ภาคที่ 5 บทที่ 44 เจ้าไปเถอะ

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เจ้าเชื่อข้า

ประโยคนี้คล้ายไม่มีต้นไม่มีปลาย

นางกำลังพูดว่านางฆ่าตัวเองได้ ส่วนคำตอบของเขากลับเป็นนางเชื่อเขา

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

คุณหนูจวินมองเขา

ผู้อื่นฟังไม่เข้าใจ แต่พวกเขาล้วนรู้ว่าที่อีกฝ่ายพูดหมายความว่าอย่างไร

คนที่ใช้ความตายมาข่มขู่ได้ มีเพียงคนที่ใส่ใจเจ้าเท่านั้น

ดังนั้นนางรู้ แล้วก็เชื่อว่าเขาใส่ใจนาง รักนาง ไม่มีทางทำร้ายนางเด็ดขาด

ความในใจของเขา นางรู้ทั้งสิ้น

“นี่เป็นคนละเรื่อง” คุณหนูจวินมองเขา สีหน้าเฉยเมย “นี่เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า”

ความในใจของเจ้าเป็นของเจ้า เจ้ายินดีเอง ถูกข่มขู่เพราะตัดใจไม่ลงก็เป็นเรื่องของตัวเจ้าเอง เป็นทางเลือกของตัวเจ้าเอง เป็นเจ้าทำตัวเจ้าเองลำบากเอง ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น

ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า

“ใช่” เขาเอ่ย “ข้ายินดี”

คุณหนูจวินแนบกระบี่ยาวติดลำคออีกครั้ง เงยศีรษะขึ้นนิดหนึ่งให้เขามองเห็นรอยเลือดที่ถูกกรีดปริจางๆ บนผิวหนัง

“หลีกไป” นางเอ่ยพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

นางเดินเข้ามาก้าวแล้วก้าวเล่า

“เจ้าร้ายกาจนัก แต่อย่าคิดว่าจะขวางข้าได้” นางเอ่ย “ข้าสังหารเจ้าไม่ได้ แต่ข้ามีวิธีนับไม่ถ้วนสังหารตนเองให้ตาย”

องค์หญิงจิ่วหลีตามนางมาอย่างระมัดระวัง อยากขวางแต่ก็หยุดอีกหน เพียงจ้องนางเขม็งน้ำตาคลอเท่านั้น

ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ที่เดิมไม่เคลื่อนไหว

“ข้ารู้” เขาเอ่ยแล้วหยุดครู่หนึ่ง “ถ้าเช่นนั้นเอาอย่างนี้เถอะ พวกเราออกจากเมืองหลวงก่อน หลังจากนี้ข้าไม่ขังเจ้าอีกแล้ว”

คุณหนูจวินยิ้ม

“ข้าจะไม่ไปจากเมืองหลวง” นางเอ่ย

“ข้ารู้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

ตอนนี้เขารู้แล้วว่าทำไมตอนนั้นนางยืนหยัดสร้างชื่อเสียงตั้งตัวที่เมืองหลวงอย่างไม่ลดละไม่ยอมแพ้

“แต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิม” เขาเอ่ยต่อ

“ก็เพราะตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้” คุณหนูจวินขัดเขา เอ่ยเว้นวรรคทีละคำ “ข้ายิ่งไม่มีทางไป ไม่ไปเด็ดขาด”

นางเดินเข้าใกล้มากนักแล้ว ยืนอยู่ตรงหน้าลู่อวิ๋นฉียิ่งแลดูรูปร่างเล็กบอบบาง แต่อาจเพราะเชิดคางเงยขึ้นเล็กน้อยนั่น บางทีอาจเพราะแววตานั่น ทำให้คนกลับรู้สึกว่าเหมือนนางก้มจากที่สูงมองคนตรงหน้า

“ลูกหลานตระกูลฉู่ ต่อให้ถูกกักขังก็ไม่มีทางทอดทิ้งบ้านเมือง ทอดทิ้งประชาชนแล้วหนีเด็ดขาด”

ริมฝีปากนางสั่นเล็กน้อย เอ่ยวาจาไร้เสียง

“คนขี้ขลาด ไม่คู่ควรแซ่ฉู่”

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง เงียบงันไร้วาจา

“หลีกไป” คุณหนูจวินเอ่ยอีกครั้ง

ลู่อวิ๋นฉียังคงเงียบงัน มีองครักษ์เสื้อแพรวิ่งเร็วรี่มาจากด้านนอก รบกวนลู่อวิ๋นฉีทำธุระอย่างผิดปกติก้าวเข้ามากระซิบหลายประโยค สีหน้าร้อนรน

ฟังคำพูดของเขาจบ ลู่อวิ๋นฉีก็ยังคงเพียงมองคุณหนูจวินอย่างเงียบงัน ส่วนองครักษ์เสื้อแพรคนนั้นก็ไม่ได้ถอยออกไป แต่ท่าทางเร่งร้อนอยู่บ้างมองลู่อวิ๋นฉี

คุณหนูจวินมองเขา พลิกมือนิดหนึ่งอีกหน บนลำคอขาวผ่องมีจุดสีแดงเล็ก ผลิออกมาประหนึ่งเมล็ดคิดถึง[1]

“ได้” ลู่อวิ๋นฉีคล้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกัน พูดจบก็หมุนตัว

องครักษ์เสื้อแพรสองข้างหมุนตัวตามเขา ผ้าคลุมสีเลือดสะบัดปลิว เสียงรองเท้าหนังย่ำเหยียบ พริบตาคนกลุ่มหนึ่งก็จากไปแล้ว

คุณหนูจวินกำกระบี่ยืนอยู่ที่เดิม ชั่วขณะไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง

องค์หญิงจิ่วหลีก็ตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน แต่ยังคงได้สติกลับมามองไปยังลำคอของคุณหนูจวิน

“ก่อนอื่น ก่อนอื่นวางลงก่อนนะ?” นางเอ่ยพึมพำ

ไม่ได้ขอร้องหรือตระหนก ที่ใช้คือคำถาม

ตกลงแล้วจริงหรือ? คุณหนูจวินมองด้านหน้า ไม่เห็นเงาร่างของพวกลู่อวิ๋นฉีแล้ว หรือด้านนอกยังมีแผนร้ายอันใดอีก?

องค์หญิงจิ่วหลีก็มองไปด้วย

“ข้าไปดูก่อน” นางพลันเอ่ยขึ้น ยกเท้าจะเดินไปข้างนอก

“ไม่ต้องแล้ว” คุณหนูจวินขวางนางไว้ เอากระบี่บนลำคอลง แต่ยังคงกำไว้ในมือแน่น “ก็สมควรไปได้แล้ว ฮ่องเต้ด้านนั้นรอเขาไม่ไหวแล้ว”

ฮ่องเต้?

จิ่วหลีมองคุณหนูจวิน

คุณหนูจวินก็มองไปหานางด้วย

“ชาวจินบุกมา” นางเอ่ย

องค์หญิงจิ่วหลีสีหน้าประหลาดใจ

“อะไรนะ…” นางหลุดปากแต่จากนั้นก็กลืนคำที่เหลือลงไปเปลี่ยนกลายเป็นเสียงถอนหายใจทีหนึ่ง

“ฮ่องเต้จะหนีแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ

ครั้งนี้องค์หญิงจิ่วหลีกระทั่งตกตะลึงก็ไม่มี กลับหัวเราะ

“อ้อ” นางเอ่ย

คุณหนูจวินมองนาง

“ข้าจะไม่ไป” นางเอ่ยบอก

องค์หญิงจิ่วหลีมองนางพลางพยักหน้า

“อืม” นางเอ่ยแล้วเสริมอีกหนึ่งประโยค “ข้าก็จะไม่ไปเหมือนกัน”

เวลานี้คล้ายมีถ้อยคำพันหมื่น แต่สี่ตาสบกันก็คล้ายไม่ต้องพูดสิ่งใดทั้งสิ้น

ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาพูดคุย

คุณหนูจวินสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง

“ไป” นางเอ่ยขึ้น กำกระบี่ในมือเดินออกไปข้างนอก

องค์หญิงจิ่วหลีตามอยู่หลังร่างนาง มองนางอย่างตั้งใจและระมัดระวัง เพียงมองนาง

บ่าวรับใช้ในเรือนด้านนอกยังคงเดิม เห็นคุณหนูจวินถือกระบี่ล้วนตกใจสะดุ้งโหยง แต่ไม่มีผู้ใดร้องโหวกเหวกโวยวายยิ่งไม่มีใครก้าวเข้ามาสอบถาม นี่เป็นนิสัยที่บ่มเพาะมาเนิ่นนานของพวกเขา

คุณหนูจวินเดินมาตลอดทาง ราบรื่นไร้อุปสรรค องครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดล้วนหายไปแล้ว ประตูใหญ่อยู่เพียงตรงหน้า

“เปิดประตู” นางเอ่ย

บ่าวรับใช้หน้าประตูไม่ลังเลสักนิด กระทั่งตั้งคำถามว่าคนแปลกหน้าคนนี้เป็นใครก็ไม่ทำ ขานรับกเปิดประตูแล้ว

จวนสกุลลู่คล้ายกลายเป็นสถานที่ซึ่งประตูอ้ากว้างผู้คนออกได้ตามใจ

ลู่อวิ๋นฉีไปแล้ว คุ้มครองฮ่องเต้หนีอยู่

คุณหนูจวินกำกระบี่ในมือ หันหน้ามามององค์หญิงจิ่วหลี

องค์หญิงจิ่วหลีมองนางอยู่ตลอด เมื่อสายตาสบกัน นางพลันยิ้มให้นาง ในดวงตาน้ำตาแวววาว

“เจ้าอยู่ในบ้านปิดประตูให้ดี” คุณหนูจวินเอ่ยบอก “อย่ากลัว”

องค์หญิงจิ่วหลีอมยิ้มส่ายศีรษะ

“ไม่กลัวหรอก” นางตอบ

คุณหนูจวินมองนางพลางพยักหน้า

“ข้าไปดูข้างนอก คิดหาวิธี” นางเอ่ย

องค์หญิงจิ่วหลีมองนาง

ด้านนอก ชาวจินจะบุกเข้ามาแล้ว นางจะไปดูสักหน่อย ไปคิดวิธีว่าจะจัดการชาวจินอย่างไรหรือ?

นางคนเดียว กำกระบี่เล่มเดียวนี้หรือ?

นางคนเดียว ไปเผชิญหน้าพันทหารหมื่นอาชาของชาวจินหรือ?

เหมือนเช่นตอนนั้นที่นางตัวคนเดียวไปแก้แค้นหรือ?

เวลานั้นนางไปไม่กลับ ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้….

องค์หญิงจิ่วหลีมองนาง แล้วเหยียดหลังตรง

“ได้” นางเอ่ยขึ้น “เจ้า ไปเถอะ”

คุณหนูจวินหมุนตัวจะไป เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็พลันหมุนกลับมาก้าวเข้ามายื่นแขนกอดองค์หญิงจิ่วหลีไว้

“ข้าไปแล้ว” นางเอ่ยพลางซบศีรษะลงบนหัวไหล่ขององค์หญิงจิ่วหลีเบาๆ ไม่รอองค์หญิงจิ่วหลีเป็นฝ่ายตอบสนองเอ่ยวาจา นางก็ปล่อยออกก้าวยาววิ่งไปด้านนอก

ศีรษะก็ไม่หันกลับวิ่งออกไปแล้ว

น้ำตาขององค์หญิงจิ่วหลีตอนนี้ถึงไหลร่วง

ในที่สุดนางก็ได้พบน้องสาวที่เสียไปแล้ว แต่พวกนางยังไม่ทันได้คุยกันสักประโยค นางถึงขั้นยังไม่ทันเรียกนางว่าท่านพี่สักคำ

ไปครั้งนี้ยังกลับมาได้ไหม?

ต้องกลับมานะ

นางมองเงาแผ่นหลังของสตรีผู้นั้นยามก้าวยาวจากไป อยากกำชับนางเสียงดังๆ อยากขอคำสัญญาจากนาง

ต้องกลับมานะ

“เจ้าไปเถอะ” แต่ในที่สุดนางเพียงเอ่ยคำนี้

ตอนนางเอ่ยประโยคนี้คุณหนูจวินเดินออกจากประตูไปไม่เห็นแล้ว แต่นางก็ยังเอ่ยออกมา

“เจ้าไปเถอะ” นางพยักหน้าเอ่ยอีกหน มือที่ทิ้งอยู่ข้างกายกุมอยู่หน้าร่าง สีหน้าฟื้นกลับมาเยือกเย็น ร่างกายเหยียดตรงสง่างาม

……

……

คุณหนูจวินวิ่งมาถึงบนนถนนใหญ่ กลางวันบนถนนคนมาคนไป แม้กังวลเพิ่มจากก่อนหน้านี้อยู่หลายส่วน แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงคึกคักรุ่งเรืองดุจเดิม ไม่มีทหารโกลาหลอาชาวุ่นวายผู้คนวิ่งหนี

ข่าวยังไม่แพร่ออกไป

คุณหนูจวินกัดริมฝีปากล่าง วิ่งทะยานตัดผ่านฝูงชนบนถนนใหญ่

บรรยากาศในตำหนักฉินเจิ้งในพระราชวังเคร่งเครียดแปลกประหลาดอยู่บ้าง

ในตำหนักที่เดิมทีมีขันทีใหญ่มากมายคอยรับใช้เวลานี้มีคนเพียงน้อยนิดไม่กี่คน หยวนเป่าที่ไม่เห็นมาเนิ่นนานก็อยู่ในนั้นด้วย

“เร็วหน่อย เร็วหน่อย” เขาเร่งเสียงเบา

ขันทีน้อยหลายคนสีหน้าหวาดหวั่นมือเท้าสั่นเก็บของในตำหนักฉินเจิ้ง

เสียงแกรกทีหนึ่งประตูเปิดออก ขันทีใหญ่ทั้งหลายตกใจสะดุ้งโหยง ยิ่งมีคนเสียกิริยาหลุดปากตะโกน

หยวนเป่าก็ตกใจสะดุ้งโหยงเช่นกัน รอเห็นว่าคนที่มาเป็นขุนนางอายุน้อยคนหนึ่งก็อดไม่ได้อับอายถีบขันทีใหญ่คนนั้นทีหนึ่ง

“ตะโกนอะไรเล่า” เขาด่าเสียงเบา “ใต้เท้าหนิงเป็นผีหรือ? ร้องโหวเหวก”

หนิงอวิ๋นเจาไม่ใช่ผี และไม่จู้จี้กับความไร้มารยาทในคำพูดของหยวนเป่า

“หยวนกงกง ยังไม่เสร็จหรือ?” เขาเอ่ยเสียงเบาพลางสะบัดศีรษะนิดหนึ่งไปด้านนอก “ฝ่าบาทเรียกท่าน”

หยวนเป่ารีบขานรับยกเท้าจะก้าวเดินแล้วก็หยุดเท้านิดหนึ่งมองด้านในนี้

“ถ้าเช่นนั้นที่นี่…” เขาเอ่ยอย่างลังเล

“ข้าดูเอง” หนิงอวิ๋นเจารีบเอ่ยพลางพยักหน้าจริงจัง “หยวนกงกงวางใจ”

……………………………………….

[1] เมล็ดคิดถึง (相思豆) เมล็ดของพืชชนิดหนึ่งมีลักษณะกลมเล็กสีแดงแวววาว มีสีดำนิดหนึ่งที่ปลาย ใช้เป็นสัญลักษณ์แทนความคิดถึง