บทที่ 516 พบเจอโดยบังเอิญ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

ชั่วประเดี๋ยวเดียวหนานกงเย่ก็สามารถยืนมั่นคงได้ เขามองฉีเฟยอวิ๋นที่มีความมั่นใจว่าจะสามารถช่วยลูกของเธอได้

ฉีเฟยอวิ๋นมองเห็บแมลงดูดเลือดที่อยู่บนศีรษะของลูกชายอย่างสงบ จากนั้นกล่าวว่า“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องรู้จักแอลกอฮอล์หรือไม่เพคะ?”

“รู้”หนานกงเย่ได้มีการศึกษาเกี่ยวกับการกลั่นเหล้า แอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่เข้มข้นที่สุดในเหล้า

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ท่านอ๋องไปเอามาเลย ต้องการตอนนี้เพคะ”

หนานกงเย่สาวเท้าก้าวเดินออกไป อยู่ที่ต้าเหลียงจะทำแอลกอฮอล์นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ โชคดีที่เขารู้ว่าที่ไหนมี

หนานกงเย่ออกมาจึงรีบเร่งขี่ม้าไปที่ร้านเหล้า

ได้แอลกอฮอล์มาแล้วหนานกงเย่ก็ได้มอบมันให้กับฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นหยิบหลอดเข็มฉีดยาดึงออกมาอันหนึ่ง ตรวจสอบสถานที่อื่นพบว่าไม่มีแล้ว ก็ได้ฉีดยาให้เห็บแมลงดูดเลือดจนเวลาผ่านไป ไม่นานก็กลายเป็นฟอง ฉีเฟยอวิ๋นใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง ไม่นานก็ได้มองเห็นหนังศีรษะของลูกชายน้อย

แต่บนหนังศีรษะยังมีจุดเล็กจำนวนหนึ่ง จุดก้อนเล็กนั้นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ได้มีเลือดไหลออกมา สีเลือดเป็นสีที่บ่งบอกว่าเป็นสีที่ไม่ดี สำหรับเด็กที่อายุมากขึ้น นี่เป็นการทำร้ายที่ร้ายแรงที่สุด ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเจ็บปวดใจจนน้ำตาหลั่งไหลลงมา

“เป็นแม่ที่ไม่ดีเอง ไม่ได้ดูแลเจ้าดีๆ”ฉีเฟยอวิ๋นร่ำไห้พร้อมกับใส่ยาให้ลูก เดิมก็รักทะนุถนอมลูกชายน้อยอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งเป็นเช่นนี้

ฉีเฟยอวิ๋นสั่งให้คนนำชุดของเธอมา ห่อหุ้มเจ้าห้าไว้ด้านนอกห่อด้วยผ้าห่มเล็ก และจัดการทำแผลให้ลูกชาย

นี่ถึงได้สั่งให้อวิ๋นจิ่นตรวจสอบทาวด้านของเรือนจวินจื่อ ดูว่ายังมีเห็บเหาแมลงดูดเลือดอยู่อีกหรือไม่และยังตรวจสอบให้ลูกๆอีกหนึ่งรอบ

แม่ทัพฉีกับหวังฮวายอันก็ตื่นตกใจ

ซื่อจื่อของจวนอ๋องเย่ เป็นเด็กที่มีเรื่องราวมากเสียเหลือเกิน นี่เพิ่งจะกี่วันก็ก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมามากมาย

อวิ๋นจิ่นตรวจสอบเรือนจวินจื่อหนึ่งรอบแล้ว แม้แต่ในซอกพื้นนางก็ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่วางใจเลยสั่งให้คนนำแอลกอฮอล์ปริมาณมากมา ฆ่าเชื้อให้เรือนจวินจื่อหนึ่งรอบถ้วน

แต่แอลกอฮอล์ง่ายต่อการจุดติดไฟ อวิ๋นจิ่นกลัวเลยสั่งให้มีคนคอยเฝ้าดู ระงับการเกิดไฟ ถึงอย่างไรด้านล่างก็เป็นเตียงอิฐมีปล่องไฟ สามารถพูดได้ว่าเรือนจวินจื่อของพระชายาเย่ง่ายต่อการเกิดไฟที่สุด

อวิ๋นจิ่นจำเป็นต้องระวังอย่างมาก

ทุกอย่างตรวจสอบหมดแล้ว อวิ๋นจิ่นถึงได้ไปหาฉีเฟยอวิ๋น

“นายท่าน ได้ตรวจสอบแล้ว เรือนจวินจื่อไม่มีเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มเจ้าห้า มองไปบริเวณโดยรอบ กล่าวว่า”เช่นนั้นก็ตรวจสอบที่สวนดอกกล้วยไม้ด้วย ตรวจสอบแต่ละที่เลยนะ”

อวิ๋นจิ่นสั่งคนให้ไปตรวจสอบ ฉีเฟยอวิ๋นกับหนานกงเย่นั่งลง แม่เฒ่าโฮ่วคอยปรนนิบัติอยู่อีกด้านหนึ่ง

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “แมลงตัวนี้ก็เรียกว่าตัวหมัดตัวเห็บเหาดูดเลือด เป็นจริงอย่างที่แม่เฒ่าโฮ่วกล่าว มันต้องอยู่ในพงหญ้า แต่ว่ามันมาอยู่ในจวนอ๋องเย่ของพวกเราได้อย่างไร?ตอนนี้คือเหมันตฤดู มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไรกัน?”

หนานกงเย่กล่าวด้วยสีหน้าอึมครึมว่า “มีคนนำมันเข้ามา แต่เวลานี้สามารถมีสิ่งนี้ได้ มันก็ไม่ง่ายหรอกนะ”

“ท่านอ๋องพูดถูกเพคะ แต่ตอนเช้าที่หม่อมฉันอุ้มเจ้าห้ามา แมลงนี้มันขึ้นไปอย่างไรกันเพคะ?”

ในเมื่อเรือนจวินจื่อไม่มี เช่นนั้นก็ทำที่เรือนสวนดอกกล้วยไม้ แต่ทางฝั่งของสวนดอกกล้วยไม้ไม่มีคนนอกนะ

แม่เฒ่าโฮ่วกล่าวว่า “พระชายา ในจวนมีเด็กน้อยผู้หนึ่ง ชื่อชุนเหมยเพคะ แต่ว่าเคยมาหรือเพคะ?”แม่เฒ่าโฮ่วกล่าวถาม ฉีเฟยอวิ๋นจึงคิดอยู่สักครู่หนึ่ง

“ชุนเหมยนั่นไม่รู้ แต่วันนี้ด้านในสวนดอกกล้วยไม้มีคนมาจำนวนหนึ่งจริง แต่ว่ามิได้เข้าใกล้”ฉีเฟยอวิ๋นจำได้ว่าตอนเช้ามีคนมาทำความสะอาดเรือน

“พระชายา แม่เฒ่าตรวจสอบได้คนผู้หนึ่ง ก็คือชุนเหมยผู้นี้แหละเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไป กล่าวว่า “ท่านกล่าวมาสิ”

แม่เฒ่าโฮ่วกล่าวว่า “ชุนเหมยผู้นี้ตั้งแต่ข้าเริ่มต้นพบเจอรู้จักกับนางก็พบแล้วว่า ทุกวันตอนช่วงเวลากลางคืนนางจะอยู่ในเรือนตามลำพัง นางยังเป่านกหวีดได้ แต่นกหวีดเล็กมาก ไม่มีเสียง คนทั่วไปจะไม่ได้ยินแต่แม่เฒ่าได้ยินเพคะ”

ฉีเฟยอวิ๋นถามว่า “เช่นนั้นนางกำลังทำสิ่งใดหรือ?”

“ฟังไม่เข้าใจเพคะ แต่ต้องติดต่อกับใครสักคนอย่างแน่นอนเพคะ เพราะว่าด้านนอกก็มีคนเป่า เป็นเสียงของนกหวีด สามารถฟังออกเพคะ”

“อาอวี่ พาคนไปหาชุนเหมย แล้วค้นห้องของนาง!”ฉีเฟยอวิ๋นสั่ง อาอวี่จึงหมุนตัวเดินออกไป

ไม่นานอาอวี่ก็หาสถานที่พักของชุนเหมยเจอ ค้นหนึ่งรอบเจอขวดใบหนึ่ง อาอวี่เอาขวดนั้นมาฉีเฟยอวิ๋นดูอยู่สักพักหนึ่ง ด้านบนของขวดเป็นผ้าไหมบางเบา ผ้าไหมปิดอยู่ที่ปากขวด สามารถมีลมทะลุทะลวงผ่านได้ ด้านในมีน้ำหนักฉีเฟยอวิ๋นเปิดดูด้านในก็มีเห็บเหาดูดเลือดไต่ออกมา

“ชุนเหมยล่ะ?”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถาม

อาอวี่ถึงได้กล่าวว่า“ตอนที่กระหม่อมไปนางก็ไม่ได้อยู่ที่แห่งนั้นแล้ว หาทั่วจวนอ๋องเย่ก็หาไม่พบพ่ะย่ะค่ะ”

ฉีเฟยอวิ๋นมองแม่นม และกล่าวว่า‘‘แม่เฒ่าโฮ่ว ท่านคิดว่านางเผ่นหนีแล้วหรือไม่?”

แม่เฒ่าโฮ่วส่ายศีรษะกล่าวว่า“ไม่เหมือนหนี หากว่าหนีจริง ก็ไม่มีทางที่จะทิ้งสิ่งสำคัญนี่ไว้เพคะ เกรงว่าตอนนี้หากไม่ใช่ถูกสังหารปิดปาก ก็ไปหลบอยู่สักแห่ง รอเวลาค่อยลงมือเพคะ”

“แม่นมพูดถูก อาอวี่เจ้าแจ้งอวิ๋นจิ่นให้ดูเรือนจวินจื่อไว้ให้ดี คนอื่นรีบตามหานาง อยากจะรู้นักว่าคนไปอยู่ที่แห่งใด”

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มลูกชายจนรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย มองเห็นเห็บเหาดูดเลือดที่หล่นลงไปในถาดแอลกอฮอล์ พอเจอแอลกอฮอล์ก็เปลี่ยนกลายเป็นฟองฝ่อ

ฉีเฟยอวิ๋นตบลูกชายคนเล็กที่นอนหลับเบาๆ เธอไม่วางใจเลยเปิดศีรษะของลูกชายออกดูผมด้านในอีกครั้งไม่มองยังดี หลังจากที่มองดูแล้วสีหน้าก็ตื่นตะลึง

หนานกงเย่นึกว่าลูกชายเป็นหนัก จึงลุกขึ้นไปดู ฉีเฟยอวิ๋นปิดไว้แล้วกล่าวว่า“หนักแล้วเพคะ มันบวม ออกไปกันได้แล้วล่ะ ข้ากับท่านอ๋องจะพักผ่อนสักครู่หนึ่ง รอหาชุนเหมยเจอแล่วก็มอบแก่อวิ๋นจิ่นเลย

แม่นม ครั้งนี้โชคดีที่มีท่าน ท่านก็ไปพักผ่อนเถอะ เตรียมตัวไปเป็นคนรับใช้ที่เรือนจวินจื่อในไม่กี่วันนี้ด้วย อวิ๋นจิ่นจะเป็นผู้จัดการสถานที่พักแก่ท่าน”

“เพคะ”

แม่นมออกไปฉีเฟยอวิ๋นก็สั่งให้คนอื่นๆออกไปด้วย เธอทำทีเหมือนคนจะพักผ่อน

รอคนไปหมดเธอเลยถามหนานกงเย่ว่า“ใช่หรือไม่ว่าดีแล้วเพคะ?”

สองสามีภรรยาอยู่กินร่วมกัน หนานกงเย่ก็พอเข้าใจ

ฉีเฟยอวิ๋นสั่งคนออกไป จำเป็นต้องมีความกังวลมิกล้าเอ่ยเป็นแน่

ฉีเฟยอวิ๋นเปิดผ้าห่มออก เขี่ยผมของลูกชายออก ตรงที่ถูกกัดเมื่อก่อนมันหายแล้ว

หนานกงเย่สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้า มองหน้าฉีเฟยอวิ๋น

ทั้งสองต่างไม่ได้พูดอะไร หนานกงเย่เลยนั่งลง

“เชอะ!”หนานกงเย่สบถออกมาอย่างไม่มีความสุข ฉีเฟยอวิ๋นกำลังตรวจดูลูกอย่างละเอียด ได้ยินเขาสบถเลยมองไป

“ท่านอ๋องเป็นอะไรหรือเพคะ?”ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามอย่างไม่เข้าใจ นี่เป็นเรื่องดี นั่นคือสีหน้าตำหนิอะไรกัน?

หนานกงเย่กล่าวพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “อวิ๋นอวิ๋นผู้เดียว ข้าก็ไม่วางใจแล้ว วันนี้มีเพิ่มมาอีกหนึ่ง จะให้ข้ามีความสุขได้อย่างไร?

หากทั้งสี่คนนั่นเป็นเช่นนี้อีก ข้าจะร้องไห้เสียจริงแล้ว!”

“ท่านอ๋องช่างไร้ความสดใสเสียจริง นี่มีสิ่งใดที่ไม่ดี นี่ไม่ใช่ว่ามีความมั่นคงมากขึ้นหรือเพคะ ?”อนาคตมีเรื่องยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ อย่างน้อยก็สามารถปกป้องชีวิตได้

“กล่าวน่าฟังดี หากคล้ายดั่งท่านแม่ของพวกเขาที่ซื่อสัตย์ใจดี ไม่ได้กล่าวมากก็หยิบกริชมากรีดข้อมือช่วยเหลือชีวิตคน เช่นนั้นมันหนักหน่วงมากทำให้ข้าไม่สามารถรับได้ แล้วไม่ใช่ว่าต้องใช้ชีวิตอยู่กับความทุกข์ในทุกวันอย่างนั้นหรือ?”

“การช่วยเหลือคนมันเป็นความสุข นั่นเป็นต้นตอของความสุข มีอะไรที่น่าทุกข์ใจเพคะ หรือว่าท่านอ๋องไม่ชอบช่วยคนเพคะ?’’

“ข้าสามารถสังหารคนได้ ช่วยคนอะไรกัน?”

หนานกงเย่คับแค้นใจ ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าเขาโกรธ ลูกชายประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ บวกกับเธอใช้กริชกรีดข้อมือตนเองอีก เขาเจ็บปวดหัวใจอีกทั้งทำอะไรไม่ได้เลย เขาถึงได้พูดคำพูดที่มีความเกรี้ยวกราดออกมา แน่นอนว่าฉีเฟยอวิ๋นไม่มีทางคิดเล็กคิดน้อยกับเขาหรอก