ภาคที่ 5 บทที่ 43 มองเจ้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คุณหนูจวินคิดไม่ถึงว่าคนที่เห็นคนแรกจะเป็นจิ่วหลี

จิ่วหลีอยู่ในจวนสกุลลู่แห่งนี้ประหนึ่งถูกกักบริเวณ นางโผล่มาที่นี่ได้อย่างไร?

หรือนางรู้ว่าตนเองถูกจับมา?

จิ่วหลีไม่ได้ยินเสียงพึมพำของนาง นาทีนี้นางก็ตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน แต่จากนั้นก็เข้าใจ

“เจ้านี่เอง” นางเอ่ย “ที่แท้เป็นเจ้าจริงๆ

ทำให้ลู่อวิ๋นฉีเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมได้ มีเหตุผลจริงๆ

นางเดาถูกแล้ว

จิ่วหลีเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของสตรีคนนี้ สีหน้าจึงผ่อนคลายลงกว่าเดิม

“เจ้าไม่ต้องกลัว ข้า…” นางอยากจะอธิบายสักหน่อยว่าตนเองไม่รู้เรื่อง แล้วก็จะไม่ปฏิบัติกับนางเช่นนั้นอย่างลู่อวิ๋นฉี แต่คำพูดของนางยังเอ่ยไม่ทันจบ เด็กสาวคนนั้นก็ยื่นมืออกมาหานางแล้ว

“ดึงข้าขึ้นไป” นางเอ่ย

จิ่วหลีเห็นมือที่ถูกมัดอยู่ด้วยกันของนาง สีหน้าก็ขมขื่นเล็กน้อย รีบหยุดพูดคว้ามือของนางไว้

นางเกรงแต่ว่าจะดึงไม่ไหวจึงใช้เรี่ยวแรงมากที่สุด เด็กสาวคนนั้นกลับเท้าเหยียบกำแพงโพรงอาศัยแรงปีนขึ้นมา

“คุณหนูจวิน เจ้าไม่ต้องกลัว ข้า…” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ยอีกหนแล้วมองมือที่ถูกมัดอยู่ด้วยกันของคุณหนูจวิน “ข้าช่วยเจ้าแก้ ข้าไปหามีดสักเล่ม”

คำพูดแม้เอ่ยเช่นนี้ แต่ในใจนางไร้หนทางอยู่บ้างจริงๆ จะไปหามีดจากไหนเล่า? ใกล้ที่สุดเร็วที่สุดก็คือในมือองครักษ์เสื้อแพรเหล่านั้นด้านนอก แต่นางย่อมไปไม่ได้ ตนเองวันๆ เย็บปักมีกรรไกร…

เสียงของนางยังไม่ทันจบ ก็เห็นสตรีคนนั้นปีนขึ้นมาวิ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง

คุณหนูจวินคนนี้ถูกขังอยู่ที่นี่นานเช่นนี้ กลัวแย่แล้วกระมัง?

ออกมาปุบก็ลนลานคิดแต่จะหนี

“คุณหนูจวิน ท่านอย่าวิ่งส่งเดช บ่าวหญิงคนนั้นเพิ่งเดินไปไม่ไกล…ที่นี่ไม่รู้….” จิ่วหลีรีบเอ่ยเสียงเบา

แต่สตรีคนนั้นไม่ได้สนใจนาง มุดทะลุกลางชั้นดอกไม้แถบหนึ่ง ฉับพลันก็ก้มตัวดึงของสิ่งหนึ่งออกมาจากข้างใน

องค์หญิงจิ่วหลีตะลึง หลังจากนั้นก็มองเห็นสิ่งที่นางหยิบออกมาชัด กริชเล่มหนึ่ง

กริชหรือ

องค์หญิงจิ่วหลีมองไปยังชั้นดอกไม้โดยไม่รู้ตัว นี่เป็นชั้นดอกไม้ที่ธรรมดายิ่ง ดอกไม้ใบไม้ในฤดูหนาวก็บำรุงดียิ่ง ทุกหนทุกแห่งเก็บกวาดสะอาดสะอ้าน

ที่นี่ถึงกับซ่อนกริชเล่มหนึ่งไว้?

นี่ตอนคุณหนูจวินถูกจับมาทิ้งไว้เองหรือ?

ไม่เช่นนั้น นางจะรู้ได้อย่างไร?

ชั่วขณะที่นางตะลึง คุณหนูจวินก็ยัดกริชให้นาง

“ถือให้ดี” นางว่าพลางยื่นมือมา “ตัดออก”

องค์หญิงจิ่วหลีมองกริชเล่มนี้ ปลอกมีดเก่าคร่ำคร่า มีร่องรอยผ่านวันเวลามา นี่ไม่ใช่เพิ่งใส่เข้าไปเด็ดขาด

นางกัดฟันชักกริชออกมาจากฝัก โชคดีที่กริชยังคงวาววับคมกริบ ไม่รอนางไปตัดเชือก คุณหนูจวินก็รอไม่ไหวยื่นมือมาข้างหน้ากดลงแรงๆ

เชือกที่องครักษ์เสื้อแพรใช้ย่อมทนทานอย่างที่สุด องค์หญิงจิ่วหลีอยากเตือน แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือเชือกนั่นต้องบนกริชปุบกลับถูกตัดขาดอย่างง่ายดาย

คุณหนูจวินเคลื่อนไหวข้อมือ

“ไป” นางเอ่ย ดึงมือองค์หญิงจิ่วหลีวิ่งไปข้างนอก

องค์หญิงจิ่วหลีฝีเท้าไม่มั่นคงตามนางไป

“คุณหนูจวิน เจ้าอย่ารีบร้อน ข้าจะคิดวิธีส่งเจ้าออกไป” นางสงบใจลงเอ่ยบอก “แต่ที่นี่ข้าไม่คุ้นนัก สถานที่ที่ข้าเข้ามา ตอนนี้ล้วนมีคนคุ้มกัน ข้าจะคิดหาวิธี…”

นางถูกคุณหนูจวินจูงวิ่งไปพลางก็เอ่ยไปพลาง แต่เวลาผ่านไปนางก็ไม่เอ่ยวาจาแล้ว

คุณหนูจวินดึงนางออกจากเพิงบุปผา ไปข้างหน้าไม่หยุดสักนิด เลี้ยวเจ็ดแปดหนก็เลี้ยวมาถึงหน้าประตูเรือนบานหนึ่ง

องค์หญิงจิ่วหลีไม่รู้แล้วว่านี่ใช่ประตูที่ตนเองมาหรือไม่ แต่ก็ยืนยันได้ว่าไม่ใช่ เพราะที่นี่ไม่มีองครักษ์เสื้อแพรรออยู่

นี่คือที่ไหนน่ะ?

นางอยู่ที่จวนสกุลลู่มานานปีนักแล้ว ทว่านอกจากเรือนที่ตนเองอยู่ ที่นี่นางไม่คุ้นทั้งสิ้น

หลายวันนี้เพราะลางสังหรณ์ รู้สึกว่าคุณหนูจวินคนนี้อยู่ที่นี่ ดังนั้นถึงพยายามสนใจด้านนี้อย่างระมัดระวัง

ไปๆ มาๆ ก็ฉวยโอกาสเดินตระเวนได้แค่เส้นทางช่วงนี้จากเรือนของตนมาถึงที่นี่เท่านั้น

องค์หญิงจิ่วหลีมองสตรีที่จูงตนเองอยู่คนนี้ มองนางตัดผ่านประตูอ้อมต้นไม้ข้ามทางแคบ เห็นนางไม่เงยหน้า ตาไม่มองส่งเดช ในบ้านหลังนี้ประหนึ่งเดินบนที่ราบ ก้าวย่างไวว่องประหนึ่งบิน

เหมือนกับว่านี่เป็นบ้านของนาง สถานที่ซึ่งนางคุ้นเคยจนหลับตาก็เดินได้

บ้านของนาง

สถานที่ซึ่งนางคุ้นเคย

เพิงบุปผาของนาง

กริชที่นางซ่อนไว้

องค์หญิงจิ่วหลีเดินไปวิ่งไป ไม่เอ่ยวาจาอีก เพียงมองสตรีที่จูงตนเองอยู่ สายตาค่อยๆ ถูกน้ำตาทำให้พร่ามัว

มือฉับพลันปล่อยออก องค์หญิงจิ่วหลีก้าวเข้าไปจะคว้าไว้โดยไม่รู้ตัว น้ำตาหยดร่วง สายตาก็กระจ่างชัดขึ้นมา ถึงมองเห็นว่าคุณหนูจวินที่แท้หยุดอยู่หน้าภูเขาจำลองลูกหนึ่ง

คุณหนูจวินก้มตัวฟุบอยู่บนพื้น มือยื่นเข้าไปใต้ภูเขาจำลอง

“ยังอยู่ที่นี่” นางเอ่ย หน้าตาเริงร่าขึ้นหลายส่วน หีบแบนยาวใบหนึ่งถูกดึงออกมา จากนั้นเปิดกล่องออกชักกระบี่เล่มหนึ่งออกมา

ก่อนหน้านี้อยู่ในบ้านว่างไม่มีงาน จึงเอาของเก่าก่อนหน้านี้ที่เอาติดมาด้วยไม่มากยัดไว้ตามใจ คิดว่าคนรุ่นหลังที่มาในอนาคตฉับพลันค้นพบของที่ซ่อนอยู่คงต้องตกใจสะดุ้งโหยงแน่ แล้วก็คงเดาไปสารพัด

คนรุ่นหลังไม่มีโอกาสเดาแล้ว นางรับประโยชน์ก่อนแล้ว

“ด้านนั้นมีประตูลับอยู่บานหนึ่ง ออกไปได้” คุณหนูจวินว่า พูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิดหนึ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่หรือไม่

ตอนนั้นก็เป็นลู่อวิ๋นฉีชี้ให้นางดู เวลานั้นนางกระตือรือร้นสำรวจบ้านหลังใหม่แห่งนี้ด้วยกันกับเขาประหนึ่งพลิกฟ้าพลิกดิน

‘ถ้าประตูบานนี้ของเจ้าไม่ปิดไว้ ถึงเวลาข้าจะแอบออกไปเที่ยวเล่นจากตรงนี้’ นางเอ่ย

‘เอาสิ’ ลู่อวิ๋นฉีอมยิ้มพยักหน้า ‘เช่นนี้ใครก็ไม่ล่วงรู้’

นางย่อมไม่เคยแอบออกไป เพราะอยู่ในบ้านกับออกไปสำหรับนางไม่มีสิ่งใดแตกต่าง ต่อให้ต่อมาเข้าวังนางก็เดินออกไปจากประตูใหญ่อย่างสง่าผ่าเผย

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ ตอนนี้ไม่มีเวลาคิดไร้สาระ ไม่ว่าปิดอยู่หรือไม่ปิดอยู่ก็เสี่ยงโชคเถอะ นางเงยศีรษะแล้วตะลึงนิดหนึ่งอีกหน

จิ่วหลีที่อยู่ตรงหน้ามองนาง น้ำตานองหน้า

คุณหนูจวินมองจิ่วหลี นาง คิดออกแล้ว ใช่หรือไม่ จำได้แล้วกระมัง

คนผู้หนึ่งต่อให้รู้จักกับคนผู้หนึ่งข้างนอก หรือเป็นสหายร่วมสำนัก หรือถูกไหว้วานมา นางก็เลียนแบบอารมณ์นิสัยของนางได้ รู้จักญาติมิตรของนางได้ แสดงเจตนาดีและความเป็นห่วงเป็นใยแทนนางได้ แต่นางไม่มีวันคุ้นเคยกับชีวิตของนางได้

นอกเสียจากนางเป็นเจ้าตัว

นี่คือจวนสกุลลู่ของลู่อวิ๋นฉี ไม่ใช่สถานที่ซึ่งใครจะรู้จักและคุ้นเคยด้านในประหนึ่งเดินบนที่ราบได้อย่างง่ายดาย

องค์หญิงจิ่วหลีมองนาง เพียงมองนางแล้วหลั่งน้ำตาเงียบๆ ใช้มือปิดปากไว้ คล้ายเสียงสักนิดก็ไม่กล้าเปล่งออกมา กลัวเพียงเมื่อเอ่ยปากทุกสิ่งจะกลายเป็นความฝันอันว่างเปล่า

คุณหนูจวินพริบตาน้ำตาก็พร่ามัวสายตาด้วย

นางมีถ้อยคำมากมายต้องการถาม ตัวอย่างเช่นทำไมนางเปิดประตูออกมา แล้วก็มีถ้อยคำมากมายต้องการเอ่ยกับนาง ตัวอย่างเช่นทำไมนางคุ้นเคยกับจวนสกุลลู่เช่นนี้

แต่ไม่ใช่เวลานี้

คุณหนูจวินสูดหายใจลึกทีหนึ่ง กำกระบี่ยาวในมือแน่น

“มากับข้า” นางเอ่ยพลางยื่นมือออกมา

จิ่วหลีสูดลมหายใจลึกทีหนึ่ง ยื่นมือออกไปอย่างไม่ลังเลสักนิด

คุณหนูจวินจูงนางวิ่งออกไปข้างนอก แต่เพิ่งก้าวข้ามประตูจวนก็เห็นลู่อวิ๋นฉียืนอยู่เบื้องหน้า

คุณหนูจวินกับจิ่วหลีฉับพลันหยุด มือที่กุมกันกุมแน่นขึ้นพร้อมกัน

สายตาของลู่อวิ๋นฉีจับอยู่บนกระบี่ในมือนาง

“เจ้าถือสิ่งนี้ไว้มีประโยชน์อันใด?” เขาเอ่ย

นางยังคิดจะใช้กระบี่เล่มนี้ฝ่าทางโลหิตออกไปหรือ? นางไม่ใช่คนที่วรยุทธ์สูงส่งแข็งแกร่งอันใด อย่างมากที่สุดก็เรี่ยวแรงมากกว่าสตรีคนอื่นนิดหน่อย ใจกล้ากว่าอยู่บ้าง ยามมีโอกาสสังหารคนลงมือเด็ดขาดอยู่บ้างเท่านั้น

คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี มือที่กำกระบี่พลิกวางกระบี่ไว้บนคอของตนเอง

องค์หญิงจิ่วหลีตกใจสะดุ้ง ปล่อยมือออกคิดจะแย่งกระบี่นางมาโดยไม่รู้ตัว แต่ก็กลัวทำร้ายถูกนางจึงไม่กล้าลงมือ

“ข้าถือสิ่งนี้ สังหารตัวข้าเองได้” คุณหนูจวินเอ่ย

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง ไม่ร้อนรน ไม่โกรธ บนใบหน้านิ่งเฉยค่อยๆ ผุดรอยยิ้ม

“จิ่วหลิง” เขาเอ่ยขึ้น “ที่แท้เจ้าก็เชื่อข้า”