“ใช่ หม่อมฉันเสียใจมากที่ไม่ได้เจอท่าน”
ตึกตัก หัวใจของรูแฮสั่นไหวเพราะคำพูดที่ตรงไปตรงมาของกโยซึล แล้วนางพูดต่ออย่างนิ่งสงบ
“ทรงเสียพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงแม้ว่าหม่อมฉันจะชอบเที่ยวเล่นคนเดียว แต่การที่ต้องมาสวนหลังวังที่เงียบเหงาแห่งนี้ กับไปห้องหนังสือทุกวันมันก็น่าเบื่อ หม่อมฉันเหงาจึงอยากพบท่านอีกครั้ง”
แน่นอนอยู่แล้วว่านางต้องรู้สึกเช่นนั้น สาเหตุที่ทำให้กโยซึลนึกถึงใบหน้าของเขาในบางครั้งเพราะนางรู้สึกโดดเดี่ยว จึงทำให้นึกถึงรูแฮที่คอยปฏิบัติต่อตนอย่างอ่อนโยนเพียงผู้เดียวในพระราชวังแห่งนี้
“เพราะว่าท่านเป็นสหายคนแรกของเราในพระราชวังนี้”
“สหาย”
ใช่แล้ว ตนกำลังคาดหวังสิ่งใดอยู่ รูแฮรูสึกไร้เรี่ยวแรงในฉับพลัน เขาอยากที่จะคาดเดาถึงการแสดงออกอย่างซื่อตรงของกโยซึลอยู่ร่ำไป รูแฮระงับความปราถนาของตนเองและตอบกลับไปด้วยคำพูดแสนธรรมดา
“งานของกระหม่อมมีมากเลยไม่ค่อยได้ออกมาเดินเล่นพ่ะย่ะค่ะ แต่ว่าเวลามาที่สวนกระหม่อมก็จะมาที่เนินนี้”
“ถ้าเรามารอที่นี่ จะได้พบท่านหรือ”
“กระหม่อมไม่สามารถให้คำมั่นได้พ่ะย่ะค่ะ”
รูแฮย้ำกับตนเองว่ากโยซึลนั้นเป็นผู้ที่เขาไม่สามารถให้คำมั่นสัญญาได้ สายตาของรูแฮที่เอาแต่จ้องม้องกโยซึลได้เหลือบมองขึ้นไปด้านบน
“หากสวรรค์จะอนุญาต”
เหตุเพราะถึงแม้ว่าตนจะคิดถึงนาง แต่ก็คอยต้องพึ่งพาความบังเอิญอยู่ร่ำไป ขอยกข้ออ้างของหัวใจที่อวดดีนี้ให้เป็นเรื่องของสวรรค์
***
ในที่สุดกโยซึลก็มีกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำแล้ว ทุกๆ เช้าจะต้องไปเข้าเฝ้าเพื่อทำความเคารพบีพาอัน แม้ธรรมเนียมปฏิบัตินี้จะไม่มีอยู่ในพระราชวังของมกกุก แต่กโยซึลก็ยังคงปฏิบัติอย่างแน่วแน่ มันเป็นหน้าที่ของพระชายาฮวางแทจาที่กโยซึลตั้งขึ้นมาเอง
ประมาณช่วงเที่ยงกโยซึลก็จะใช้เวลาอยู่ที่ตำหนักของตนเอง ส่วนในช่วงบ่ายที่ผ่านไปอย่างช้าๆ นั้น กโยซึลก็จะไปที่พระราชวังฝ่ายนอก บางทีก็ไปห้องสมุด หรือสวนหลังวังฝ่ายนอกที่กโยซึลมักได้เจอสหายที่คอยสร้างความรื่นรมย์ให้แก่ตน และเนื่องจากเป็นการพบกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย บางครั้งก็อาจทำให้นางต้องรอเก้อ แตการบังเอิญเจอกันนั้นก็มีความสนุกซ่อนอยู่
เวลาผ่านไปเช่นนั้นอยู่หลายวัน และแน่นอนว่าเช้าวันนี้กโยซึลก็ไปทักทายบีพาอันยามเช้าที่ตำหนักเช่นเดิม บีพาอันชินกับการกระทำนี้ในแต่ละวันแล้ว เมื่อกโยซึลใกล้จะมาถึงบีพาอันก็จะเก็บหนังสือให้เป็นระเบียบแล้วนั่งพิงพนักหลังเฝ้ารอกโยซึล
วันนี้กโยซึลดูสดใสมากกว่าวันแรกไม่น้อยเลยทีเดียว แม้ว่าทุกครั้งที่มาบีพาอันจะไม่มีคำพูดใดๆ ก็ตาม แต่น่าจะเป็นเพราะได้เห็นหน้าทุกวันจึงทำให้กโยซึลเริ่มคุ้นเคยกับบีพาอันแล้ว ครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง เมื่อทำความเคารพยามเช้าเสร็จนางจึงลุกออกไปทันที แต่ในตอนนี้คำพูดเริ่มมากขึ้น วันนี้ก็เช่นกันกโยซึลก็เริ่มพูดเรื่องใหม่ๆ
“ฝ่าพระบาททรงรู้จักสวนหลังวังฝ่ายนอกหรือไม่เพคะ”
บีพาอันพยักหน้าและไม่พูดอะไร และด้วยสายตาที่สงสัยใคร่รู้ของกโยซึลก็พอจะอ่านความสนใจของบีพาอันออก บีพาอันก็เหมือนกันกับกโยซึล เขารู้สึกเริ่มชินกับนางมากขึ้นเพราะได้เจอหน้ากันทุกวัน กโยซึลคือสตรีที่ไม่สามารถออกคำสั่งใดๆ แก่นางได้ ตอนนี้มีคนที่แข็งแกร่งเข้ามาในชีวิตประจำวันที่เงียบสงบของบีพาอันแล้ว
“ช่วงนี้หม่อมฉันไปที่สวนหลังวังฝ่ายนอกบ่อยๆ เพคะ หม่อมฉันชอบสวนหลังวังฝ่ายนอกมากกว่าห้องสมุดเสียอีก”
บีพาอันคิดในใจว่ามันต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว สิ่งที่เขารับรู้ได้จากกโยซึลนั้น แม้ว่านางจะรู้สึกกลัวเขาจนเอาแต่นั่งอยู่เงียบๆ แต่บีพาอันก็รู้สึกได้ว่านางน่าจะเป็นหญิงแก่นแก้วที่ตามจับยากเหมือนกับสายลมเสียมากกว่าที่จะเป็นหญิงสาวที่สนใจในหนังสือ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสังสัยในตัวกโยซึลตั้งแต่ครั้งแรกที่ถามนางเรื่องห้องหนังสือ กโยซึลเป็นคนที่เดาออกได้ง่ายเหมือนกับมองเข้าไปในแม่น้ำที่ใสแจ๋ว
“และหม่อมฉันก็ได้พบสหายที่ดีที่นั่นเพคะ”
“…สหายหรือ”
หางคิ้วของบีพาอันขยับเล็กน้อย แต่ว่ากโยซึลหาได้รับรู้ไม่ นางกำลังมัวแต่ตื่นเต้นที่บีพาอันสนใจในคำพูดของตน เพราะว่าเขาไม่เคยตอบในสิ่งที่กโยซึลถามเลย กโยซึลที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความสนุกจึงตั้งใจพูดต่อไป
“ตอนแรกบังเอิญเจอกันที่ห้องหนังสือ แล้วเขาก็แนะนำสวนหลังวังฝ่ายนอกให้หม่อมฉันรู้จักเพคะ หลังจากนั้นเราก็ได้พบกันบ่อยๆ ค่อยๆ ทำสนิทสนมกันอยู่ แต่หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าหากเรียกเขาว่าสหายแล้วเขาจะพอใจหรือไม่”
ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากบีพาอัน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขากำลังตั้งใจฟัง หรือคำพูดของกโยซึลนั้นเข้าหูซ้ายทะหูขวาของเขากันแน่ แต่กโยซึลก็ยังคงพูดต่อไป
“อ่าใช่ เขาคือคนที่ออกมารับหม่อมฉันในวันแรกที่มาถึงมกกุกเพคะ เขาใจดีมาก วันนั้นเขาก็พาหม่อมฉันที่กำลังหวาดกลัวกับสถานที่ที่ไม่คุ้นชินนี้ไปเดินชมสวนหลังวังฝ่ายนอกด้วยกัน แต่ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้ว่าที่นั่นคือสวนหลังวัง”
กโยซึลพูดเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ตนไม่ได้พูดมาก่อน บีพาอันสังเกตุเห็นว่ากโยซึลดูสดใสขึ้นหลังจากพูดถึงเรื่องสหายคนนี้ ปกติแล้วนางมักจะเอาแต่กลัวเขา แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนนางลืมเลือนความกลัวไปเสียหมดเมื่อพูดถึงเรื่องสหายคนนี้ บีพาอันรู้สึกไม่พอใจ น้ำเสียงเจื้อยแจ้วที่คล้ายกับนกของนางในวันนี้ทำให้ตนอารมณ์ไม่ดีนัก
เหนือสิ่งอื่นใด
องค์หญิงลำดับที่หนึ่งแห่งฮวากุกได้เสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทฮวางเซจาจะทรงออกไปรับพ่ะย่ะค่ะ
บีพาอันนึกถึงคำพูดของขันทีในวันที่กโยซึลมาถึงมกกุกวันแรก คนที่กโยซึลกำลังพูดถึงอย่างร่าเริงอยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นรูแฮ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้บีพาอันก็พูดขัดกโยซึลด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“ชายา”
“เพคะ”
กโยซึลตอบกลับไปด้วยความกลัวในน้ำเสียงที่ห้วนและคมนั่น แม้ว่าน้ำตาจะคลอหน่วย แต่นางก็ปิดปากแน่น ขมวดคิ้วมุ่นให้ความสนใจกับบีพาอัน
“อย่าเที่ยวเล่นไปมาในพระราชวังอย่างไม่มีประโยชน์ ที่นี่ต่างจากราชอาณาจักรฮวากุก ชายาจะมาเดินเที่ยวเล่นอย่างไม่รู้ประสีประสาไม่ได้ จงจำไว้ว่าที่นี่เป็นพระราชวังที่เข้มงวด ย่างเท้าอันเบาหวิวของชายาอาจนำมาซึ่งสายลมที่พัดแรงก็เป็นได้ อย่าทำให้เราต้องพูดอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ อีก เราจะต้องพูดมันอีกสักกี่ครั้งกัน”
เขากระแอมออกมาราวกับถอนหายใจและเดาะลิ้นเบาๆ
“อา…”
ตอนแรกกโยซึลก็คิดว่าบีพาอันสนใจในเรื่องที่ตนกำลังพูด แต่ความสนใจนั้นหาใช่ความสนใจเดียวกันกับสิ่งที่กโยซึลคิด นางรู้สึกสมเพชตัวเองและรู้สึกอับอายที่เอาแต่พูดถึงเรื่องที่ตนชอบอย่างโง่เขลา
เขาแค่อยากจะตำหนิเรา
ริมฝีปากที่ถูกเปิดออกอย่างอิสระต่อหน้าบีพาอันนั้น ตอนนี้ได้ถูกปิดลงอย่างสนิท
“ขออภัยเพคะ”
“จงระวังอย่าให้เราได้ยินเรื่องนินทาลับหลังที่ไร้สาระ จะต้องให้เราสอนทุกอย่างแม้กระทั่งกิริยามารยาทที่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ และจงจำสำนึกไว้เสมอว่าตอนนี้ชายามิได้เป็นองค์หญิงแห่งราชอาณาจักรเล็กๆ อีกแล้ว แต่ทรงเป็นสมาชิกคนหนึ่งของราชวงศ์ที่ทรงเกียรติ และยังเป็นพระชายาของฮวางแทจาอีกด้วย”
“หม่อมฉันจะจดจำไว้เพคะ”
ลูกตุ้มลูกใหญ่ถูกผูกไว้ในน้ำเสียงที่ตกอยู่ในความหวาดกลัวของกโยซึล และในใจของบีพาอันคิดว่าความสดใสที่ได้เห็นเพียงแวบเดียวของกโยซึลนั้นเป็นเพราะสหายของนางที่ชื่อว่ารูแฮอย่างแน่นอน เมื่อกโยซึลย้อนกลับมามองตัวเองตอนนี้อีกครั้ง นางเหมือนกับลูกสัตว์ที่ไร้ซึ่งอำนาจและกำลังอ่อนแออยู่ตรงหน้าสัตว์ป่า
เส้นทางนี้ถูกต้องแล้ว