ภาคที่ 5 บทที่ 45 ข้าเลือกหนี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เขา?

หยวนเป่ามองเขา พูดถึงวางใจ มีแค่ตนเท่านั้นถึงเป็นคนที่ฮ่องเต้วางพระทัยที่สุด ขุนนางคนนี้หรือ….

หนิงอวิ๋นเจายื่นมือเก็บของจากชั้นแล้ว

“ชิ้นนี้ต้องเอาไป”

“ชิ้นนี้ทิ้งไว้ไม่ได้”

“นี่เป็นของที่ฝ่าบาทโปรดที่สุด”

เขาเลือกอย่างชำนาญทั้งยังฉับไว เคลื่อนไหวเร็วกว่าขันทีน้อยหลายคนรวมเข้าด้วยกัน

ไม่ว่าจะว่าอย่างไร กระทั่งเรื่องนี้ฮ่องเต้ยังไม่ปิดบังเขา แล้วยังจะพาเขาไปด้วยกัน ถ้าเช่นนั้น นั่นย่อมเป็นคนที่ฝ่าบาทวางพระทัยยิ่ง

ในเมื่อฝ่าบาทวางพระทัย ถ้าเช่นนั้นเขาก็วางใจด้วย

“ถ้าเช่นนั้นก็ลำบากใต้เท้าหนิงแล้ว” หยวนเป่าเอ่ย หมุนตัวจะจากไปแล้วก็คิดอะไรขึ้นได้ดึงหนิงอวิ๋นเจาไว้ กดเสียงเบา “เคลื่อนไหวเร็วหน่อย เอาไปแค่สิ่งสำคัญที่สุดก็พอ”

“กงกงวางใจ” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยเสียงเบา

ตอนนี้หยวนเป่าถึงก้าวเร็วไวเดินออกไป

หนิงอวิ๋นเจาชี้ของบนชั้นต่อ

“พวกเจ้าเก็บพวกนี้ไปก่อน” เขาเอ่ย

ขันทีน้อยหลายคนเวลานี้สับสนแล้ว แต่เห็นหยวนเป่าส่งมอบที่นี่ให้เขาย่อมเชื่อฟังคำสั่งก้าวเท้าเร็วไวเข้ามา

ส่วนหนิงอวิ๋นเจาไปดูหีบหลายใบที่เก็บเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวตะโกนให้ขันทีทั้งหลายมาด้านนี้เลือกของบางอย่างใส่เข้าไปอีก เดี๋ยวก็ให้ไปด้านนั้นอีก ขันทีสี่คนถูกเรียกใช้จนหัวหมุน หัวใจยิ่งลนลานความคิดสับสน

“พวกเจ้าเร็วเข้า สิ่งนี้ต้อง…”

เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้นอีกครั้ง ขันทีน้อยหลายคนไม่รอพูดจบก็วิ่งเข้ามาทันที

“ระวัง” เสียงของหนิงอวิ๋นเจาตะโกน

แต่ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เพราะลนลานไม่ระวังขันทีสองคนจึงชนหีบใบหนึ่งล้ม ทั้งสองเซล้ม หีบก็ถูกเตะพลิก

“ระวังหน่อย ระวังหน่อย” ขันทีน้อยอีกคนร้อนใจกระทืบเท้า

คนหลายคนลนลานไปเก็บ

“ข้าเอง ข้าเอง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น ก้มตัวลงพลาง โบกมือพลาง “พวกเจ้ารีบเก็บด้านนั้นให้เสร็จก็ครบถ้วนแล้ว”

ในที่สุดก็เก็บเสร็จเสียที ขันทีน้อยหลายคนในใจโล่งอกอย่างไร้สาเหตุ ไม่เกรงใจอีกต่อไปรีบไปทำตามคำบอก

หนิงอวิ๋นเจานั่งยองอยู่บนพื้นเก็บของทีละชิ้นๆ วางกลับเข้าไปในหีบ ฉับพลันคล้ายไม่ได้ถือกล่องใบหนึ่งมั่นคงกล่องจึงถูกเปิดออกของสิ่งหนึ่งร่วงออกมา

นี่คือราชลัญจกรหยก

หนิงอวิ๋นเจายื่นมือเก็บขึ้นมา แต่ไม่ได้วางเข้าไปในกล่อง กลับยัดไว้ในแขนเสื้อกว้าง อีกมือหนึ่งถือกล่องปิดดังปึกพร้อมกัน โยนเข้าไปในหีบ หลังจากนั้นเก็บของที่เหลือกลับเข้าไปในหีบปิดเรียบร้อยเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

“เสร็จแล้ว” เขาลุกขึ้นเอ่ย

ขันทีน้อยหลายคนด้านนั้นก็เก็บเสร็จเรียบร้อยมองมา กำลังจะเอ่ยวาจาหางตาพลันเห็นเงาคนผู้หนึ่ง อดไม่ได้ตัวสั่นระริกชั่ววูบ

“ใครอยู่ที่นั่น” ขันทีคนหนึ่งตะโกนโพล่งขึ้นมา

หนิงอวิ๋นเจาร่างกายแข็งทื่อ แต่สีหน้าเป็นธรรมชาติมองตามไป เห็นข้างเสากลมที่ประตูด้านในตำหนักคนผู้หนึ่งยืนอยู่

เขาสวมอาภรณ์สีแดงสด สีคล้ายคลึงพอประมาณกับสีของเสากลมหรือเหมือนกับเสากลม ไม่มีกลิ่นอายมนุษย์ ใครก็ไม่ทันสังเกตว่าเขาเข้ามา แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาเข้ามานานเท่าไรแล้ว

คนผู้นี้ถึงเหมือนผี

“ใต้ ใต้เท้าลู่” ขันทีน้อยหลายคนเอ่ยติดอ่าง

สายตาของลู่อวิ๋นฉีมองหนิงอวิ๋นเจา

หนิงอวิ๋นเจาก็มองเขา สองมือกุมอยู่หน้าร่าง

การสบสายตานี้คล้ายพริบตาเดียว แล้วก็คล้ายยาวนานจนทำให้คนหายใจไม่ออก

“เก็บเรียบร้อยแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “ก็ไปเถอะ”

พูดจบพลันหมุนร่างมุ่งไปด้านนอก

“รีบหน่อย รีบหน่อย”

“ยกขึ้นมา”

ขันทีทั้งหลายพูดพลางขยับพลาง ทำให้ในตำหนักกลายเป็นเอะอะใหม่อีกหน ทำลายความอึดอัดไปด้วย

“ข้าอุ้มห่อเล็กนี่เอง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยตาม ช่วยงานไปพลาง มองประตูตำหนักอีกทีหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจไปพลาง

เงาร่างของลู่อวิ๋นฉีหายไปแล้ว

ประตูใหญ่ห้องบรรทมของฮ่องเต้ปิดสนิท ขันทีหลายคนทิ้งมือยืนอยู่นอกประตูนิ่งเงียบ เห็นลู่อวิ๋นฉีผ่านมาก็พากันคำนับ

“หยวนกงกงอยู่ด้านในขอรับ” ขันทีน้อยคนหนึ่งเอ่ยเตือนเสียงเบา

วันนี้หยวนกงกงคนนี้เป็นคนโปรดหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ขันทีใต้สังกัดของเขาอยู่ข้างนอกมีเรื่องไม่พอใจมากมายกับกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ สองคนนี้อยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ตลอดมาไม่เคยโผล่หน้ามาพร้อมกัน

อย่างที่คิดลู่อวิ๋นฉีได้ยินก็ไม่เดินเข้าไปด้านใน แต่ยืนหยุดเท้าอยู่ด้านข้างพวกขา หันหน้าไปข้างนอกยืนยิ่งสงบ

ในห้องบรรทมไม่ได้มีแค่หยวนกงกง ยังมีขันทีสองคนของไทเฮาด้วย

ฮ่องเต้สวมผ้าคลุมผืนหนานั่งอยู่บนเตียงกำลังทานน้ำแกงชามหนึ่งอยู่

“ข้าทราบแล้ว พวกเจ้าบอกองค์ไทเฮาว่าโอสถข้าเสวยแล้ว ให้นางไม่ต้องกังวลใจ” พระองค์ตรัสเสียงขึ้นพระนาสิกชัด วางชามน้ำแกงลง สีหน้าสุขสันต์อยู่บ้าง “น้ำแกงแปดสมบัติที่เสด็จแม่ประทานให้นี่อร่อยที่สุด”

ขันทีสองคนยิ้มแล้ว

“ฝ่าบาท นี่เป็นสิ่งที่องค์ไทเฮาต้มให้ท่านด้วยองค์เอง” ขันทีคนหนึ่งเอ่ย “เฝ้าอยู่สองชั่วยามเต็มๆ เชียวพ่ะย่ะค่ะ ความแรงของไฟล้วนดูด้วยพระองค์เองทั้งหมด”

“องค์ไทเฮาตรัสว่า ฝ่าบาทยามยังเล็กชอบเสวยน้ำแกงแปดสมบัติที่พระนางทำมากที่สุดแล้ว” ขันทีอีกคนหนึ่งก็เอ่ยอย่างเต็มไปด้วยการทอดถอนใจ

ฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะนิดหน่อย

“ใช่แล้ว ไม่ได้เสวยนานปีนักแล้ว” พระองค์ตรัสอย่างไม่สบายพระทัยอยู่บ้างอีกหน “ให้เสด็จแม่ลำบากพระวรกายเช่นนี้ได้อย่างไร…ล้วนเป็นข้าไม่มีประโยชน์”

ขันทีทั้งสองรีบคำนับ

“ไม่กล้าเอ่ยเช่นนี้” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “องค์ไทเฮาตรัสว่า ฝ่าบาทอย่าได้ทรงรีบร้อน บำรุงพระวรกายให้ดี ด้านนอกมีทหารประจำการอยู่มากปานนั้น ด้านในมีประชาชนมากเช่นนี้ ชาวจินมาก็ไม่มีสิ่งใดให้กลัว ต้องสู้ก็สู้ เจรจาได้ก็เจรจา หลอกได้ก็หลอก วิธีการมากมายไป อย่าได้ทรงกลัวไปเองก่อน…”

เขาเอ่ยถึงตรงนี้ ฮ่องเต้พลันยกพระหัตถ์ปิดพระโอษฐ์เริ่มไอหนักๆ ขัดคำพูดของขันที

หยวนเป่ารีบถวายถ้วยชา

“ฝ่าบาท” เขาลูบหลังอย่างระวังไปพลาง ถวายชาไปพลาง

ฮ่องเต้ดื่มชาลงไปคำหนึ่ง ถึงบรรเทาอาการไอไป

“เสด็จแม่ยังมีสิ่งใดกำชับอีกไหม?” พระองค์พระสุรเสียงแหบเอ่ยถามอย่างเคารพ

ขันทีสองคนสบตากันทีหนึ่ง

“ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์ไทเฮาหวังว่าฝ่าบาทจะไม่ร้อนใจ บำรุงพระวรกายให้ดี อย่าได้กลัว” พวกเขาเอ่ย

“ทราบแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสท่าทางละอายอยู่บ้าง “ให้เสด็จแม่กังวลพระทัยแล้ว ข้าเสวยโอสถไปแล้วซุกในผ้าห่มสักราตรีวันพรุ่งนี้ก็คงหายแล้ว วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเฝ้าเสด็จแม่ด้วยตนเอง”

ขันทีสองคนรีบขานรับแล้วคำนับอีกหน หยวนเป่าไปส่งถึงประตูด้วยตนเอง มองดูขันทีสองคนนั้นเดินออกไป จากนั้นปิดประตู สองสามก้าวก็วิ่งเข้ามาตรงหน้า

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท หวิดไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ หวิดไปแล้ว”เขาเอ่ยเสียงเบา

ฮ่องเต้ปลดผ้าคลุมโยนไปด้านข้าง เผยด้านในที่สวมอาภรณ์เรียบร้อย

อาภรณ์นี่ไม่ใช่ฉลองพระองค์มังกร แต่เป็นสิ่งที่มักเห็นเศรษฐีข้างนอกสวมใส่บ่อยๆ

ฮ่องเต้ถ่มน้ำลายใส่ชามน้ำแกงตรงหน้า

“ยัยแก่นังเหนียว ยังจะต้มน้ำแกงให้ข้าอีก เสแสร้งทำท่าว่าตอนข้ายังเล็กชอบกิน ตอนข้ายังเล็กได้แต่มองผู้อื่นกินต่างหาก” เขาเอ่ยอย่างคับแค้น “เจ้าคนตายนั่นกินของนางกินจนตายไปแล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้ข้ามีประโยชน์ ก็จะมาป้อนข้าอีก ข้าไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย”

หยวนเป่าสะบัดผ้าคลุมมีหมวกที่เริ่มเก่ามอซอตัวหนึ่งทีหนึ่ง จากนนก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง

“เป็นเช่นนี้แล้ว ยังมาสั่งสอนข้าอีก รังเกียจว่าข้าไม่ไม่ได้เรื่องเป็นตัวไร้ประโยชน์” ฮ่องเต้ชิงชัง วาดมือทีเดียวกระชากผ้าคลุมมาห่มไว้พลางเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม “เจ้าใช้การได้ เจ้าร้ายกาจ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รอพบหน้าชาวจินเถอะ”

พูดจบมองไปทางหยวนเป่า

หยวนเป่าถูกสีหน้าของเขาทำหวาดกลัวจนเก้อกระดาก ชั่วขณะถึงกับลืมว่าจะพูดอะไร

“เตรียมพร้อมแล้วไหม?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอ่ยถาม แล้วมองไปทางนอกประตูเร่งเสียงขึ้น “ลู่อวิ๋นฉีเล่า? ลู่อวิ๋นฉีมาแล้วหรือ?”

ลู่อวิ๋นฉีเข้ามาจากด้านนอกค้อมกายคำนับ

“เตรียมพร้อมเรียบร้อยหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ย

“ข่าวไม่ได้รั่วออกไปนะ?” ฮ่องเต้ตรัสถาม

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” ฮ่องเต้โล่งพระทัยตรัส “ชาวจินมุ่งมายังเมืองหลวง ไม่มีสิ่งใดนอกจากมาเพื่อข้า เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ต้องการจับข้าไปจากในพระราชวัง”

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มหยันอยู่บ้างอีกหน

“ข้าไม่ใช่ฮ่องเต้เหรินเซี่ยวผู้บ้าบิ่นที่ลืมฐานะถึงกับประทับราชรถนำทัพด้วยตนเองเอาตนเองไปมอบให้ชาวจิน แล้วข้าก็ไม่ใช่ซู่อ๋องคนโง่คนนั้นที่ยืนหยัดเฝ้าพระราชวังสิ่งใดก็ไม่ยอมทิ้งผลสุดท้ายมอบชีวิตของตนเองไป ข้าไม่มีทางให้ชาวจินสมหวังหรอก”

พระองค์ตรัสพลางสวมหมวกปิดพระเศียรกับพระพักตร์ไว้

“ข้าจะออกจากเมืองหลวง ให้พวกเจ้าโถมจับความว่างเปล่า ยินดีกับความว่างเปล่ายกหนึ่ง รอทหารกองหนุนข้างหลังมาถึงแล้ว พวกเจ้ายังทำอันใดได้อีก”

หยวนเป่าก้มศีรษะเล็กน้อย ร่างกายอดไม่ได้สั่นเทา

แต่ เมืองหลวงนี่ วังหลวงนี่ ไม่ได้ว่างเปล่านะ

ยังไม่ต้องพูดถึงเขตที่เป็นของเมืองหลวงซึ่งมีประชาชนทั้งหมดเกือบล้าน แค่ในเมืองหลวงแห่งนี้ก็มีแสนหลายหมื่นคน

ชาวจินโถมเข้ามา ถ้าเช่นนั้นสถานการณ์นี่…

“เจ้าทำอันใด? ยังอึ้งอยู่ทำอะไร? อยากอยู่ที่นี่รอความตายหรือ?” ฮ่องเต้เอ็ดเสียงเบา

คำว่าตายทำให้หยวนเป่าตัวสั่นระริก

ไม่ ไม่ เขาย่อมไม่อยากตาย ไม่อยากเมืองแตกถูกสังหารล้างบางตาย

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทรีบเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” เขารีบประคองฮ่องเต้เอ่ยเสียงสั่น

……

……

ยามสายัณห์มาเยือนเมืองหลวงที่ครึกครื้นมาทั้งวันไม่ได้จมสู่ความเงียบ ตรงกันข้ามเริ่มครึกครื้นในอีกแบบหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนนี้มีคนมากกว่าเดิมแห่เข้ามาในเมือง

คืนนี้เพื่อฉลองที่มณฑลจิงตงกำจัดทหารจินสามร้อยกว่านายได้ เพื่อขับไล่อารมณ์ที่ถูกทำให้ตระหนกหวาดกลัวมาตลอดเริ่มตั้งแต่ปีใหม่ แล้วก็เพื่อชดเชยความเสียดายที่พลาดเทศกาลหยวนเติง[1] เพราะสงคราม จึงมีร้านค้าสิบกว่าร้านร่วมมือกันจัดเทศกาลโคมไฟ

มีขุนนางไม่น้อยเคยคัดค้าน คิดว่ากำลังอยู่ในยามสงครามไม่เหมาะสม แต่ฮ่องเต้ทรงแย้ง บอกว่าก็เพราะยามสงครามถึงยิ่งต้องปลอบประโลมประชาชน

เวลานี้ราตรียังไม่ทันมาเยือนโดยสมบูรณ์ ในเมืองแสงโคมก็สว่างไม่น้อยแล้ว ปรากฏภาพแสงสว่างไสว คนนับไม่ถ้วนแห่มาบนถนน รอคอยนาทีนั้นยามตกกลางคืนดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นฟ้า ทั้งถนนระยิบระยับ

บนถนนใหญ่ที่ครึกครื้นฉับพลันก็วุ่นวาย มีคนพุ่งเข้ามาในฝูงชนประหนึ่งเป็นบ้า โซซัดโซเซ ชักนำเสียงร้องตกใจและเสียงด่าระงมมา

แต่คนผู้นั้นไม่สนใจ เขาสีหน้าซีดขาว สภาพดั่งคลุ้มคลั่ง

“ชาวจิน! ชาวจินมาถึงเมืองหลวงแล้ว!” เขาตะเบ็งเสียงตะโกน

รอบด้านตกสู่ความเงียบ

“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร?”

“บ้าไปแล้วหรือ?”

“พักนี้คนที่กลัวจนเสียสติไม่น้อย”

จากนั้นเสียงคุยเล่นหัวเราะก็ดังระงม ชี้มือชี้ไม้ใส่คนผู้นี้

แต่ไม่นานเสียงเอ็ดตะโรที่ดังกว่าเดิมก็ลอยมาทางประตูเมือง

“ชาวจินมาแล้ว!”

“ปิดประตูเมือง!”

“ชาวจินมาแล้ว!”

“ชาวจินบุกมาแล้ว!”

เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาดลอยมาตามถนน คนทั้งหลายที่คุยเล่นหัวเราะล้วนหยุด สีหน้าจากตกตะลึงเปลี่ยนเป็นหวาดหวั่น

เสียงตะโกนนี่ดังขึ้นทุกที แผ่ลามจากทิศทางของประตูเมืองทั้งสี่ ประหนึ่งบนผืนหญ้าฤดูหนาวไฟกองหนึ่งลุกไหม้ขึ้น

เสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวาย เสียงร่ำไห้ตะโกนสะเทือนฟ้า ทั้งเมืองหลวงพริบตาลุกไหม้

……………………………………….

[1] เทศกาลหยวนเติง (元灯节) อีกชื่อหนึ่งของเทศกาลหยวนเซียว เทศกาลที่จัดขึ้นวันที่ 15 เดือนที่หนึ่งของปี