บทที่ 137 ฆาตกร
ทั้งคู่เดินตามร่องรอยของการต่อสู้ไป ใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่พวกเขาจะไปสะดุดเข้ากับศพอีกศพ
ศพทั้งสองศพมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก พวกเขามีบาดแผลจากดาบหลายจุด ลำคอของพวกเขาระเบิด ป้ายหยกของพวกเขาถูกตัดไปและสภาพการตายของพวกเขาก็น่าอนาถใจเช่นเดียวกัน
“ดูเหมือนจะไม่ใช่การฆ่ากันเพราะความบาดหมางนะ” ซูเฉินบ่นพึมพำ
“บางทีมันอาจมีศัตรูสองคน” หวังโต้วซานกล่าวพลางกลืนน้ำลาย
“เช่นนั้นมันก็ค่อนข้างโชคดีที่ได้เจอพวกมันอยู่ใกล้ ๆ กัน” ซูเฉินยังคงเดินตามร่องรอยต่อไป
จากนั้นไม่นานพวกเขาก็พบเข้ากับอีกศพหนึ่งที่ถูกฆ่าในลักษณะเดียวกัน
เหยื่อได้รับบาดเจ็บในตำแหน่งเดียวกันทั้งหมด
หวังโต้วซานทนไม่ได้อีกต่อไป “มารดามันเถอะ ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้ว? นี่มันก็แค่ฆ่าทุกคนที่เจอเลยไม่ใช่หรืออย่างไรกัน!”
การแสดงออกของซูเฉินเองก็ดูน่าเกลียดเช่นกัน “สถาบันมังกรซ่อนเร้นไม่สนใจเหตุการณ์เหล่านี้เลยหรือ?”
“เอ่อ นี่พูดยาก เจ้าก็รู้ว่าอุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นได้เสมอเมื่อคนเราสู้กัน … ”
“แต่นี่มันไม่ใช่อุบัติเหตุ!”
“คำถามคือใครเป็นผู้ตัดสินเรื่องนั้น? บางทีคนผู้อาจไม่สามารถควบคุมทักษะต้นกำเนิดของตนได้ ทำให้ทุกครั้งที่ปล่อยทักษะออกมาก็จะมีคนตาย” หวังโต้วซานตอบพลางหัวเราะคิกคัก
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจ้าอ้วน หัวใจของซูเฉินก็สั่นสะท้าน “ดูเหมือนเจ้าจะไม่แปลกใจเลยนะ”
หวังโต้วซานหัวเราะอย่างมืดมน “ข้าก็เพียงแค่พบเห็นเรื่องพรรค์นี้บ่อยเกินไป”
“เห็นบ่อยเกินไป?” ดวงตาของซูเฉินหรี่ลง
“โอ้ คำพูดเก่า ๆ นั้นใช้ได้ดีเสมอ เจตนาฆ่านั้นมาจากใจหาใช่จากอาวุธที่อยู่ในมือไม่ เมื่อกลุ่มคนบางพวกได้มีอำนาจในการตัดสินชีวิตของผู้อื่น ในกลุ่มคนเหล่านั้นก็ย่อมจะมีผู้ที่อดไม่ได้ที่จะแสดงอำนาจนั้นออกมาอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีคนพิเศษบางจำพวกที่รู้สึกเพลิดเพลินไปกับการฆ่า และควบคุมชีวิตของผู้ที่อยู่ในกำมือของพวกมันด้วยเช่นกัน”
“ข้าเข้าใจ สิ่งที่ข้าจะสื่อคือทำไมสถาบันมังกรซ่อนเร้นถึงได้ไม่ควบคุมสิ่งเหล่านี้”
“ก็เพราะมันไม่ง่ายที่จะควบคุมนะสิ!” หวังโต้วซานตอบกลับ “เจ้าก็เห็นนี่ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดการระเบิดจากภายใน”
“ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด”
หวังโต้วซานพยักหน้า “มันไม่ใช่แค่ทักษะต้นกำเนิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีสายเลือดผสมไม่สามารถบรรลุถึงพลังในระดับนี้ได้ ซึ่งหมายความว่าไอ้เจ้าฆาตกรบ้าเลือดนี้ เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลสายเลือดชั้นสูง”
“เช่นนั้น พวกเขาจึงเรียกการตายเหล่านี้ว่า ‘อุบัติเหตุ’ และเจ้าฆาตกรนั้นก็ไม่ต้องรับโทษอะไร?” ซูเฉินถามด้วยความโกรธ
“มันจะไม่ได้ลอยนวลไปหรอก มันย่อมต้องถูกลงโทษอยู่แล้ว ทว่าจะยังไงก็ไม่ใช่โทษถึงตายอย่างแน่นอน”
“เพียงแค่ลงโทษ?” ซูเฉินไม่อยากจะเชื่อ
หวังโต้วซานหัวเราะเสียงดัง “ไม่งั้นผู้คนจะเรียกขานตระกูลสายเลือดชั้นสูงว่าตระกูลชั้นสูงไปทำไมกัน? พวกมันแตกต่างจากชื่อของพวกมันงั้นหรือ?”
ซูเฉินชะงักงัน
ใช่ เหตุใดพวกเขาถึงได้ถูกเรียกขานว่าตระกูลชั้นสูง?
สถานะทางสังคม! มันมีชนชั้นที่แตกต่างกันอยู่ในสังคมนี้ ด้านบนคือตระกูลชั้นสูง รองมาเป็นตระกูลชั้นกลาง สุดท้ายก็ตระกูลชั้นล่างพวกคนทั่วไป!
ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่หลานจื่อทำผิด ซูเฉินสั่งให้กังเหยียนทุบตีนางให้ตาย การตายของนางเกิดขึ้นเพียงเพราะเธอทำบาปงั้นหรือ?
ไม่ ไม่ใช่เลย!
มันเป็นเพราะซูเฉินอยู่ในสถานะที่มีอำนาจมากกว่านาง ดังนั้นเขาจึงสามารถสั่งลงโทษนางถึงตายได้ แล้วก็แค่ยอมไปรับลงโทษเล็ก ๆ ในภายหลัง
ไม่สำคัญเลยว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือใครเป็นฝ่ายผิด มันไม่มีอะไรนอกจากข้ออ้างที่สะดวกสบาย แม้กระทั่งแรงจูงใจก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพึ่งพาได้
สิ่งที่เจ้าสามารถพึ่งพาได้มีอยู่เพียงสองอย่างเท่านั้น ชื่อเสียงและตำแหน่ง!
แน่นอนว่าซูเฉินเชื่อว่าทุกครั้งที่เขาฆ่าใครสักคนนั้น หากไม่ใช่เพราะว่าอีกฝ่ายมีความผิดที่สมควรตาย เขาก็แค่ทำเพื่อป้องกันตัวเอง
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะยับยั้งตัวเองเอาไว้ด้วยศีลธรรม
คนบางคนนั้นได้ขจัดภาระทางจิตใจทั้งหมดทิ้งไป รวมถึงความยับยั้งชั่งใจทางศีลธรรม และเลือกทำทุกสิ่งตามที่พวกเขาพอใจจะทำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานการณ์ปัจจุบันตรงหน้าของพวกเขาเกิดจากสิ่งนี้ มีคนใช้การทดสอบนี้เป็นข้ออ้างในการฆ่าคน! จากสิ่งที่ของหวังโต้วซานกล่าวมา มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะมีเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้น !
ไม่น่าแปลกใจที่จ้าวอวี้ได้กล่าวว่าผู้เข้าสอบจะต้องเผชิญกับอันตรายในระหว่างการสอบ บางทีพวกเขาอาจคาดเดาถึงเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตราบใดที่คนที่ถูกฆ่าไม่ได้เป็นสมาชิกของตระกูลสายเลือดชั้นสูง ฆาตกรผู้นั้นก็จะไม่ถูกพิพากษา?” ซูเฉินถาม
“ถูกต้อง” หวังโต้วซานตอบกลับ “ตราบใดที่เจ้าอยู่ใกล้ ๆ ข้า ข้าสัญญาว่ามันจะไม่ทำร้ายเจ้า”
“หากข้าอยู่กับเจ้า มันจะไม่มาฆ่าข้า?” ซูเฉินพึมพำ “ถ้าอย่างนั้นเราแยกทางกัน มันจะไม่ดีกว่าหรือ?”
“หือ?” หวังโต้วซานรู้สึกงุนงง
เขาจ้องไปที่ซูเฉินและถามไปว่า “เจ้าต้องการฆ่ามัน?”
ซูเฉินโต้กลับ “หากคน ๆ นั้นต้องการจะฆ่าข้า เช่นนั้นถ้ามันถูกข้าฆ่า ก็ไม่น่าจะมีไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือไม่?”
หวังโต้วซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “นับตามหลักเหตุผลแล้วก็จัดว่าไม่มีปัญหา ฆาตกรผู้นี้ได้สนุกสนานไปกับการฆ่าในการสอบของสถาบัน ถึงแม้ว่าสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะไม่สามารถทำอะไรมันได้ แต่ก็ไม่มีทางที่จะชอบใจอย่างแน่นอน”
“หากเจ้าฆ่ามันและหยุดการกระทำนี้ สถาบันมังกรซ่อนเร้นจะไม่ลงโทษเจ้าแน่ ๆ กลับกันพวกนั้นคงจะตอบแทนเจ้า นี่เป็นหนึ่งในข้อตกลงที่สถาบันแห่งนี้ใช้ในการจัดการกับพวกผู้ก่อกวน”
“อย่างไรก็ตาม หากเจ้าสังหารคนที่มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง … เจ้าจะต้องระวังการแก้แค้นของตระกูลชั้นสูงพวกนั้นเอาไว้ให้ดี ซูเฉิน เจ้าต้องการทำเช่นนี้จริง ๆ หรือ?”
ซูเฉินไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร “ข้าไม่ได้วางแผนที่จะทำอะไรเลย ข้าเพียงแค่ … อยากจะไปเดินเล่นคนเดียวสักหน่อย”
เมื่อหวังโต้วซานเห็นการแสดงออกที่มั่นคงและแน่วแน่ของอีกฝ่าย เขาก็เข้าใจในที่สุด
ถ้าเป็นคนอื่น บางทีพวกเขาอาจจะพยายามเกลี้ยกล่อมซูเฉินอย่างขมขื่น เพราะอย่างไรเสียมันก็เป็นเรื่องยากที่กว่าจะเจอทีมที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ มันช่างน่าเสียดายที่จะจบลงที่นี่และตอนนี้ แต่หวังโต้วซานก็พยักหน้ารับอย่างไม่สะทกสะท้านและพูดว่า “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้น เราก็อำลากันตรงนี้และแยกกันชั่วคราว เฮ้ เด็กน้อย อย่าตายซะล่ะ”
ซูเฉินผงกศีรษะตอบรับอย่างจริงจัง
ในขณะนั้นทั้งสองคนมองหน้าและยิ้มให้กัน แม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไร แต่ก็ราวกับว่าเข้าใจกันได้ทุกอย่างโดยไม่จำเป็นต้องพูด
หลังจากกล่าวคำอำลาแล้ว ซูเฉินก็ออกเดินทางต่อไปเพียงลำพัง
ซูเฉินเดินไปตามทางเล็ก ๆ ขึ้นไปบนภูเขา เด็กหนุ่มดูไม่เหมือนกับผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ราวกับว่าเขาเป็นนักเดินทางผู้โดดเดี่ยวที่หลงทาง มาสู่โลกแห่งการต่อสู้ที่ไม่ใช่ที่ของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ระหว่างทางนั้น เขาก็ได้พบศพของผู้เข้าสอบเป็นครั้งคราว
ซูเฉินต้องการที่จะฝังพวกเขา แต่เมื่อนึกถึงครอบครัวที่ต้องการทวงศพเหล่านี้กลับคืนไปอย่างโศกเศร้า เขาก็ทำได้เพียงยอมแพ้
ซูเฉินยังคงค้นหาซากศพ พิจารณาเวลาการตายของพวกเขาและเข้าไปใกล้ฆาตกรมากขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อความมืดเริ่มมาเยือน ซูเฉินก็มาถึงกองซากปรักหักพัง
เขาใช้เศษหินตั้งเตา จากนั้นก็หยิบหม้อใบใหญ่ออกมาจากแหวนต้นกำเนิดแล้วเทน้ำและเริ่มทำอาหาร
แสงไฟสว่างไสวในความมืดยามค่ำคืน ควันกลุ่มใหญ่จากกองไฟม้วนตัวขึ้นพุ่งสู่ท้องฟ้าเบื้องบน
ซูเฉินแล่สัตว์อสูรที่เพิ่งล่ามาและโยนมันลงไปในน้ำ ครู่ต่อมากลิ่นหอมกรุ่นเริ่มลอยอบอวลเต็มอยู่ในอากาศ
ในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จะเลือกกินแต่อาหารแห้งที่พวกเขานำมาด้วย แม้แต่ผู้สอบที่มีฐานะค่อนข้างดีก็แทบจะไม่พกเตาทำอาหารมาด้วยซ้ำ เพราะมันจะดูสะดุดตามากเกินไป
มีผู้เข้าสอบสองคนตามรอยกลิ่นของเนื้อปรุงสุกมายังที่ที่ซูเฉินอยู่
ความตั้งใจของพวกเขาชัดเจนอย่างมาก พวกเขามาที่นี่เพื่อเอาชนะซูเฉิน ขโมยคะแนนของเขา และเพลิดเพลินกับอาหารมื้อค่ำอันแสนอร่อยนี้
น่าเสียดาย พวกเขาถูกระเบิดเพลิงปักษาสองลูกของซูเฉินส่งบินไปในทันที และยังถูกเขาปล้นเอาคะแนนไปอย่างง่ายดาย
หลังจากทำลายป้ายหยกและส่งพวกเขาทั้งสองคนออกไปแล้ว เนื้อที่เขาปรุงเอาไว้ก็สุกพอดี ซูเฉินเริ่มกินไม่หยุดปาก
ในขณะที่ซูเฉินกำลังเพลิดเพลินกับมื้ออาหารของเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องเบา ๆ ดังมาจากที่ไม่ใกล้ไม่ไกล “ช่วยข้าด้วย…”
ซูเฉินหันมองไปตามทิศทางของเสียงนั้น
เด็กหนุ่มเห็นผู้เข้าสอบวิ่งออกมาจากป่าเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก ร่างของเขาชุ่มไปด้วยเลือด ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ที่ต้นขาของเขามีรูดาบที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่
เขาพุ่งตรงมาที่ซูเฉินพลางร้องตะโกน “ช่วยข้าด้วย มีคนต้องการจะฆ่าข้า!”
ซูเฉินลุกขึ้นยืนและพูดกับอีกฝ่าย “ใครจะฆ่าเจ้า? มันอยู่ที่ไหน?”
“ด้านหลังข้า ในป่าเล็กนั่น” ผู้เข้าสอบชี้ไปทางป่าด้านหลังและร้องตะโกน “มันจะฆ่าข้า! มันต้องการจะฆ่าข้า!”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความกลัวและความวิตกกังวล
เขาเดินโซซัดโซเซและสะดุดล้มลงกับพื้น
ซูเฉินรีบเข้าไปช่วยให้ผู้เข้าสอบลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้ว”
ผู้เข้าสอบเงยหน้าขึ้นและยิ้มกว้างอย่างอำมหิต “แน่นอนข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าต่างหากที่จะเป็น!”
แสงดาบกระพริบขึ้นและแทงเข้าไปที่ซูเฉิน !