูบี้ออกเป็นครั้งที่สาม และเรียกชื่อรูบี้ด้วยสีหน้าเย็นชา

ตอนนั้นเองที่รูบี้ตระหนักได้ว่าตัวเธออยู่ในสถานการณ์ที่แย่เอามากๆ ในตอนนี้

‘หรือว่าพระชายาจะรักและหวงแหนบลิสมากกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีกน่ะ…’

เพราะเห็นว่าเป็นพระญาติทางฝั่งพระมารดา เลยคิดว่าควรจะกำจัดออกไปให้พ้นๆ และคิดว่าใจจริงของอาเรียก็คงจะรู้สึกรำคาญบลิสอยู่เหมือนกัน

ผลจากการช่วยงานอาเรียมาสองปี ทำให้รูบี้คิดว่านั่นเป็นข้อสรุปที่ดูเหมาะสมที่สุด และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงคิดแบบนั้น

รูบี้ยังคงเข้าใจผิดว่าตนเองคิดถูกต้อง เธอพยายามหาทางรอดจากสถานการณ์ในตอนนี้

ลองคิดดูแล้วที่ตนเองทำลงไปก็เพราะอยากช่วยอาเรียเท่านั้นเอง แล้วเธอจะผิดอะไรเล่า อีกอย่างเรื่องที่บลิสทำผิดก็เป็นความจริง

“ทำไมไม่ตอบฉันล่ะ”

ทว่าอาเรียกลับถามรูบี้ขึ้นมาเร็วกว่าที่เธอจะได้ทำอะไร

“คะ”

“ตอบฉันมา”

“ตอบอะไร…”

ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะตอบกลับไปอย่างไรดี รูบี้ก็ลืมว่าอาเรียถามอะไรเธอมา

เพราะนึกไม่ออก รูบี้จึงได้แต่กะพริบตาถี่ๆ เพราะทำตัวไม่ถูก

“ฉันบอกแล้วนี่ว่าให้พูดตรงๆ ”

“คะ…”

นั่นอาเรียกำลังถามตนอยู่งั้นหรือ รูบี้ดูลังเลเพราะไม่รู้ว่าอาเรียให้พูดอะไรออกไปตรงๆ ส่วนอาเรียก็เช็ดน้ำตาให้บลิสและพูดว่า

“บลิสบอกว่าอยากเปลี่ยนห้องก็จริง แต่เธอกล้าดียังไงมาบังคับบลิสไปโดยที่ไม่ขออนุญาตฉันก่อน”

“บัง บังคับหรือคะ…”

อย่าบอกนะว่าอาเรียเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกน่ะ เสียงของรูบี้ค่อยๆ เล็กลง

แม้จะทำไปเพื่ออาเรียก็ตาม แต่เพราะตอนที่โน้มน้าวบลิสเธอได้ขู่บังคับบลิสไปบ้างจริงๆ

“ดิฉัน ดิฉันแค่…”

จะตอบว่าอะไรดีนะ เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ถูกอาเรียซักไซ้ มือของรูบี้จึงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ

“ดิฉันแค่อยากจะช่วยพระชายาเท่านั้นเองค่ะ ดิฉันแค่คิดว่าพระชายาต้องการอะไรและอยากให้การช่วยเหลือเท่าที่-“

“พอเถอะ”

รูบี้พยายามแก้ตัวออกมา แต่อาเรียก็ขัดจังหวะขึ้นมา

“ออกไปซะ”

“คะ…”

หรือว่าจะให้อภัยเธอแล้วงั้นหรือ อาเรียคนนั้นเนี่ยนะ

แม้จะสงสัยเป็นอย่างมาก แต่ในฐานะที่คอยช่วยเหลืออาเรียมาอย่างใกล้ชิดถึงสองปี รูบี้จึงคิดว่านี่เป็นการให้อภัยที่เหมาะสม

‘เห็นทีคงต้องทำตัวสงบเสงี่ยมไปก่อนสักพัก ไม่สิ ถึงจะรู้สึกเสียหน้าที่ถูกตำหนิด้วยเรื่องแบบนี้ก็ตาม แต่วันข้างหน้าก็ต้องปฏิบัติตนอย่างเจียมตัวต่อไป’

รูบี้ยังคิดว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดเหมือนเดิม ในเมื่ออาเรียอุตส่าห์ให้โอกาสแล้ว ครั้งต่อไปเธออาจจะไม่ให้อภัยจริงๆ ก็ได้

“ค่ะ! ขอบพระคุณมากค่ะ-“

“ช่วยออกไปภายในวันนี้เลยจะได้ไหม”

“คะ”

รูบี้ตัวแข็งทื่อและกะพริบตาปริบๆ เพราะไม่เข้าใจว่าอาเรียหมายความว่าอย่างไร

“ก็บอกว่าให้ออกไปไง ต้องให้ฉันพูดอีกกี่ครั้งกัน”

“หมายความว่า ให้ดิฉันออกไปจากพระราชวังตอนนี้…หรือคะ”

“ก็ฟังรู้เรื่องนี่ แต่ดูจากที่เธอถามออกมาแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนการไล่เธอออกจะเป็นการตัดสินใจที่ดีเลยล่ะ”

“พระ พระชายา…! เหตุใดถึงทำแบบนี้กับดิฉัน…! “

ไล่เธอออกไปในทันทีแบบนี้ได้ยังไงกัน นี่เธอทำอะไรผิดขนาดนั้นเลยหรือไง

รูบี้เอาแต่พูดว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรม และนั่นทำให้อาเรียโมโหเอามากๆ

บลิสได้แต่เบิกตามองสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันนี้ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเธอหยุดร้องไห้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่

อาเรียกอดบลิสที่อยู่ในสภาพนั้น และพูดทิ้งท้ายสั้นๆ ให้กับเจสซี่ที่ไม่รู้ว่าเข้ามายืนรออยู่ใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะเดินออกไปจากสวนอย่างไร้เยื่อใย

“โทษฐานที่บังอาจหลอกลวงราชวงศ์ สั่งห้ามไม่ให้ไวเคานต์เซกถวายการเข้าเฝ้าราชวงศ์ได้อีกต่อไป ส่วนรูบี้นั้นนับตั้งแต่วันนี้ไปเธอจะไม่สามารถเข้าร่วมในทุกๆ ที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ได้อีก”

“คะ…! ”

ในเมื่อฝ่ายขุนนางถูกลงโทษและราชวงศ์ถืออำนาจเหนือกว่าแบบนี้ หากถูกตัดขาดจากราชวงศ์แล้วละก็ ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตขุนนางอย่างสุขสบายแน่นอน

ด้วยเหตุนี้รูบี้จึงถวายตัวรับใช้พระชายา เพราะอยากให้สถานภาพของขุนนางเกิดความมั่นคง แต่กลับกันการทำแบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกขับไล่ออกมาจากสังคมขุนนางเลย

‘แล้วฉันจะทำยังไงดี…!’

รูบี้ทรุดลงกับพื้นเมื่อถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายกว่าที่คิด ทว่าไม่มีใครคนไหนจะช่วยปลอบใจเธอเลยสักคน

มีเพียงแค่เจสซี่ที่รับคำสั่งอาเรียว่าจะดำเนินการเช่นนั้นก่อนจะเดินตามหลังอาเรียออกไปจากสวน

……………….