บทที่ 203
กู๋จื่อเช่า
เมื่อเห็นเย่เย่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ชายปิดบังใบหน้าก็ผงะถอยออกไปหลายก้าว และกำอาวุธในมือเอาไว้แน่น เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าเคล็ดวิชาเงาซ่อนเร้น ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชายุทธ์ขั้นสูงที่สามารถเก็บซ่อนลมหายใจได้อย่างไร้ที่ติของเขาจะถูกเปิดโปงได้ง่ายดายเช่นนี้
ก่อนหน้าที่ชายลึกลับจะลงมือ เขาได้ทำการสำรวจพื้นที่มาเป็นอย่างดี ในช่วงเวลา 2-3 วันที่ผ่านมาเขาก็ไม่พบแม้แต่เงาหัวของเย่เย่ ทำให้เขาตัดสินใจลงมือในกลางดึกของวันที่ 3 แต่ทว่ากว่าจะชิงดาบประกายเพลิงได้สำเร็จก็ถูกเย่เย่จับได้เสียก่อน
การมาของเย่เย่นั้นเงียบสนิท ทำให้ชายลึกลับผู้นี้ไม่ทันได้ตั้งตัว หากเขาไม่เห็นเย่เย่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยตาเปล่าแล้ว เบื้องหน้าของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากพื้นที่โล่งๆก็มิปาน การกำบังกายของเย่เย่นั้นสมบูรณ์แบบเสียจนผู้ที่ใช้เคล็ดวิชาเงาซ่อนเร้นเองก็มิอาจรู้ตัวได้
“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่!?” ชายลึกลับถามขึ้น
ถึงแม้เย่เย่จะไม่ตอบคำถามนั้น แต่ชายเร้นกายก็พอเดาตัวตนของเย่เย่ได้เลาๆ
ฟิ้ววววววววว
เมื่อแผนทั้งหมดพังทลาย ชายปิดบังใบหน้าก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ เขาใช้เคล็ดวิชาเงาซ่อนเร้นผนวกกับวิชาตัวเบา กระโดดขึ้นไปบนชั้น 2 ก่อนเอนกายลอยตัวออกจากหน้าต่างไปราวกับภูตผี
“คิดหนีงั้นรึ?” เย่เย่ก้าวขาเพียงเล็กน้อยร่างของเขาก็หายไป และปรากฏกายขึ้นด้านหน้าของผู้หลบหนีอีกครั้ง
ชายผู้หลบหนีตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ เขาพยายามเบี่ยงตัวไปทางอื่น แต่ทว่าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าของเย่เย่ทำให้เขาจนปัญญา
“ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถอะ ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย!” ในที่สุดเขาก็สิ้นฤทธิ์ เขาอ้อนวอนของความเมตตาจากเย่เย่ด้วยดวงตาที่สิ้นหวัง ก่อนดึงผ้าสีดำที่ปกปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์
“ข้ามีนามว่า กู๋จื่อเช่า เป็นบุตรชายในตระกูลที่เก่าแก่แห่งเมืองอู๋เจิ้นอยู่ไม่ห่างจากหวางตู้มากนัก เดิมที่ข้าตั้งใจมาซื้อดาบประกายเพลิงของท่าน แต่โชคร้ายที่ตั๋วทองเกือบทั้งหมดของข้าถูกโจรชั่วลักขโมยไป ที่ข้าทำเช่นนี้เพราะข้าไม่มีทางเลือกอื่น เถ้าแก่เย่ได้โปรดเห็นใจข้าน้อยด้วย!”
กู๋จื่อเช่าชายหนุ่มจากต่างเมืองแนะนำตัวเอง ก่อนคุกเข่าขอขมาเย่เย่ด้วยความรู้สึกผิดและอัดอั้นตันใจในเวลาเดียวกัน
จากท่าทีของชายหนุ่ม ดูเหมือนว่าเขาจะละทิ้งความคิดที่จะหนีไปจนสิ้น เอาแต่คุกเข่าก้มหน้าภาวนาให้เย่เย่ยกโทษให้แก่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขา
เสียงพูดคุยระหว่างสองจอมยุทธ์ในโถงกลาง ปลุกลู่จุ้นที่กำลังหลับได้ที่ตื่นขึ้นมา เขาเดินบิดขี้เกียจออกมาจากห้องก่อนพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันตรงหน้า
“ฮ้าวววว เอะอะอะไรกัน? อะอ้าว มีผู้บุกรุกงั้นรึ!?” ทันทีที่เห็นผู้บุกรุกเขาก็ไม่รอช้า คว้าเชือกเส้นยาวออกมาพันมือทั้งสองกู๋จื่อเช่าเอาไว้
“ขังเขาไว้ พรุ่งนี้ค่อยส่งให้ทางการจัดการ” เย่เย่โบกมือสั่งลู่จุ้น ก่อนเดินกลับขึ้นไปยังห้องของตนเพื่อทำการฝึกฝนวรยุทธ์ต่อ
“รับทราบ!” เมื่อได้รับภาระหน้าที่จากเย่เย่ ลู่จุ้นที่สะลึมสะลือก็ตื่นขึ้นเต็มตา หลังจากที่ผูกเงื่อนอย่างแน่นหนาแล้ว เขาก็จับตามองกู๋จื่อเช่าอย่างไม่วางตาราวกับว่าชายเบื้องหน้าเขาจะหายตัว หรือแม้กระทั่งกลายร่างเป็นของเหลวไหลออกตามซอกหลืบไปได้ทุกเมื่อ
“ช้าก่อน! ขะ ขอร้องล่ะ อย่าส่งตัวข้าให้ทางการเลยนะขอรับ ได้โปรด! ถ้าตั๋วทองของข้าไม่ถูกขโมยไป ข้าสาบานต่อฟ้าดินว่าข้าไม่เคยคิดจะทำเรื่องเช่นนี้เลย!” ชายหนุ่มตะโกน อธิบายเหตุผลไล่หลังเย่เย่ที่เดินจากไป
“งั้นเจ้าบอกข้า เจ้าเข้าเมืองมาจากประตูทิศใด?” ลู่จุ้นลังเลเล็กน้อย ราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนถามกู๋จื่อเช่าขึ้น
“ประตูทิศประจิมขอรับ!” กู๋จื่อเช่าตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา
ลู่จุ้นพยักหน้าเล็กน้อย พลางใช้มือเท้าคางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันหน้าไปถามเย่เย่ที่เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจใยดี
“ท่านเย่ ข้าว่าเรื่องที่เขาว่ามาพอจะมีมูลอยู่บ้าง เมืองในเขตประจิมเป็นที่ซ่องสุมของกลุ่มโจร ไม่แน่ว่าเขาอาจจะถูกขโมยที่นั่น”
“ใช่ ใช่ ใช่แล้ว หากสิ่งที่ข้าพูดไปมีความเท็จแม้ครึ่งประโยค ขอให้ฟ้าลงโทษดินลงทัณฑ์!” กู๋จื่อเช่ารู้สึกซาบซึ้งที่ลู่จุ้นพูดแทนเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ชูสามนิ้วขึ้นสาบานต่อหน้าเย่เย่
ได้ยินดังนั้นเย่เย่ก็ชะงักเท้าลง ก่อนพูดขึ้นกับกู๋จื่อเช่า
“ตั๋วทองเจ้าถูกขโมย ก็เลยผันตัวมาเป็นโจรขโมยของงั้นรึ จอมยุทธ์แซ่กู๋ช่างมีคุณธรรมเสียจริง”
แม้จะเจ็บใจจนกำมือแน่น แต่กู๋จื่อเช่าก็ไม่อาจปฏิเสธความผิดพลาดที่ตัวเองก่อเอาไว้ได้ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เรียกความตั้งใจแต่เดิมของเขากลับมา ก่อนอธิบายให้เย่เย่ฟังอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นสมกับที่เป็นลูกผู้ชาย
“เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของตระกูลของข้า ต่อให้ถูกประณามจากคนทั้งใต้หล้าข้าก็ยืนยันที่จะทำเช่นเดิม ดังนั้นได้โปรดให้โอกาสข้าทำบุญไถ่โทษ ตราบใดที่ท่านช่วยข้าตามหาตั๋วทองที่หายไป ข้ายินดีที่จะจ่ายค่าดาบประกายเพลิงสูงกว่าราคากลาง 50%”
น้ำเสียงที่แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิดของเขา ทำให้ทั้งลู่จุ้นและเย่เย่มองหน้ากันและเงียบไปพักใหญ่ เย่เย่จ้องเข้าไปในดวงตาของกู๋จื่อเช่าประหนึ่งจะอ่านใจเขาให้ทะลุปรุโปร่ง
“สูงกว่าราคาตลาด 50% งั้นรึ? ย่อมได้! ลูกผู้ชายอกสามศอกพูดแล้วอย่ากลับคำล่ะ” เย่เย่พยักหน้าให้ลู่จุ้น ก่อนพยักหน้ารับข้อเสนอของกู๋จื่อเช่า
“ลู่จุ้น! พรุ่งนี้เช้าปิดร้าน ไปเขตประจิมกับข้าตามหาตั๋วทอง ทวงคืนความยุติธรรมให้คุณชาย
แซ่กู๋!” เมื่อมีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง เย่เย่ก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตาเห็น
“เป็นวาสนาของเจ้าที่ได้พบเถ้าแก่ร้านข้า หากเป็นจอมยุทธ์ท่านอื่นเขาคงจะขยี้แมวขโมยอย่างเจ้าให้แหลกคามือไปแล้ว!” ลู่จุ้นพูดอย่างติดตลก พลางค่อยๆกำมืออย่างช้าๆราวกับจะฆ่าจะแกง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันที่คุกใต้ดิน ลู่จุ้นก็รู้ดีว่าเย่เย่นั้นหน้าเงินแค่ไหน แต่เขากลับประหลาดใจที่เย่เย่ช่วยกู๋จื่อเช่าในครั้งนี้ ไม่แน่ว่าในใจเย่เย่อาจจะมีจุดประสงค์อื่นนอกเหนือจากเรื่องเงินก็เป็นได้
เมื่อรู้ว่าข้อเสนอของเขาสัมฤทธิผล กู๋จื่อเช่าก็ประสานมือโค้งคำนับเย่เย่ไม่หยุด ก่อนจะใช้พื้นที่โถงกลางพักผ่อนจนกระทั่งเช้าวันใหม่มาถึง
เช้าวันถัดมา หอการค้าหยูเย่ก็ติดประกาศปิดร้านชั่วคราว เย่เย่พร้อมด้วยลู่จุ้น และกู๋จื่อเช่าก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเขตตะวันตกของหวางตู้
ลู่จุ้นนั้นอาศัยอยู่ในหวางตู้มาแทบทั้งชีวิตของเขา จึงชำนาญทางและมีความรู้เกี่ยวกับแต่ละเขตของหวางตู้อย่างกว้างขวาง ระหว่างทางเขาจึงถือโอกาสนี้ในการพาเย่เย่ชมสองข้างทาง และแนะนำอะไรหลายๆอย่างที่คนนอกไม่รู้
กู๋จื่อเช่าก็เงี่ยหูฟังไปด้วย เขารู้สึกชื่นชมและเคารพในความรอบรู้ของลู่จุ้นอยู่ในใจ
เมื่อทั้งสามมาถึงตรอกเล็กๆในเขตตะวันตก ลู่จุ้นก็ได้แนะนำข้อมูลของตรอกนี้คร่าวๆให้กับผู้ร่วมเดินทางทั้งสองฟัง
“ตรอกนี้เป็นถิ่นของ พญางูเขียวหยินจื่อ เป็นที่ซ่องสุมของพวกโจรในเขตตะวันตก เมื่อพวกเราเข้ามาในเขตนี้แล้วต้องระวังตัวกันให้มาก”
“ไปหาเขากันเถอะ เผื่อว่าเขาอาจจะรู้เบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้” เย่เย่พยักหน้าตอบลู่จุ้น ก่อนนำทางทั้งสองเข้าไปในส่วนที่ลึกสุดของตรอกแคบ ปลายทางปรากฏให้เห็นสวนขนาดกว้างประมาณนึง มีบรรยากาศอึมครึมราวกับถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอก เย่เย่ไม่รอช้าเคาะประตูกระท่อมที่ตั้งอยู่บริเวณนั้นในทันที
แต่ทว่าก่อนที่มือของเย่เย่จะสัมผัสกับบานประตู เสียงเคาะอย่างเป็นจังหวะสามครั้งก็ดังขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ไม่ทันไรประตูก็เปิดออกมา ปรากฏให้เห็นชายผู้หนึ่งมีรอยแผลเป็นเต็มใบหน้า เขาจ้องมองมาที่ทั้งสามด้วยใบหน้าถมึงทึง ก่อนพูดรหัสลับบางอย่างขึ้น
“พยัคฆาซ่อนเล็บ”
เปรี้ยงงงงงงง!
เมื่อไม่รู้รหัส เย่เย่จึงตัดสินใจเดินลมปราณไปที่เท้า เตะอัดกระแทกโจรหน้าบากจนกระเด็นออกไป ก่อนที่ลู่จุ้นและกู๋จื่อเช่าจะชักกระบี่ออกมาจ่อที่ปลายกระเดือกของโจรผู้นั้น
“ไปเรียกพญางูเขียวของเจ้าออกมา ข้ามีเรื่องอยากจะถามเขาให้รู้เรื่อง!” เย่เย่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงข่มขู่
เนื่องจากที่สวนกว้างแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มโจร ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างไร้คุณธรรม เย่เย่จึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ความรุนแรงสยบความรุนแรง
ไม่นานนักหลังจากที่ชายหน้าบากกลับไปรายงาน เขาก็กลับมาพร้อมกับชายวัยกลางคน รูปร่างผอม ผิวขาวซีด ตาดำเล็กเรียวราวกับอสรพิษ พร้อมกับกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่ง ชายวัยกลางคนผิวขาวซีดผู้นี้คาดว่าน่าจะเป็นหยินจื่อพญางูเขียว จอมโจรผู้เลื่องชื่อแห่งเขตประจิม
“เถ้าแก่แห่งหอการค้าหยูเย่งั้นรึ ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาไม่น้อยเลยทีเดียว แต่วันนี้ท่านมาทำร้ายคนของข้า อย่าหวังว่าจะได้กลับไปเป็นๆเลย!”
พญางูเขียวแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย เขาหวังจะกอบกู้ชื่อเสียงของตนกลับคืน จึงไม่รอช้าโบกมือสั่งให้ลูกน้องปิดทางเข้าออก และรายล้อมจอมยุทธ์ทั้งสามเอาไว้…