บทที่ 202
ระส่ำระสาย
เมื่อเห็นลี่เฉินถูกสังหารภายในกระบวนท่าเดียว ลี่ตัน กวนโป๋และกองทหารที่เหลืออยู่เพียงหยิบมือก็ยืนขาแข็งไม่ขยับเขยื้อนด้วยความตกตะลึง
แม้พวกเขาไม่มีท่าทีที่จะสู้ต่อ แต่เย่เย่นั้นก็ไม่เคยอ่อนข้อให้คนชั่ว เขาใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรงจนทำให้กองกำลังที่เหลือทั้งหมด รวมทั้งลี่ตันและกวนโป๋ตายตกตามกันไป
แม้ว่าดวงตาของเย่เย่ยังคงสุขุมเยือกเย็น แต่แฝงไปด้วยความโหดร้ายทารุณ ไร้ความเมตตาปรานี ดูเหมือนว่าการใส่เกราะสวรรค์นภาทมิฬจะส่งผลกับสภาพจิตใจของเขาไม่มากก็น้อย
หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดสงบลง เย่เย่ก็บินหายไปจากท้องฟ้าโดยที่ไม่ได้กล่าวอำลาใดๆกับหวงจิ้งเฟิงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อหวงจิ้งเฟิงมองไปที่ร่องรอยการต่อสู้ ที่เป็นหลุมเป็นบ่อราวกับถูกดาวตกพุ่งชน เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก
“ใต้หล้าคงไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วสินะ…” เขาถอนหายใจ และบ่นพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะขึ้นอานม้า มุ่งหน้าไปยังตงเฉิงพร้อมกับเหล่าบริวาร
วันถัดมา ใต้หล้าก็ระส่ำระสายจากข่าวการปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งของประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ จากคำกล่าวในครั้งแรกที่ปรากฏตัวว่าจะหยุดยั้งผู้ก่อสงคราม ทำให้เหล่านิกายหลักทั้งแปด รวมไปถึงพรรคน้อยใหญ่ต่างคิดกันไม่ตก พวกเขาที่ต้องการขยายฐานอำนาจก็ต้องชะลอแผนการลงไปก่อน อย่างไรก็ตามเหล่าสามัญชน พวกสำนักเล็กๆจากเบื้องล่างที่โดนกดขี่ข่มเหงมาโดยตลอดก็เริ่มเห็นแสงแห่งความหวังเล็กๆ ที่รอดพ้นขอบประตูเข้ามาในห้องที่ดำมืดของพวกเขาอีกครั้งและต่างยกย่องประมุขแห่งอารามเป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กองกำลังปีกแห่งแสงถูกก่อตั้งขึ้นอย่างลับๆ โดยเกิดจากการรวมตัวของผู้ที่ศรัทธาในตัวประมุขแห่งอารามจากทั่วทุกสารทิศ พวกเขามีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการกระทำของประมุขที่แม้ว่าจะไม่รู้จักหน้าคร่าตา หรือแม้กระทั่งชื่อแซ่ แต่เขาก็เปรียบดั่งเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจที่หลอมรวมพวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักของราชสำนัก และนิกายทั้งแปดที่ระดมกำลังกันสืบหาเบาะแสของบุรุษลึกลับ ในขณะที่ทัณฑ์สวรรค์ยังคงเก็บตัวเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ในขณะเดียวกันที่หอการค้าหยูเย่ จัตุรัสหวางตู้
“ฮ่าฮ่าฮ่า สาแก่ใจข้าจริงๆ พวกมันสมควรตายแล้ว!” ลู่จุ้นหัวเราะลั่นเมื่อทราบข่าว ในใจลึกๆของเขารู้สึกติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่กับประมุขแห่งอาราม เขาเชื่อว่าหลังจากนี้จักรพรรดิเหิงคงไม่กล้าส่งคนไปราวีพ่อบุญธรรมเขาอีกพักใหญ่ๆ
เย่เย่ที่ได้ยินเสียงเฮลั่นของลู่จุ้นจากด้านนอก เขาก็ไม่ได้สนใจอะไร เอาแต่เก็บตัวฝึกฝนวรยุทธ์ในห้องอย่างเงียบๆ ปล่อยให้ลู่จุ้นเป็นคนดูแลกิจการแทบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว
เนื่องจากธุรกิจหอการค้าหยูเย่กำลังเป็นที่นิยมอันดับต้นๆในหวางตู้ ทำให้เย่เย่ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำนับตั้งแต่เปิดร้าน สิ่งแรกที่เขาทำแน่นอนว่าเป็นการหมุนเงินเข้าระบบแลกเปลี่ยนเพื่อเติมสินค้าเข้าคลัง หลังจากนั้นก็แลกยาจิตตั้งมั่นที่ราคาสูงลิ่วออกมาเพื่อใช้ในการขัดเกลาวรยุทธ์ในระดับสูง
ถึงแม้ราคาของมันจะทำให้เย่เย่แทบจะสิ้นเนื้อประดาตัว แต่คุณสมบัติของมันก็นับว่าคุ้มค่า เมื่อเย่เย่กลืนมันลงไป ลมปราณในร่างก็ไหลเวียนลื่นไหลราวกับสายน้ำ เย่เย่ไม่รอช้านั่งขัดสมาธิลงเดินพลังพร้อมฝึกฝนเคล็ดวิชาจากคัมภีร์มังกรแปดเศียรที่เคยแลกเอาไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อยาจิตตั้งมั่น คัมภีร์มังกรแปดเศียร และจิตวิญญาณแห่งมังกรอสรพิษผนวกเข้าด้วยกันทำให้การบ่มเพาะพลังวัตรของเย่เย่นั้นรวดเร็วกว่าคนอื่นๆในระดับชั้นเดียวกันหลายเท่า แต่ระดับจิตพิสุทธิ์นั้นไม่ใช่ว่าจะก้าวข้ามได้ง่ายๆเหมือนขั้นที่แล้วๆมา หนทางสู่จิตพิสุทธิ์ระดับสูงนั้นยังอีกยาวไกล
‘ได้เวลาฝึกวิชายุทธ์บ้างแล้วสินะ’ เมื่อเย่เย่ฝึกกำลังภายในจนเป็นที่พอใจแล้ว เขาจึงหันมาฝึกวิชายุทธ์เพื่อขัดเกลากระบวนท่าและความแข็งแกร่งทางกายภาพ
เขาหยิบคัมภีร์หัตถ์เทวะขึ้นมา วาดท่าทางและจินตนาการภาพในหัวตามคำชี้แนะจากคัมภีร์ ฝึกไปได้ครึ่งชั่วยามก็บรรลุขั้นต้นได้ เคล็ดวิชาหัตถ์เทวะนั้นเป็นวิชายุทธ์ขั้นสูง ผู้ที่มีวรยุทธ์หรือพลังวัตรระดับจิตพิสุทธิ์ขึ้นไปเท่านั้นที่จะฝึกฝนได้ แม้เย่เย่จะบรรลุเพียงขั้นต้น แต่มันก็เพียงพอที่จะเอาไปใช้งานจริงได้
แม้ว่าเย่เย่จะปรากฏตัวขึ้นในฐานะประมุขของอารามเพียง 2 ครั้ง แต่เพียง 2 ครั้งนั้นเขาก็คร่าชีวิตคนมานับไม่ถ้วน แต่พลังสายฟ้าสีม่วงที่เขาใช้นั้นมันรุนแรงยากเกินควบคุมมันทำลายทั้งกายหยาบและกายทิพย์ของศัตรู ทำให้เย่เย่ไม่สามารถใช้ทักษะกลืนสวรรค์เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณแห่งมังกรของเขามาได้พักใหญ่ๆแล้ว
อย่างไรก็ตามเย่เย่ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจมากนัก เขายังคงฝึกฝนทักษะกลืนสวรรค์อย่างสม่ำเสมอจนบรรลุในระดับชั้นของจิตพิสุทธิ์แล้ว เมื่อใดที่โอกาสมาถึง เย่เย่ก็มั่นใจว่าทักษะกลืนสวรรค์ระดับสูงนี้จะช่วยให้เขาสามารถดูดกลืนพลังของศัตรูได้มากถึง 3 ส่วนต่อคนเลยทีเดียว
ในระหว่างที่เย่เย่หมกมุ่นอยู่กับการฝึกวิชาทั้งวันทั้งคืนอยู่นั้นเอง ในคืนหนึ่งลู่จุ้นที่เหน็ดเหนื่อยจากการต้อนรับลูกค้าจำนวนมาก เขาก็ปิดร้านตรงตามเวลาก่อนเดินกลับเข้าไปในห้องชั้นแรกเพื่อพักผ่อน ทันทีที่หัวถึงหมอนเขาก็ผล็อยหลับไป
เมื่อตกกลางดึกเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาก็ดังขึ้น ลู่จุ้นที่หลับสนิทจึงไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น
“หึ ดูเหมือนว่าหอการค้าที่เลื่องชื่อจะแอบเข้ามาได้ง่ายกว่าที่ข้าคิดเสียอีก” ชายที่ใส่ชุดคลุมสีดำยาวพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโดดลงมาจากโคมไฟด้านบน
เป้าหมายของชายผู้นี้มิใช่การลอบสังหาร แต่เป็นดาบประกายเพลิง สินค้าระดับสูงที่มีเพียงชิ้นเดียวในยุทธภพ เช่นเดียวกับเกราะแสงอาทิตย์ ดังนั้นเขาจึงแอบเข้ามาในช่วงที่ลูกค้าคับคั่งและเร้นกายอยู่ในโคมไฟมาตั้งแต่ก่อนฟ้ามืด
ดาบประกายเพลิงนี้เป็นอาวุธอานุภาพร้ายกาจ สำหรับผู้มีวรยุทธ์ระดับเทพอสูร ว่ากันว่าพลังของมันเทียบเท่ากับผู้มีวรยุทธ์เทพอสูรชั้นสูงเลยทีเดียว ชายลึกลับได้ยินกิตติศัพท์กล่าวขานถึงดาบเล่มนี้มานาน ทันทีที่เขากระโดดลงมาก็ไม่รอช้าตรงดิ่งไปยังชั้นวางอาวุธในทันที
“ข้าขอยืมมันสักหน่อย ไว้ภารกิจลุล่วงแล้ว ข้าจะนำกลับมาคืน” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยื่นมือคว้าดาบด้วยความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและรู้สึกผิดในเวลาเดียวกัน
“เอาของไปโดยที่ไม่ขอความยินยอมจากเจ้าของ แบบนี้น่ะเขาไม่เรียกว่ายืมหรอกนะ” ทันทีที่มือกำลังจะสัมผัสกับดาบ เสียงของชายผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ใครกัน!?” ชายปกปิดใบหน้าผงะด้วยความตกใจ เขากระโดดถอยออกไปหลายก้าวและตั้งท่าพร้อมสู้
ชายผู้นั้นค่อยๆเดินออกมาจากเงา ปรากฏว่าเป็นเย่เย่ เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติตั้งแต่ที่ชายลึกลับลักลอบเข้ามาตั้งแต่ต้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรและรอจนกว่าชายผู้นั้นจะแสดงตัวออกมา
ถึงแม้ว่าชายเร้นกายผู้นี้จะมีวรยุทธ์เพียงขั้นเทพยุทธ์ แต่เขาก็ใช้เคล็ดวิชาบางอย่างปกปิดลมหายใจและเสียงฝีเท้าของตนเองได้อย่างแนบเนียน เกรงว่าหากเย่เย่มีวรยุทธ์ต่ำกว่านี้สักขั้นหนึ่งดาบประกายเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็คงหายไปจากหอการค้าหยูเย่ตลอดกาล..