บทที่ 226 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 17)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

อาเรียพาบลิสมาที่ห้องทำงานของเธอและให้บลิสนั่งลงบนโซฟาอันอ่อนนุ่ม

เธอใช้ผ้าเย็นประคบดวงตาของเด็กน้อยที่ปูดบวมขึ้นเรื่อยๆ จากการร้องไห้

“ร้องไห้เก่งจนฉันอยากจะตั้งฉายาว่าให้เธอว่าแม่สาวขี้แยเลยนะเนี่ย”

เห็นทีคงไม่ใช่แม่สาวขี้แยธรรมดาเสียแล้ว แบบนี้ต้องเรียกว่าเจ้าแม่ขี้แยเลยล่ะมั้ง

ไม่รู้ว่ามีเรื่องเศร้าอะไรมากมาย บลิสถึงร้องห่มร้องไห้ได้ตลอด

“หนูขอโทษ…หนูผิดเองงง…”

อาเรียเพียงแค่แหย่เล่นเท่านั้น แต่บลิสกลับน้ำตาคลอขึ้นมาอีกครั้งและขอโทษออกมา

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเป็นกังวลถึงอนาคตของราชอาณาจักรขึ้นมา เพราะในที่สุดแล้วลูกสาวคนเดียวอย่างบลิสจะต้องกลายเป็นผู้สืบบัลลังก์ต่อไปนั่นเอง

หากพิจารณาจากนิสัยของอาซและตนเองแล้ว คงไม่มีทางจะรับเด็กจากที่ไหนสักแห่งมาแต่งตั้งเป็นผู้สืบบัลลังก์แทนแน่นอน

เพราะฉะนั้นบลิสจะต้องได้เป็นผู้สืบทอดราชวงศ์รุ่นต่อไปแน่ๆ

‘แต่ถ้าขี้แยขนาดนี้ ฝ่ายขุนนางคงจะเชื่อฟังอยู่หรอกกระมัง’

ความกังวลที่เกิดขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น ได้กลายเป็นปัญหาจริงจังไปเสียแล้ว

อาเรียคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป สภาพบ้านเมืองอาจจะกลับไปเป็นเหมือนช่วงก่อนที่อาซจะทวงอำนาจจักรพรรดิกลับมาก็ได้

“หนูขอโทษที่ทำน้ำหกใส่เสื้อผ้า และก็ขอโทษที่ทำให้สวนกับห้องครัวเละเทะ แล้วก็ขอโทษเรื่องที่บอกว่าอยากไปงานเทศกาลด้วย…”

แล้วบลิสก็เริ่มขอโทษในทุกสิ่งที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นมา

อาเรียวางผ้าเย็นไว้บนโต๊ะ แล้วพยักหน้าช้าๆ

“จะว่าไปแล้วเธอยังไม่ได้ขอโทษอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลยนี่นา คนอื่นน่ะไม่รู้ว่าจะยังไงหรอกนะ แต่เธอควรจะไปขอโทษเลดี้โคลซี่ที่ตกใจจนเป็นลมไปด้วยตัวของเธอเองดีกว่านะบลิส”

แม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่เพราะบลิสยังเอาแต่ร้องไห้กับเรื่องนั้น อาเรียจึงคิดว่าการไปขอโทษด้วยตนเองคงจะทำให้เรื่องนี้จบลงได้

“ส่วนห้องครัวกับสวนน่ะ ฉันคิดว่าคงไม่ถึงกับต้องไปขอโทษอะไรหรอก เพราะคนที่ต้องตามหาเธอจนเหนื่อยก็ได้ค่าชดเชยที่เหมาะสมไปแล้ว”

คนที่อยากได้วันหยุดก็ให้ค่าชดเชยเป็นวันหยุดไป ส่วนคนที่อยากได้ค่าตอบแทนเป็นพิเศษก็ได้ตามที่ต้องการไปเรียบร้อยแล้ว

“ส่วนสุดท้ายก็เรื่องงานเทศกาล ฉันเป็นคนบอกให้ทำอย่างนั้นเองแท้ๆ เธอจะมาขอโทษทำไมกัน ถ้าต้องขอโทษกันขึ้นมาจริงๆ คนที่ควรขอโทษก็คือฉันต่างหาก”

“มะ ไม่นะ! พระชายาไม่ผิดเลย! ทั้งหมดเป็นความผิดของหนูเอง! ทั้งเรื่องที่มาที่นี่ด้วย…!”

ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปละก็บลิสคงเอาแต่โทษตัวเองเรื่อยๆ ไม่หยุดแน่

เพราะเคยฟังมาแล้วหนหนึ่ง อาเรียจึงเอาผ้าเย็นมาปิดปากบลิสเพื่อให้เธอหยุดพูดนั่นเอง

“อุ๊บ?!”

“พอได้แล้ว เอาแต่พูดเรื่องแย่ๆ ของตัวเองแบบนี้จะมีใครชอบเธอขึ้นมาไหม แม้แต่เวลาจะพูดย้ำถึงข้อดีของตัวเองเพื่อให้ตัวเธอมีค่ามากขึ้นยังแทบจะไม่พอด้วยซ้ำ”

อาเรียพูดว่าเพราะบลิสเอาแต่ขอโทษทุกครั้งจึงทำให้ถูกมองว่าเป็นตัวปัญหา จากนั้นก็ถอนหายใจและส่ายหน้าเบาๆ

ท่าทางของอาเรียเหมือนกับรู้สึกผิดหวังขึ้นมา บลิสที่หยุดร้องไห้ไปแล้วจึงรีบแก้ตัวออกมาทันที

“หนู หนูเองก็มีเรื่องดีๆ เยอะนะ! คุณแม่บอกว่าหนูฉลาด! แถมยังจำเก่งอีกด้วย! ดูนี่นะ-! ”

แล้วบลิสก็เริ่มท่องชื่อของราชวงศ์ก่อนๆ และผลงานที่ทำเอาไว้ตามลำดับออกมา

เพราะอย่างนี้นี่เองบลิสถึงสามารถจำข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ อย่างเรื่องเวลาที่ซาร่าและแอนนี่ตั้งครรภ์ได้

แม้รายละเอียดบางอย่างจะผิดไปบ้าง แต่เธอก็กลับมายังอดีตได้ตรงกับช่วงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

“ฮืม จำเก่งจริงๆ ด้วย”

พออาเรียพูดชมขึ้นมาราวกับว่าต้องมองบลิสใหม่เสียแล้ว บลิสก็ดีใจและเริ่มพูดถึงวันเกิดของอาเรียและอาซ รวมทั้งวันเกิดของซาร่า แอนนี่ และเจสซี่

‘นี่คงไม่รู้เลยสินะ ว่าถ้าตัวเองรู้เรื่องพวกนี้อยู่ละก็ มันจะทำให้คนอื่นรู้สึกสงสัยขึ้นมา’

ความจำดีเป็นเลิศก็จริง แต่เด็กก็คือเด็ก

แต่ในห้องทำงานตอนนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากอาเรีย และเดิมทีบลิสมักจะพูดมากเวลาดีใจอยู่แล้ว อาเรียจึงรอดูว่าเธอจะพูดเรื่องอะไรออกมาบ้าง และในตอนนั้นเอง

“พระชายาคะ ดิฉันชื่อเทียเรนจากฝ่ายบริหารค่ะ ดิฉันมีเรื่องอยากถามเกี่ยวกับงานเทศกาลจึงมาขอพบพระชายาค่ะ”

ข้าหลวงที่รับผิดชอบเรื่องงานเทศกาลได้มาที่ห้องทำงานของอาเรีย

ทั้งที่เวลานี้บลิสกำลังพูดอวดตัวเองอยู่แท้ๆ เชียว

แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ไม่สามารถไล่คนที่จะมาขอพบเพราะเรื่องงานออกไปได้ เธอจึงอนุญาตให้ข้าหลวงเข้ามา

“ต้องขอประทานอภัยด้วยค่ะ พระชายาทรงยุ่งอยู่แท้ๆ แต่ดิฉันกลับขอมาพบโดยตรงแบบนี้ พอดีดิฉันได้ยินว่านางกำนัลของพระชายาที่ดูแลเรื่องนี้ลาออกไปแล้วน่ะค่ะ…”

เนื่องจากได้รับการถ่ายทอดคำสั่งมาจากรูบี้อีกที การที่จะถามไถ่ผ่านรูบี้จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

ทว่ารูบี้กลับลาออกอย่างกะทันหัน คนที่เป็นแค่ผู้ดูแลชั้นต่ำอย่างเธอจึงไม่มีวิธีอื่นนอกจากต้องมาพบอาเรียด้วยตนเองเท่านั้น

อาเรียรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เธอบอกว่าไม่เป็นอะไรพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

“ไม่เป็นไรหรอก ครั้งหน้าก็มาหาฉันโดยตรงได้เลย เมื่อไหร่ก็ได้”

“อ๊ะ…! ค่ะ ค่ะ! ปะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ! ”

จากข้าหลวงระดับล่างที่ได้แต่เฝ้าหางานทำ จู่ๆ ก็ได้เลื่อนสถานะ(?)ให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถรายงานพระชายาได้โดยตรงในทันที เทียเรนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจและโค้งคำนับให้อาเรีย

นานแล้วที่ไม่ได้เห็นท่าทีโต้ตอบอย่างตรงไปตรงและน่ารักแบบนี้ อย่างกับว่าได้เห็นเจสซี่กับแอนนี่ตอนที่เพิ่งหลงใหลในตัวของอาเรียครั้งแรกเข้าเลย

ยิ่งปรากฏตัวหลังจากจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างรูบี้หายไปด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อาเรียรู้สึกถูกใจยิ่งขึ้นไปอีก

อาเรียยิ้มมุมปากขึ้นมาโดยที่ไม่มีใครสังเกต แล้วถามธุระออกมา

“แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ”

“อ๊ะ! ที่จริงแล้วดิฉันได้ลองคิดเรื่องค่าจ้างแรงงานที่จำเป็นต้องใช้ตามรายละเอียดที่พระชายาทรงสั่งไว้ดูค่ะ ในเมื่อนี่เป็นงานเทศกาลเพื่อฉลองพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่จะจัดขึ้นในรอบหลายสิบปีทั้งที ดิฉันเลยคิดว่าถ้าจ่ายค่าจ้างเป็นสองเท่าของราคาปกติจะดีไหมน่ะค่ะ”

และยังพูดอีกด้วยว่าเงินส่วนตัวของอาเรียนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นวงเงินที่ไม่จำกัด หากนำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในตอนนี้น่าจะเป็นการดี

เทียบกับท่าทางการพูดที่ดูฉะฉานและประหม่าอยู่ในตัวแล้ว นี่ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว

เพราะไม่ว่าจะจ่ายค่าจ้างเป็นสองหรือสามเท่า จำนวนเงินพวกนั้นก็ไม่ได้ทำให้ถังข้าวสารของอาเรียหมดไปนั่นเอง

อาเรียตรวจทานเอกสารที่เทียเรนยื่นให้อย่างรวดเร็วและอนุมัติพร้อมกับลงลายมือชื่อก่อนจะคืนมันให้กับเทียเรนอีกครั้ง

“ทำอย่างที่ว่ามานั่นแหละ เหมือนกับที่ฉันสั่งไปตอนแรกว่าจะใช้งบประมาณเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้จ้างคนได้มากเท่าที่จะทำได้และระวังไม่ให้ทำงานหนักมากเกินไปก็พอ”

“ค่ะ! ขอบพระคุณค่ะพระชายา! ดิฉันจะทำให้เป็นงานเทศกาลอันยิ่งใหญ่ที่ทุกคนพากันสนุกสนานไปด้วยให้ได้ค่ะ! ”

เทียเรนเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้ ต่างกับตอนเข้ามาลิบลับ เธอกล่าวอำลาอย่างผ่าเผยแล้วออกไปจากห้องทำงาน

อาเรียหันกลับมามองบลิสที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่จนถึงตอนนั้น และพูดออกมาช้าๆ ว่า

“ดีจังเลยนะ เพราะเธอเลยทำให้คนที่ว่างงานอยู่มีงานและเงินขึ้นมา ยิ่งงานเทศกาลจัดขึ้นนาน เมืองหลวงก็จะดูคึกคักมีชีวิตชีวาและก็ค้าขายดีขึ้นด้วย”

“เพราะหนูเหรอ…”

บลิสเบิกตาโพลงเมื่อได้รับคำชม

เพราะแบบนั้นอาเรียจึงเขี่ยเส้นผมที่ติดอยู่บนแก้มให้บลิส และพูดว่า

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้าเธอไม่พูดว่าอยากเห็นงานเทศกาลขึ้นมา ฉันก็ไม่คิดจะเลื่อนเวลาจัดงานเทศกาลให้เร็วขึ้นมาหรอก เพราะอย่างนั้นก็เท่ากับว่าทั้งหมดเป็นเพราะเธอยังไงล่ะ”

แม้อาเรียจะพูดจบไปแล้ว แต่บลิสก็ยังคงสีหน้าตกตะลึงเอาไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำตาเป็นประกายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“จริงเหรอ…หนูทำได้ดีอย่างนั้นเหรอ หนูไม่ได้ทำอะไรผิดใช่ไหม”

“ถ้าทำผิดละก็ ข้าหลวงคนนั้นคงไม่แสดงความตั้งใจออกมาอย่างแรงกล้าขนาดนั้นหรอก และฉันเองก็คงไม่อนุญาตด้วย”

“จริงเหรอ…! ”

“จริงสิ”

พออาเรียหัวเราะให้กับท่าทางที่อ่านออกได้ง่ายๆ ของบลิสและพยักหน้าขึ้นมา ดวงตาของลิสก็เริ่มรื้อแดงขึ้น

จากนั้นก็วิ่งพรวดพราดเข้าหาอ้อมแขนของอาเรีย

อาเรียรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นบริเวณใกล้ๆ หน้าอก และนั่นก็ทำให้เข้าใจได้ว่าบลิสร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

“…ถ้ายังร้องไห้อยู่แบบนี้ละก็ คงจะได้ตาบวมไปอีกสองวันแน่ๆ “

แม้จะคิดแบบนั้น แต่อาเรียก็ไม่ได้ปิดปากและสั่งให้บลิสหยุดร้องไห้เมื่อที่ทำไปเมื่อครู่ เธอเพียงแค่เอามือวางไว้บนหลังบลิสเท่านั้น

เพราะเธอรู้ดีว่าเวลาที่คนซึ่งเอาแต่ก่อเรื่องจนถูกมองว่าเป็นคนไร้ประโยชน์ได้รับคำชมขึ้นมา มันน่าดีใจเสียจนน้ำตาไหลออกมานั่นเอง

***

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร้องไห้ทั้งวัน หรือเพราะใช้อารมณ์มากเกินไปกันแน่

บลิสถึงได้เข้านอนเร็วกว่าปกติ ทำให้อาเรียและอาซได้ทานมื้อเย็นด้วยสองคนหลังจากที่ไม่ได้มีเวลาแบบนี้มาสักพักแล้ว

“คุณเลื่อนเวลางานเทศกาลให้เร็วขึ้นมาใช่ไหมครับ”

“อ๋อ ฉันก็ตั้งใจจะบอกให้ทราบเรื่องนั้นอยู่พอดีค่ะ เพราะพิธีบรมราชาภิเษกไม่ได้มีขึ้นบ่อยๆ เลยคิดว่าจัดงานเทศกาลให้นานขึ้นอีกหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร แล้วนี่ก็ไม่ใช่พิธีบรมราชาภิเษกของใครอื่นแต่เป็นงานเพื่ออาซนี่คะ”

แม้อาเรียจะบอกว่าทำเพื่อเขาก็เถอะ แต่ที่จริงแล้วอาซได้รับรายงานมาก่อนหน้านี้แล้วว่าที่เธอทำทั้งหมดนี้เป็นเพราะบลิส เขาจึงอมยิ้มขึ้นมา

“ไม่ถูกใจหรือคะ อุตส่าห์เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมพร้อมกับให้เงินและงานแก่ผู้คน อีกทั้งยังเตรียมสิ่งบันเทิงเอาไว้ให้ด้วย ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นประโยชน์ต่ออาซและฉันด้วยนะคะเนี่ย”

“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อทั้งหมดนี้ทำขึ้นมาเพื่อผมไม่ใช่ใครคนอื่นนี่ครับ”

ไม่ว่าจะเริ่มต้นขึ้นมาด้วยเหตุผลอะไร แต่สุดท้ายแล้วงานเทศกาลก็จะกลายเป็นประโยชน์ให้กับพวกเขาอยู่ดี

เพราะอย่างนั้นแล้วนี่จึงเป็นเรื่องที่ควรดีใจเอามากๆ แต่เพราะเขาเห็นว่าอาเรียกับบลิสใกล้ชิดสนิมกันมากขึ้นเรื่อยๆ เลยไม่สามารถรู้สึกดีใจได้อย่างเต็มอก

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปละก็ อาเรียคงไม่ยอมแพ้ที่จะให้กำเนิดบลิสแน่ๆ

‘ถ้าผมป่วยแทนได้ก็คงดี’

ถ้าตัวเองสามารถคลอดลูกและเป็นคนที่ป่วยแทนได้แล้วละก็ เขายินดีที่จะทำอย่างนั้นโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

ทว่าคนที่ป่วยกลับต้องเป็นอาเรีย ไม่ว่าจะครุ่นคิดมากเท่าไหร่อาซก็ไม่สามารถทนอยู่เฉยๆ และปล่อยให้เธอรับมือกับเรื่องนี้คนเดียวได้

‘อย่างน้อยก็ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมอาเรียถึงป่วย และเธอป่วยได้อย่างไร เธอต้องทนเจ็บปวดมากแค่ไหน’

แม้ว่าบลิสจะร้องไห้เพื่อเลี่ยงไม่ตอบก็ตาม แต่เขาจำเป็นต้องถามเรื่องนี้ให้แน่ชัด

แม้ว่าความเป็นไปได้จะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหาทางรับมือเรื่องนี้ได้ขึ้นมา

“อาเรียครับ ผมไม่มีทางอยู่เฉยและทนดูคุณเจอกับเรื่องอันตรายได้แน่ๆ เพราะคุณคืออาเรียที่สำคัญสำหรับผมมากกว่าสิ่งอื่นใด”

“…?”

อาเรียกำลังจะดื่มไวน์ แต่เพราะจู่ๆ อาซก็พูดออกมาแบบนั้น เธอจึงหยุดการเคลื่อนไหวเอาไว้และหันไปมองอาซ

แม้จะไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร แต่แววตาของอาซที่เธอเห็นนั้นดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

“ฉันรู้ค่ะ ก็คุณทำแบบนั้นมาตลอดเลยนี่คะ ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นนั้นกันค่ะ”

แม้ว่าจะยิ้มออกมาน้อยๆ และตอบออกไปเช่นนั้น แต่สีหน้าของอาซก็ไม่ได้ผ่อนคลายขึ้นเลย

***

หลังจากที่ทานมื้อเย็นเสร็จ ทั้งคู่ก็ตั้งใจจะไปเดินเล่นด้วยกัน แต่แล้วเทียเรนก็มาเข้าพบถึงที่สวน

หากเป็นดั่งปกติละก็ เธอคงจะโดนตำหนิที่มาขอพบในเวลาดึกดื่นเช่นนี้ไปแล้ว แต่เพราะมีเรื่องสำคัญจริงๆ จึงไม่สามารถว่าอะไรเธอได้

เนื่องจากต้องหาคนงานทันทีในช่วงเช้ามืดและต้องเริ่มลงมือทำงานแต่เช้าตรู่ ฉะนั้นแล้วจึงไม่สามารถบอกปัดให้เทียเรนมาพบในวันพรุ่งนี้ได้นั่นเอง

“เดี๋ยวฉันกลับมานะคะ พอดีมีเรื่องที่ต้องจัดการน่ะค่ะ”

“ไม่ต้องรีบก็ได้ครับ ผมเองก็ว่าจะไปที่ห้องทำงานสักครู่อยู่เหมือนกันครับ”

อาซยิ้มอย่างอ่อนโยนและไปส่งอาเรีย ทันทีที่เธอหายไปจากทางเดิน อาซก็ก้าวเท้าไปยังฝั่งตรงข้ามในทันที

ทางที่เขามุ่งไปนั้นตรงข้ามกับทางไปห้องทำงานโดยสิ้นเชิง ที่ที่เขากำลังเดินไปนั้นไม่ใช่ที่ไหนแต่เป็นห้องนอนของเขากับอาเรียนั่นเอง และก็เป็นทางที่มีห้องของบลิสอยู่ด้วย

‘ได้โอกาสละ เห็นทีต้องตรวจสอบความจริงให้ได้เสียแล้ว’

เพราะบลิสตัวติดอยู่กับอาเรียตลอดเวลา จึงทำให้อาซไม่มีโอกาสได้คุยกับเธออย่างลับๆ เลย

อาซเดินก้าวเท้ายาวๆ ผ่านทางเดินจนมาถึงหน้าห้องของบลิสในครู่เดียวเท่านั้น

“…อะไรกัน…ไม่มีทางที่ท่าน…ทำไมถึงพูด…! ”

ท่าทางบลิสจะตื่นแล้ว เพราะอาซได้ยินเสียงเบาๆ ดังมาจากข้างใน

บลิสคงไม่ได้พูดคนเดียวแน่ๆ ท่าทางจะหิวเลยเรียกสาวใช้ให้นำอาหารมาให้

อาซมั่นใจว่าต้องเป็นเช่นนั้นจึงได้เคาะประตูห้องของบลิสขึ้น

“บลิส”

“อื้อ-! “

จากนั้นอาซก็เรียกชื่อบลิสออกไป แต่แล้วก็ได้ยินเสียงตกใจกลัวดังขึ้นมาแวบหนึ่งจากด้านใน

“เงียบๆ สิ! ยัยโง่เอ๊ย! ”

จากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงโมโหดังตามขึ้นมา

อาซตัดสินใจไปตามสัญชาตญาณว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นกับบลิสแน่ๆ เขารีบเปิดประตูห้องแล้วถลาเข้าไป

“บลิส! ”

จากนั้นอาซก็ได้เห็นภาพที่เขาคาดไม่ถึงขึ้นมา

เพราะมีเด็กผมสั้นที่หน้าตาเหมือนกับบลิส-ไม่สิ เหมือนกับอาเรียกำลังยืนปิดปากบลิสอยู่นั่นเอง

………………