ภาคที่ 1 บทที่ 138 โอกาสสังหาร

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 138 โอกาสสังหาร

ฉัวะ!

ดาบแทงทะลุร่างของคู่ต่อสู้ การแสดงออกเป้าหมายเผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อในแววตาของเขา ราวกับกำลังพูดว่า “มันเกิดเรื่องเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร ?”

“เจ้าโง่ !” พานเยว่ด่าทออย่างดุร้ายและหัวเราะอย่างเปรมปรีย์ จากนั้นมือที่ถือดาบของเขาแทงดันฝ่ายตรงข้ามไปยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเหยื่อของเขากำลังจะทำลายป้ายหยกทิ้ง พานเยว่ก็พุ่งเข้ามาแย่งมันไป

หากไม่มีป้ายหยก ผู้เข้าสอบก็ไม่มีทางให้หลบหนีและทำได้เพียงตกอยู่ในความสิ้นหวังเท่านั้น

เลือดสดไหลนองเต็มพื้น

พานเยว่หัวเราะเสียงดังแล้วเดินจากไป

พานเยว่มีความสุขกับการได้เฝ้ามองความสิ้นหวังของเหยื่อเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเขาได้เห็นสายตาของอีกฝ่าย ราวกับว่ามันช่วยตอบสนองให้ความเย่อหยิ่งและความว่างเปล่าในใจของตนได้

การสอบคัดเลือกเข้าของสถาบันมังกรซ่อนเร้น ? พานเยว่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย ด้วยฐานะทางบ้านของเขา หากพานเย่วต้องการจะเข้าสถาบัน เขาไม่จำเป็นจะต้องเข้าร่วมการสอบคัดเลือกนี้เลย

พานเย่วไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้เพื่อรักษาสิทธิ์เข้าสถาบัน เขาอยู่ที่นี่เพียงเพื่อแสวงหาความตื่นเต้นจากการต่อสู้

การเอาชนะและสังหารคู่ต่อสู้ ทำให้พวกเขาคร่ำครวญด้วยความสิ้นหวังพลางต่อสู้ด้วยความทรมาน นี่คือวิธีการที่พานเยว่ใช้เพื่อแสวงหาความสุข

มีเหยื่อถูกเขาฆ่ามาแล้วกี่คน?

พานเยว่ไม่รู้ เขาไม่สนใจ

เหยื่อของเขาเป็นเพียงสามัญชนคนทั่วไป พวกเขาไม่มีสายเลือดด้วยซ้ำ ! จุดประสงค์ที่พวกเขามีอยู่จะเป็นอะไรไปได้หากไม่ใช่เพื่อมาให้ความบันเทิงแก่เขา ?

สำหรับคนธรรมดาสามัญที่ต่ำต้อย การได้ตายภายใต้ดาบขจัดทมิฬของเขาถือเป็นความโชคดีของเหยื่อเหล่านั้นแล้ว

แน่นอนว่าพานเยว่จะมองหาเป้าหมายของเขาอย่างระมัดระวัง

เขาจะไม่แตะต้องคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง พานเยว่ไม่สามารถยั่วยุผู้เข้าสอบที่มีเบื้องหลังทรงอำนาจเหล่านั้นได้

เขาสนใจแค่คนธรรมดาที่ไร้สายเลือด ผู้ที่คิดว่าพวกเขามีโอกาสเข้าร่วมสถาบันนี้ !

คนเหล่านี้ไม่รู้ว่ามีอะไรรอพวกเขาอยู่ มันเป็นเรื่องโง่เขลาที่ดีที่สุด ที่พวกเขาคิดว่าตนจะสามารถมีส่วนร่วมในการแข่งขันที่ยุติธรรมเพื่อเข้าสู่สถาบันที่ดีที่สุดในอาณาจักรหลงซาง

สามัญชนเหล่านั้นมีคุณสมบัติคู่ควรพอที่จะมีส่วนร่วมในการแข่งขันที่ยุติธรรมด้วยกันกับตระกูลสายเลือดชั้นสูง ?

หากความนั่นยุติธรรมมีอยู่จริง มันก็คงไม่มีความแตกต่างของจำนวนสิทธิ์เข้าสถาบันในแต่ละเขตตั้งแต่แรก !

แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยังผ่อนปรนมากเกินไป

อาณาจักรควรจะปกครองด้วยกำปั้นเหล็ก หากพวกเขาแสวงหาความเสมอภาคและความเป็นธรรมอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า มันจะกลายเป็นการเปิดโอกาสให้คนชั้นต่ำร้องขอสิ่งที่มันเกินมือของพวกเขา

ดังนั้นก่อนที่ถึงจุดนั้น มันจะดีกว่ามากถ้าพวกเขาตายไปเสีย พานเยว่รู้สึกราวกับว่าเขากำลังทำให้โลกนี้เป็นที่น่าอยู่ขึ้นด้วยการกำจัดเหล่ามดปลวก ไม่เพียงแค่พานเยว่จะได้สนองอารมณ์ของตน แต่ยังสามารถใช้เลือดของพวกมันเหล่านั้นมาขัดเกลาดาบได้อีกด้วย

พานเยว่มีความสุขกับสติปัญญาอันชาญฉลาดของเขายิ่งนัก

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พานเยว่ลงมือฆ่าไปมากแล้ว ดูเหมือนว่าผู้เข้าร่วมหลายคนก็เริ่มรู้สึกได้แล้วเช่นกันว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ ยามนี้ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่จับกันอยู่เป็นกลุ่มและเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ที่อยู่คนเดียวพบ

พานเยว่ไม่ได้กังวลเรื่องความแข็งแกร่งจากการร่วมมือกันของพวกต่ำต้อยเหล่านั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ มันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี ทว่าหากกลุ่มที่เขาได้ปะทะด้วยมีขนาดใหญ่ ก็มีโอกาสที่จะมีใครบางคนจะหลบหนีไปได้ ถ้าเขาไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด การต่อสู้ที่เกิดครั้งนั้นมันก็คงจะไร้ความหมาย

เรื่องนี้ทำให้พานเยว่รู้สึกอึดอัดมาก เขาทำได้เพียงก่นด่าสาปแช่งผู้เข้าสอบพวกนั้นพลางค้นหาเป้าหมายต่อไป

กลุ่มควันที่ลอยขึ้นบนฟ้าบริเวณที่อยู่ห่างออกไป ได้ดึงดูดความสนใจของพวกเยว่

ยังมีคนกล้าจุดไฟและปรุงอาหารในเวลาเช่นนี้ ?

มันมั่นใจในตัวเองมากหรือว่าแค่โง่เขลากันแน่ ?

พานเยว่รู้สึกสนใจและสงสัยเล็กน้อย

เขามุ่งหน้าเข้าไปใกล้ทิศทางของควันที่ลอยอยู่อย่างระมัดระวัง ราวกับหมาป่าผู้หิวโหยที่กลัวจะทำให้กระต่ายตื่นตกใจหนีไป

เมื่อร่างของเด็กหนุ่มที่อยู่ใกล้กองซากปรักหักพังปรากฏขึ้นต่อหน้าของพานเยว่ ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา

‘นี่มันช่างยอดเยี่ยม ! พวกสามัญชั้นต่ำไร้สายเลือดคนเดียว สวรรค์ช่างกรุณาข้าเสียเหลือเกิน!’

ชายผู้นี้ช่างเลือกสถานที่ได้ค่อนข้างดี เขาก่อไฟบนกองหินในถิ่นทุรกันดารรอบด้านว่างเปล่า มันไม่มีสถานที่ให้คนซุ่มโจมตีเขาจากด้านข้างจึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกจู่โจม เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ ชายผู้นี้ก็สามารถทำลายป้ายหยกของเขาและหลบหนีได้ในทันที นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากล้าก่อไฟอย่างกล้าหาญในระหว่างการสอบนี้

แต่ด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้มันจะปลอดภัยแล้วจริง ๆ หรือ ?

พานเย่วยิ้มเยาะอย่างเย็นชา เขาดึงดาบออกจากฟักและเล็งไปที่หน้าอกของตน

ขณที่พานเยว่กำลังจะลงมือก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัวของเขา เขาย้ายจุดเล็งดาบไปยังต้นขา แล้วหลับตาและพึมพำว่า “หากจะทำการณ์ใหญ่ใจต้องเหี้ยม โหดร้ายกับศัตรู โหดร้ายกับตัวเอง ! เด็กน้อย เจ้าช่างโชคดียิ่ง ข้านักจะใช้การแสดงที่สมบูรณ์แบบนี้ส่งเจ้าไปสู่ความตาย !”

เมื่อความคิดเหล่านี้แล่นเข้ามาในจิตใจของเขา พานเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งร่าง

นั่นคือความตื่นเต้น จากความเร้าใจและความคาดหวังในการล่า

ฉัวะ !

พานเยว่ลงมือแทงดาบทะลุต้นขาของเขา

พลังต้นกำเนิดระเบิดออกมาจากตัวดาบขจัดทมิฬ ทิ้งรูชุ่มเลือดขนาดใหญ่เอาไว้ที่ขาขวาของเขา

ความเจ็บปวดทำให้ใบหน้าของพานเยว่บิดเบี้ยว แต่ในขณะเดียวกันมันก็หัวใจของเขาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น

เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างโหดเหี้ยม “อ่า ! เจ้าลูกแกะตัวน้อยของข้า ข้ามาแล้ว !”

วินาทีต่อมาพานเยว่ก็กรีดร้องขึ้นว่า ‘ช่วยด้วย !’ เสียงดังและเดินกะเผลกออกมาจากป่าตรงไปหาผู้เข้าสอบที่ ‘โง่เขลา’ ผู้นั้น

พานเยว่แสดงสีหน้าท่าทางหวาดกลัวอย่างจริงจัง พร้อมกับกรีดร้องขอความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง ยังไงซะบาดแผลของเขาก็เป็นของจริง ความเจ็บปวดเองก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามในใจของเขากลับกำลังเริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง !

เพราะเจ้าผู้เข้าสอบที่ ‘โง่เขลา’ นั้นกำลังลุกมาหาเขาจริง ๆ !

พานเยว่พยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะและแกล้งล้มลงกับพื้นก่อนที่อีกฝ่ายจะมาหาถึงตัวเขา ในเวลาเดียวกันเขาแอบดึงมีดที่เตรียมไว้อย่างลับ ๆ ก่อนหน้านี้ออกมา

ชายโง่เขลาได้เสนอตัวช่วยพยุงให้เขาได้ยืนขึ้น

ชายหนุ่มผู้เข้ามาช่วยเหลือกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรแล้ว”

พานเยว่ตอบกลับอย่างตื่นเต้น “แน่นอนข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้าต่างหากที่จะเป็น !”

ในจังหวะที่กำลังพูด เขาก็แทงมีดออกไป

พานเยว่ลงมือดั่งเช่นที่เขาเคยทำ เขาสัมผัสได้ถึงแรงต้านที่ปลายคมมีดเมื่อแทงเข้าไปในเนื้อของคนโง่เขลาและความตื่นเต้นที่จะแล่นผ่านไปทั่วร่างของเขา ถึงกระนั้นความตื่นเต้นนั้นของพานเยว่ก็หยุดชะงักลง ราวกับว่ามีใครบางคนคว้าคอเขาเอาไว้และทำให้เขาไม่สามารถระบายมันออกมาได้ …

พานเยว่ประหลาดใจเมื่อพบว่ามีดของเขากลับแทงผ่านอากาศบาง ๆ

อากาศบาง ๆ !

พานเยว่เบิกตากว้างด้วยความตะลึง

พานเยว่เห็นมือข้างหนึ่งกดลงบนข้อมือของเขา และดันมันออกไปด้านข้างเล็กน้อย

แม้มันจะเป็นเพียงแรงผลักเบา ๆ แต่มันก็ได้ทำให้การแทงของเขาเบี่ยงไปอีกทางแทน

เป็นไปได้อย่างไร ?

พานเยว่ตกใจอย่างมาก

จากนั้นก็มีเสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่ข้างหูของเขา “เป็นเจ้าจริง ๆ สินะ !”

อะไรนะ ?

พานเยว่รู้ว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดีแล้วและอยากจะถอยหนี

แต่ตอนนี้เขายังคงนอนอยู่บนพื้น ขวาของเขาแทงออกไปสุดแรงดึงร่างกายของเขาโน้มไปข้างหน้าราวกับคันธนู จากตำแหน่งปัจจุบันพานเยว่ไม่สามารถออกแรงได้เต็มที่ ก่อนที่เขาจะได้มีเวลาตอบโต้ เขาก็รู้สึกถึงหมัดหนัก ๆ ปะทะลงบนใบหน้าของเขา !

“ไม่ !” พานเยว่ส่งเสียงร้องประหลาดออกมา เขากระแทกแขนลงกับพื้นและกระโดดขึ้นไปในอากาศดุจปลาที่ปราดเปรียว

พานเยว่เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดผู้ถนัดด้านความคล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่การต่อสู้ระยะประชิด ดังนั้นเขาจึงพยายามที่แยกตัวให้เป็นอิสระจากคู่ต่อสู้อย่างเร่งรีบ

น่าเสียดายที่อีกฝ่ายได้เตรียมตัวไว้แล้ว ในจังหวะที่พานเยว่กำลังจะขึ้นไปในอากาศ หมัดอีกหนึ่งหมัดก็ชกเข้าหน้าท้องของเขาอย่างแรง และส่งเขากลับลงไปที่พื้น

จากนั้นมือของฝ่ายตรงข้ามก็คว้าหัวของพานเยว่กระแทกกับพื้นอย่างดุเดือด จนทิ้งรอยยุบเอาไว้บนผิวดิน

“ไอ้สารเลว !” พานเยว่อดทนต่อความเจ็บปวด ขณะที่เขาพยายามโอบขารอบคอของซูเฉิน

อย่างไรก็ตามขาขวาของเขายังคงบาดเจ็บอยู่ มันจึงยากที่จะขยับไปมา ความเร็วในการโอบรัดของเขาค่อนข้างช้า

ซูเฉินไม่ได้ปล่อยให้พานเยว่ได้พักหายใจ เขาหยิบมีดสั้นออกมาแล้วแทงเข้าที่ขาอีกข้าง ที่ยังไร้บาดแผลของอีกฝ่าย

“อ้า !” พานเยว่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา

การโจมตีครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เขาลงมือแทงตัวเองไปก่อนหน้านี้ แรงตัดของใบมีดทื่อ ๆ นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่ตราบใดที่มันแทงทะลุเข้าไปในเนื้อ มันก็สามารถสร้างบาดแผลที่สาหัสขึ้นมาได้

พานเยว่ต้องการใช้เกราะป้องกัน แต่หมัดของฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาล้มลง การโจมตีทุกครั้งถูกต้องและแม่นยำ ทุกหมัดของซูเฉินกระแทกเขาที่จุดชักนำปราณของพานเย่วอย่างจัง ก่อนที่เกราะป้องกันจะก่อตัวขึ้น มันก็ถูกทำลายอย่างรุนแรงจากการโจมตีของคู่ต่อสู้

“ไม่ ปล่อยข้าไป !” พานเยว่เริ่มรู้สึกหวาดกลัวและกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง

ซูเฉินกล่าวอย่างเย็นชา “ผู้เข้าสอบที่เจ้าฆ่าก็ร้องขอความเมตตาเช่นนี้ใช่หรือไม่ ? เจ้าได้ปล่อยพวกมันไปหรือเปล่า ?”

“ข้า … ข้าผิดไปแล้ว เมตตาข้าด้วย ได้โปรด เมตตา …” พานเยว่ตะโกนอย่างโศกเศร้า

ซูเฉินไม่สนใจอีกฝ่าย เขายังคงโจมตีด้วยหมัดต่อไป

พานเยว่ต้องการทำลายป้ายหยกของตนเพื่อหลบหนี แต่ซูเฉินก็แย่งมันไปจากเขาก่อนที่เขาจะได้ลงมือ เช่นเดียวกับที่พานเยว่เคยทำกับผู้เข้าสอบคนอื่น

พานเยว่ตื่นตระหนกในที่สุด “ข้าคือนายน้อยจากตระกูลอสูรทมิฬพาน หากเจ้าฆ่าข้า ตระกูลพานของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่!”

ซูเฉินไม่สนใจและยังคงกระหน่ำโจมตีด้วยหมัดต่อไป

เขาจะทุบตีเจ้าขยะนี้ให้ตาย

“ช่วยข้าด้วย !” พานเยว่กรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว

พานเยว่เพียงแค่ส่งเสียงกรีดร้องตามสัญชาตญาณเท่านั้น เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้รับการตอบกลับมา

“เจ้ามาจากตระกูลอสูรทมิฬพาน ? งั้นจงจำไว้ว่าผู้ที่ช่วยชีวิตของเจ้าคือตะขาบพิษข่งเชิน!”

คลื่นแห่งความมืดพัดตรงเข้าหาซูเฉิน