ตอนที่ 1624

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,624 : คำสั่งของตลาดมืดหยินชาน

 

พอได้ยินคำเรียกต้วนหลิงเทียนก็ตอบสนองโดยการเดินไปยังประตูทางเข้าลานทันที ก่อนที่จะเห็นร่างคนตระกูลซือถูคนหนึ่ง

 

อีกฝ่ายก็คือผู้ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูหน้าของตระกูลซือถูในวันนี้

 

“เป็นใครมาฝากไว้เหรอ?”

 

ต้วนหลิงเทียนถาม

 

“คนที่ฝากกล่าวแจ้งไว้ว่าชื่อ อี้เฟิง ขอรับ และคนผู้นั้นยังบอกมาอีกว่า…อยากเชิญท่านปรมาจารย์ต้วนไปเยือนจวนอ๋องเฉียนเพื่อสนทนาเรื่องราวในวันเก่าๆสักครา…”

 

คนของตระกูลซือถูกล่าว

 

“อี้เฟิงงั้นเหรอ!?”

 

พอได้ยินคำกล่าวของผู้ที่มาส่งสาร ซือถูหังที่อยู่ข้างๆต้วนหลิงเทียนพลันโพล่งออกมาทันที “นั่นไม่ใช่นามของประมุขนิกายหยินหมิงรึไร!? ข้าจำได้ว่าประมุขนิกายหยินหมิงก็เรียกว่าอี้เฟิงเช่นกัน!”

 

ด้านต้วนหลิงเทียนก็หน้าเปลี่ยนสีไปเช่นกัน

 

อี้เฟิง!

 

ในที่สุดมันก็ปรากฏตัวอีกครั้ง!

 

ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไปพึ่งใบบุญจวนอ๋องเฉียนอีก!

 

‘อี้เฟิงเป็นประมุขนิกายหยินหมิง และนิกายหยินหมิงก็มีความสัมพันธ์กับตระกูลซือถูมาก่อน นั่นหมายความว่าหากเป็นสถานการณ์ปกติ มันสมควรไปเข้าร่วมกับฝ่ายองค์ชายรองอย่างอ๋องหรงถึงจะถูก แต่นี่มันกลับไปเข้าฝ่ายตรงข้ามที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับอ๋องหรงอย่างองค์ชาย 4 อ๋องเฉียน…’

 

ใจต้วนหลิงเทียนจมลงโดยพลัน

 

อาศัยความจริงที่ตอนนี้อี้เฟิงอยู่จวนอ๋องเฉียนได้ นั่นหมายความว่ามันต้องเสนออะไรให้จวนอ๋องเฉียนแน่…เป็นไปได้สูงที่ตอนนี้มันจะคายความลับเรื่องตราผนึกมารในมือข้าออกไปแล้ว…’

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลูกตาต้วนหลิงเทียนเผยเจตนาฆ่าฟันออกมาทันที

 

หากเขาทำได้ เขาอยากจะฆ่าอี้เฟิงให้ตาย และฆ่าทุกคนที่รู้เรื่องตราผนึกมารไปเสีย!

 

เพราะเรื่องนี้จะชักนำเภทภัยมาสู่ตัวเขาอย่างไม่สิ้นสุด!

 

‘จวนอ๋องเฉียน…ถ้างั้น 9 ใน 10 ส่วนอ๋องเฉียนต้องรู้แล้วเป็นแน่ว่าข้ามีตราผนึกมาร’

 

ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว

 

อ๋องเฉียนนั่นเขาไม่ได้หวาดกลัวมันแต่อย่างไร

 

อย่างไรก็ตามในฐานะอ๋อง มันต้องมีผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในขอบเขตเซียนไม่น้อยคอยดูแล ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ผู้ฝึกมาร…

 

บุกไปฆ่าอ๋องเฉียน…คงไม่ง่ายเลย!

 

‘อย่างไรก็ตามถึงอ๋องเฉียนนั่นมันจะรู้ว่าข้ามีตราผนึกมารอยู่ในมือ แต่มันต้องไม่มีทางปล่อยให้ข่าวเรื่องนี้รั่วไหลแน่นอน มันต้องอยากเก็บเอาไว้ใช้เอง!’

 

เรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจดี

 

อันที่จริงหลังจากที่อี้เฟิงหลบหนีไปได้วันนั้น ต้วนหลิงเทียนก็คิดที่จะออกเดินทางไปจากประเทศฝูเฟิงแห่งนี้มาโดยตลอด

 

เพราะหากข่าวเรื่องที่เขาถือครองตราผนึกมารแพร่กระจายออกไป เขาได้ซวยหนักแน่!

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะจากไปตั้งรกรากที่อื่นเขาจำต้องจัดการเรื่องราวของป๋ายลี่หงและคนอื่นๆให้เรียบร้อยเสียก่อน และตลอดหลายวันที่ผ่านเขาก็ตระเตรียมเรื่องนี้จนใกล้เสร็จแล้ว

 

ทว่ามาตอนนี้พอเขารู้แล้วว่าอี้เฟิงไปอยู่กับอ๋องเฉียน เขาจึงไม่รีบร้อนอะไรอีก ‘หากเป็นแค่อ๋องเฉียน…ก็ไม่จำเป็นที่ข้าจะต้องรีบออกจากประเทศฝูเฟิง เพราะตราบใดที่ข้าทะลวงสู่ขอบเขตเซียน ข้าก็ไม่ต้องกลัวผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนในประเทศนี้อีก!’

 

ในเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนมั่นใจมาก

 

ไม่ต้องกล่าวถึง รากฐาน อันแน่นหนามั่นคง ไม่ว่าจะชีพจรเซียนหรือร่างกาย ทันทีที่เขาทะลวงสู่ขอบเขตเซียน ปราณแรกกำเนิดในร่างเขาจะกลายเป็นปราณสุริยันแรกกำเนิด!

 

และจากวาจาที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกไว้ ประโยชน์ที่เขาจะได้รับหลังจากการถ่ายทอดปราณสุริยันแรกกำเนิดของผู้เฒ่าหั่ว มันจะเปิดเผยให้เขารู้เมื่อตัวเขาทะลวงถึงขอบเขตเซียน!

 

กระทั่งจากคำที่ผู้เฒ่าหั่วกล่าวเอาไว้ มันไม่ยากที่จะเอาชนะผู้ที่มีพลังฝึกปรือที่อยู่ในขอบเขตสูงกว่าอีกต่อไป หากเขาใช้ปราณสุริยันแรกกำเนิด!

 

กอปรทั้งด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งดุจมังกรเทพยาดา 7 กรงเล็บ เขตแดนหมื่นกระบี่ ยังมีม่านตาพิสดาร รวมถึงเต๋าแห่งใจกระบี่สูงสุด จากเคล็ดบำเพ็ญจิต ‘ยอดใจกระบี่’ ที่เซียนกระบี่ฟงชิงหยางถ่ายทอดให้เขา เขาเชื่อว่าคงไร้ขอบเขตเซียนใดๆในประเทศฝูเฟิงจะรับมือเขาได้อีกต่อไป ทันทีที่เขาทะลวงถึงขอบเขตเซียน!

 

ถึงตอนนั้นกับอีแค่จวนอ๋องเฉียน ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เขากังวลแม้แต่น้อย

 

‘ถึงตอนนั้นข้าจะล้างบาง ตัดรากถอนโคนคนที่มันรู้เรื่องนี้ให้หมด!’

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ร่ำลาซือถูหังและมุ่งกลับไปยังห้องพักทันที

 

หลังจากที่กลับเข้ามาในห้องพัก และปิดประตูหน้าต่างลั่นดาลลงกลอนอะไรเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็เข้าไปในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ และขึ้นไปบ่มเพาะพลังบนชั้น 3 อย่างขยันขันแข็งทันที

 

แน่นอนว่าก่อนที่จะทะลวงถึงขอบเขตเซียน เขาต้องบรรลุจุดสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ และบรรลุถึงครึ่งก้าวเซียนเสียก่อน

 

อย่างไรก็ตามจากการประมาณการของต้วนหลิงเทียน กับระดับพลังในร่างเขาตอนนี้ เขามั่นใจว่าขอเพียงมีเวลาอีกแค่ ครึ่งเดือน เขาจะทะลวงถึงสูงสุดสู่เซียนขั้นยิ่งใหญ่ได้ไม่ยาก

 

แน่นอนว่าครึ่งเดือนที่ว่า หมายถึงกาลเวลาในโลกภายนอก

 

‘อี้เฟิงมันอยู่ในจวนอ๋องเฉียน…ถ้างั้นเป็นไปได้สูงว่าเรื่องที่ซือถูหมิงทรยศตระกูลจะเกี่ยวข้องกับมัน’

 

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับห้องไป ซือถูหังก็เริ่มครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวที่ได้รับทราบมา

 

แต่ไม่ว่าจะเป็นทางด้านอี้เฟิงหรือต้วนหลิงเทียน ก็ไม่ได้รู้เลยว่าภัยพิบัติครั้งใหญ่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ แน่นอนว่าต้วนหลิงเทียนมีแนวโน้มจะประสบภัยครั้งใหญ่มากกว่า

 

เพราะตราผนึกมารนั้นมีค่ามากเกินไป มันมีอานุภาพพอให้สุดยอดฝีมือในใต้หล้าทั้งหมดยินดีสร้างมรสุมโลหิตเพื่อช่วงชิง!

 

ในขณะเดียวกันกับที่ทางเมืองหลวงของประเทศฝูเฟิงกำลังวุ่นวายกับเรื่องความเปลี่ยนแปลงในการช่วงชิงอำนาจ ตลาดมืดหยินชานสาขาประเทศฝูเฟิง ก็ได้รับคำสั่งโดยตรงจากฐานบัญชาการหลัก ยังมีภาพเสมือนใบหนึ่งถูกส่งออกมา

 

และภาพเสมือนใบนั้นก็เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง

 

“ท่านผู้นำออกคำสั่งให้ตามล่าหาตัวชายหนุ่มในรูปมาให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้ทรัพยากกรเท่าไหร่ก็ตาม!”

 

นี่เป็นคำสั่งจากฐานบัญชาการหลักของตลาดมืดหยินชาน ที่ถ่ายทอดไปยังตลาดมืดหยินชานสาขาย่อยทุกแห่ง

 

สาขาย่อยของตลาดมืดหยินชานนั้น ล้วนจัดตั้งขึ้นในเขตปกครองของขุมพลังสำคัญหลายๆแห่ง คำสั่งจากสาขาหลักจะถ่ายทอดสู่สาขาที่อยู่ในเขตขุมพลังชั้น 4 หลังจากนั้น สาขาขุมพลังชั้น 4 ก็เริ่มถ่ายทอดไปยังสาขาของเขตขุมพลังชั้น 5 แล้วก็ลดหลั่นกันมาเรื่อยๆ

 

ในเขตอิทธิพลของคฤหาสน์หลิ่งหนานหยวนก็มีตลาดมืดหยินชานมาตั้งสาขาอยู่เช่นกัน

 

และสาขานี้ก็ต้องรับคำสั่งจากสาขาเบื้องบนมาอีกที

 

คำสั่งที่มาพร้อมภาพเสมือนนั้นง่ายดายและชัดเจนนัก…ตามหาบุคคลในภาพ ที่เรียกว่า ต้วนหลิงเทียน!

 

“แล้วเร่งถ่ายทอดคำสั่งนี้ไปยังสาขาระดับล่างเสีย”

 

สาขาระดับล่างที่ว่า ก็คือสาขาที่อยู่ต่ำกว่า

 

และนั่นร่วมถึงสาขาของประเทศฝูเฟิงด้วย!

 

ไม่กี่เดือนต่อมาตลาดมืดหยินชานสาขาประเทศฝูเฟิง ก็ได้รับคำสั่งจากตลาดมืดหยินชานสาขาเบื้องบน และได้รับภาพเสมือนชายหนุ่มผู้หนึ่ง พร้อมนามเช่นกัน

 

“ต้วนหลิงเทียน? ชื่อนี้ใยคุ้นหูข้านัก?”

 

ผู้นำตลาดมืดหยินชานสาขาประเทศฝูเฟิง เป็นชายชราผมสีดอกเลามันมาในชุดคลุมสีขาว กำลังครุ่นคิดขณะที่ตัดแต่งกล้วยไม้งามต้นหนึ่งในสวนที่สร้างขึ้นบนยอดเขา แม้ในมือขวาจะตกแต่งกล้วยไม้ แต่มือซ้ายก็ถือภาพเหมือนไม่วาง

 

“ท่านผู้นำ! ข้ารู้แล้วว่านามนี้คือนามของผู้ใด!!”

 

ในขณะที่ชายชราผมสีดอกเลากำลังบ่นพึมพำ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง น้ำเสียงฟังดูยังตื่นเต้นไม่น้อย

 

“โอ้?”

 

พอชายชราในชุดคลุมสีขาวหันไปดู ก็พบว่าเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง และยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชามือดีที่สุดของมัน

“ท่านผู้นำ…อันที่จริงแล้วท่านก็สมควรเคยได้ยินนามนี้มาแล้ว เพียงแค่ท่านมิได้สนใจมันเท่านั้น”

 

ชายวัยกลางคนกล่าวสืบต่อ “ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ที่ประเทศฝูเฟิงมีชายหนุ่มคนหนึ่งเอาชนะแม่นางเฟิ่งแห่งนิกายอัคคีล่องลอยไปได้ และชายหนุ่มคนนั้นก็มีนามเต็มเรียกว่าต้วนหลิงเทียน เห็นว่ามันเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตระกูลซือถู…และเรียกว่าตอนนี้มันเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับ 1 ในประเทศฝูเฟิงก็ว่าได้”

 

“อ้อ! พอเจ้ากล่าวขึ้นมา ข้าก็นึกได้แล้ว”

 

ชายชราในชุดคลุมสีขาวพยักหน้ารับคำก่อนที่จะก้มลงไปดูรูปเหมือนในมือ สองตายังสว่างวาบขึ้นมา “มิรู้ว่าต้วนหลิงเทียนผู้นั้นกับคนในรูปจักเป็นคนๆเดียวกันหรือแค่มีนามคล้ายเหมือนกันแน่ แต่ถ้าหากพวกมันเป็นคนเดียวกันล่ะก็…”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ลมหายใจของชายชราคล้ายจะถี่รัวขึ้นมาทันตาเห็น