ตอนที่ 645 คลื่นลมในตระกูลเย่

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 645 คลื่นลมในตระกูลเย่ โดย ProjectZyphon

ความจริงการที่หลินสวินสามารถทำลายเรือรบลำหนึ่งได้ภายในลูกศรลูกเดียว ไม่ใช่เพราะพลังต่อสู้ของเขาอยู่ในขั้นที่น่าสะพรึงกลัวจนเหลือเชื่อแต่อย่างไร

แต่เป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับเรือรบวีรชนม่วงมาก!

เขาเป็นคนออกแบบเรือรบวีรชนม่วงรูปแบบใหม่นี้ รู้โครงสร้างของมันเป็นอย่างดี ถึงขั้นที่พูดได้อย่างไม่เกินจริงว่า ใต้หล้านี้ถ้าพูดถึงความเข้าใจต่อเรือรบวีรชนม่วง นอกจากเหล่าโม่ ก็ไม่มีใครรู้ดีกว่าหลินสวินแล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกดอกที่เขายิ่งล้วนเล็งใส่จุดอ่อนที่สุดของเรือรบวีรชนม่วง หากยังไม่สามารถทำได้ขนาดนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าแปลก

เพลิงไฟลุกโชน แผดเผาทะเลสีคราม ทุกอย่างจบลงแล้ว

หลินสวินเก็บธนูวิญญาณไร้แก่นสาร แล้วพาเย่หลิงถงที่ยังคงตกอยู่ท่ามกลางความตะลึงจากไป

……

“เจ้าบอกว่า เย่เสี่ยวชีไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณแล้วงั้นหรือ”

ระหว่างทางเมื่อถามถึงเบาะแสของเย่เสี่ยวชี หลินสวินก็อดตกใจไม่ได้

“ใช่แล้ว เย่เสี่ยวชีถูกผู้อาวุโสส่งไปด้วยตัวเองเมื่อสามเดือนก่อน ในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวของตระกูลเย่ พี่เสี่ยวชีเป็นคนเดียวที่ได้สิทธิพิเศษนี้ เขาแบกความหวังทั้งหมดของตระกูลเย่ไว้”

เย่หลิงถงพูดถึงตรงนี้แววตาพลันเผยความชื่นชมอย่างควบคุมไม่อยู่ เย่เสี่ยวชีไปเป็นผู้กล้าอันดับหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากคนหนุ่มสาวตระกูลเย่ มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทะเลตะวันออก

เพียงแต่…

เมื่อเย่หลิงถงเอาเย่เสี่ยวชีกับคุณชายตรงหน้าคนนี้มาเทียบกัน กลับส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เพราะเทียบไม่ได้เลยจริงๆ

เด็กหนุ่มคนนี้ทำลายเรือรบวีรชนม่วงสิบลำของตระกูลหานอย่างง่ายดาย ราวกับสัตว์ประหลาดพลิกฟ้าอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เมื่อเทียบกับเขาแล้ว พี่เสี่ยวชีดูด้อยลงไปถนัดตา

‘ดูเหมือนว่าตอนนี้ผู้ฝึกปราณมากมายในจักรวรรดิจื่อเย่าจะตระหนักถึงปัญหาของ ‘พิบัติมหามรรค’ แล้ว…’

หลินสวินคิดไตร่ตรองบางอย่าง

เย่เสี่ยวชีไม่ใช่คนแรกที่ไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณแล้ว

ก่อนหน้าเขายังมีไป๋หลิงซี ซ่งอี้ เว่ยฉือเจ๋อที่ถูกเหล่าตัวแทนจากสำนักเก่าแก่พาไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ ตอนงานเลี้ยงวันเฉลิมพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี

นอกจากนี้ดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง คุณชายใหญ่อัครการค้าสือซวน คุณชายใหญ่ตระกูลซ่งซ่งอวิ๋นจี้ ผู้สืบทอดสำนักศึกษามฤคมรกตกู้อวิ๋นถิง…และอีกหลายคน ผู้กล้าชั้นยอดรุ่นหนุ่มสาวของนครต้องห้ามได้เดินทางไปล่วงหน้าแล้ว

นี่คือทิศทางลม

หลินสวินไม่ต้องเดาก็รู้ว่า หลังจากนี้จะต้องมีลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลถูกส่งไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณมากขึ้นเรื่อยๆ

ถึงอย่างไรตามข่าวลือ อีกไม่เกินสิบปี ดินแดนที่ถูกมองว่าเป็นโลกชั้นล่างแห่งนี้จะเกิดพิบัติมหามรรคที่แท้จริงขึ้น!

ถึงตอนนั้นมหามรรคบกพร่องอย่างรุนแรง อย่าว่าแต่ฝึกปราณเลย แม้แต่หนทางเลื่อนระดับก็คงจะถูกตัดไปด้วย สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว นี่เท่ากับการตัดความหวังทั้งหมดในการแสวงมรรคาของพวกเขา

การเดินทางไปของเย่เสี่ยวชีก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

‘กลับนครต้องห้ามคราวนี้ จะต้องเริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อเดินทางไปยังดินแดนรกร้างโบราณ…’

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ตัดสินใจในใจ

หลังผ่านประสบการณ์ที่ไร้ความแน่นอนในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ ทำให้หลินสวินเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ถ้าอยากแสวงหามกุฎมรรคาของตนต่อ ก็ต้องไปสู่โลกฝึกปราณที่กว้างกว่า

พูดง่ายๆ ก็คือ ต่อไปหลินสวินไม่เหมาะที่จะฝึกปราณในโลกชั้นล่างแห่งนี้แล้ว

“คุณชาย ก่อนไปขอทราบชื่อเสียงเรียงนามของท่านได้หรือไม่”

เวลาหนึ่งก้านธูปหลังจากนั้น ในตำแหน่งใกล้ชายฝั่งทะเลตะวันออก เย่หลิงถงตัดสินใจจะจากไป แต่คำขอเดียวก่อนไปคืออยากรู้ชื่อของหลินสวิน

หลินสวินชะงัก ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง

“ลาก่อน”

หลินสวินประสานหมัด แล้วเคลื่อนยานขนส่งอวกาศมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป

“ที่แท้เขาก็ชื่อหลินสวิน…”

เย่หลิงถงพึมพำ รู้สึกคุ้นชื่อนี้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินที่ไหน

……

ตระกูลเย่แห่งทะเลตะวันออก

เย่หลิงถงกลับมาพร้อมข่าวเรื่องที่ถูกตระกูลหานตามฆ่า ทำให้เบื้องบนของตระกูลเย่ต่างเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ

ในวันนั้นเอง ตระกูลเย่ได้เคลื่อนกำลังอันแข็งแกร่งมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของทะเลตะวันออก เพื่อช่วงชิงสายแร่วิญญาณกับตระกูลหาน

และในวันเดียวกัน ในโถงประชุมตระกูลเย่ เย่หลิงถงรายงานอีกข่าวทำให้กลุ่มเบื้องบนตระกูลเย่อึ้งไปอีกครั้ง

มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงอย่างหานอวิ๋นฉง กลับถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งตบตายภายในฝ่ามือเดียวงั้นหรือ!?

หากไม่ใช่เพราะเย่หลิงถงเป็นพยานด้วยตัวเอง บรรดาคนเบื้องบนตระกูลเย่ก็คงจะไม่เชื่อ

เพียงแต่ไม่นาน ความตะลึงเช่นนี้ก็ถูกความเดือดดาลเข้ามาแทนที่

“อะไรนะ ตงเคอตายแล้วงั้นหรือ พวกเจ้าไปด้วยกันไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้ายังอยู่แต่ตงเคอกลับตาย”

เสียงคำรามอย่างเดือดดาลของเย่หนานหลินดังขึ้นภายในห้องโถง ราวกับสายฟ้ากระหน่ำ

เขาคือบิดาของเย่ตงเคอ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกทำให้เขาไม่สามารถสงบได้ ตกอยู่ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยว โมโหจนตาแดงก่ำ

“เล่ามา! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!? หากเจ้ากล้าปิดบัง ข้าจะจัดการเจ้าเป็นคนแรก!”

เย่หนานหลินจ้องเย่หลิงถงเขม็ง สายตาเหี้ยมโหดน่ากลัว เย่หลิงถงตกใจจนใบหน้างามซีดเซียว หวาดหวั่นอย่างมาก

เหล่าชนชั้นนำคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างฉงนใจ จริงสิ หานอวิ๋นฉงถูกฆ่าไปแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้เย่ตงเคอตายได้อย่างไร

เย่หลิงถงรู้ว่าปิดไม่อยู่จึงพูดไปตามความจริง

ทันใดนั้นเหล่าชนชั้นนำต่างขมวดคิ้ว ส่วนเย่หนานหลินเดือดดาลจนถึงขีดสุดแล้ว “เพราะปฏิเสธคำเชิญชวนของลูกชายข้า เด็กหนุ่มคนนั้นจึงเจตนาแก้แค้นเขางั้นหรือ รังแกกันเกินไปแล้ว!”

เย่หลิงถงรวบรวมความกล้ากัดฟันพูด “ท่านลุงสาม เรื่องนี้คงต้องโทษพี่ตงเคอ เขาไม่รู้จักกาลเทศะ ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ข้าพยายามเกลี้ยกล่อมเขา แต่กลับถูกเขาต่อว่าและกล่าวโทษ ท่านว่า นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรือ”

“กำเริบเสิบสาน! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครถึงได้กล้าบอกว่าตงเคอไม่รู้จักกาลเทศะ ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นงั้นหรือ เจ้าปากร้ายจริงๆ!”

เย่หนานหลินตบโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าเขาจนแหลกละเอียด ลุกขึ้นยืนราวกับสัตว์ป่าที่เดือดดาล จ้องเย่หลิงถงพร้อมไอสังหารที่พลุ่งพล่าน

เย่หลิงถงตกใจ รู้สึกเย็นเยียบไปทั้งตัวราวกับตกไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ในใจน้อยเนื้อต่ำใจและกรุ่นโกรธอย่างที่สุด ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น นิสัยและอารมณ์ของเย่ตงเคอเหมือนท่านลุงสามไม่มีผิด

“แม้เด็กหนุ่มคนนั้นจะช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ แม้ตงเคอจะตายในมือของตระกูลหาน แต่ก็เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนนี้ ตายเปล่าแบบนี้ไม่ได้”

ชนชั้นนำตระกูลเย่อีกคนพูดด้วยเสียงอึมครึม

“ใช่ ตระกูลเย่ของข้ายึดครองทะเลตะวันออกมานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเกิดเรื่องที่เลวร้ายขนาดนี้มาก่อน หากแพร่กระจายออกไปข้าเกรงว่าคนนอกจะหัวเราะเยาะ ข้าคิดว่าจะปล่อยตระกูลหานไปง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด นอกจากนี้เด็กหนุ่มคนนั้นก็ต้องชดใช้อย่างสาสม!”

ชนชั้นนำคนอื่นๆ ต่างส่งเสียง

เห็นเช่นนี้เย่หลินถงพลันสิ้นหวัง อดพูดไม่ได้ว่า “ท่านลุงท่านอาทุกท่าน หากไม่ใช่เพราะคุณชายท่านนั้นช่วยเอาไว้ ครั้งนี้ข้าคงไม่สามารถกลับมาพร้อมข่าวที่ตระกูลหานจะไปช่วงชิงสายแร่วิญญาณได้ทันถ่วงที พวกท่านทำเช่นนี้ เห็นจะ…”

นางไม่ได้พูดให้จบ แต่ความหมายของคำพูดก็ชัดเจนมากแล้ว นี่ก็เหมือนการตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นมิใช่หรือ

ทันใดนั้นสีหน้าของกลุ่มชนชั้นนำพลันอึมครึมลง ดูไม่พอใจไม่น้อย

“ขนาดนี้แล้วเจ้ายังจะปกป้องคนนอกอีกหรือ” เย่หนานหลินตะเบ็งเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว สายตายิ่งทวีความเยียบเย็น

เย่หลิงถงเม้มปากไม่กล่าววาจา แต่สีหน้ากลับดื้อรั้น ทำให้ชนชั้นนำหลายคนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

“หลิงถง เจ้ารู้ชื่อแซ่และที่มาของเด็กหนุ่มคนนั้นหรือไม่” ชนชั้นนำคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน

ทุกคนหูตั้งขึ้นมาทันที

เย่หลิงถงลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็พูดเสียงเบาว่า “ข้ารู้เพียงว่าเขาชื่อหลินสวิน จริงสิ ก่อนจากกันเขายังฝากข้ามาทักทายผู้อาวุโสด้วย”

หลินสวิน?

ฝากนางหนูเย่หลิงถงมาทักทายผู้อาวุโสงั้นหรือ

ทุกคนอึ้ง เด็กหนุ่มคนนี้ยโสโอหังจริงๆ เย่ตงเคอตายเพราะเขา เขายังจะกล้าเหิมเกริมอย่างไม่เกรงกลัวเช่นนี้ คิดว่าตระกูลเย่ไม่กล้าทำอะไรเขาจริงๆ หรือ

โดยเฉพาะเย่หนานหลิน โกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผากนูนออกมา กัดฟันจนแทบแตก “เด็กหนุ่มคนนั้นกล้าดูถูกตระกูลเย่ของข้า หากไม่ได้ฆ่าเขาก็ยากจะคลี่คลายความเกลียดชังในใจข้า!”

เย่หลิงถงมือเท้าเย็นวาบ ความขมขื่นแวบผ่านเข้ามาในดวงตา นางพูดชัดขนาดนี้แล้ว แต่ปฏิกิริยาของบรรดาชนชั้นนำตระกูลเย่กลับน่าผิดหวัง

“เดี๋ยวนะ เจ้าบอกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นชื่อหลินสวินงั้นหรือ”

ทันใดนั้นชนชั้นนำคนหนึ่งส่งเสียงราวกับนึกบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าดูแปลกใจไม่น้อย

“หลินสวินเป็นใคร”

“คงไม่ใช่เด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณแห่งนครต้องห้ามที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าหรอกนะ”

ชั่วพริบตาสีหน้าของกลุ่มชนชั้นนำในห้องโถงก็เปลี่ยนไปด้วย ต่างนึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับชื่อ ‘หลินสวิน’ ไม่มากก็น้อย

หลินสวิน เด็กหนุ่มผู้กล้าที่ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งนครต้องห้าม เจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า ข่าวลือเกี่ยวกับเขามากจริงๆ

เขาเคยทำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ ตอนที่รับรองสิทธิ์การเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ สะเทือนไปทั้งนครต้องห้าม

เคยโจมตีลูกหลานสองตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างตระกูลฮวาและซ่งที่หอสรวลทรัพย์

เคยบังคับให้หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นคุกเข่าต่อหน้าทุกคนในงานเลี้ยงวันฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน

เคยควบตำแหน่งอาจารย์พิเศษของสาขาสลักวิญญาณแห่งสำนักศึกษามฤคมรกตด้วยอายุเพียงสิบหก

เคยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือน หลอมชุดศึกสลักวิญญาณ ‘อาสัญสลาย’ ที่สะเทือนไปทั่วหล้า

เคย…

สรุปแล้วในตัวเด็กหนุ่มคนนี้เต็มไปด้วยสีสันที่ลึกลับและเป็นตำนาน หลังจากที่เขาผงาดในนครต้องห้าม ก็จรัสแสงจนแทบจะกลบความโดดเด่นของผู้กล้ารุ่นใหม่ทุกคนไป

บางคนวิจารณ์เขาว่ามีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต ดุร้ายไร้ศีลธรรม และก็มีคนยกย่องเขาว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้กล้าที่มีพรสวรรค์และหยิ่งผยอง

เพียงแต่ทุกคนต่างคิดไม่ถึงว่า เด็กหนุ่มคนนี้จะมาข้องเกี่ยวกับการตายของเย่ตงเคอ

บรรยากาศภายในห้องโถงพลันเงียบไปไม่น้อย ถ้า ‘หลินสวิน’ คนนี้เป็นเด็กหนุ่มที่เจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้าในนครต้องห้ามคนนั้นจริงๆ เช่นนั้นคงยากจัดการแล้ว!

ตอนนี้เย่หลิงถงเองก็อึ้งเช่นกัน นางสัมผัสได้อย่างมีไหวพริบว่าชื่อของหลินสวินราวกับมีพลังลึกลับ ทำให้ท่าทีของชนชั้นนำทุกคนที่นั่งอยู่ต่างเปลี่ยนไป

ที่แท้เขาก็ไม่ธรรมดายิ่งกว่าที่ตนคิดไว้…

เย่หลิงถงไม่รู้จักหลินสวิน นางฝึกปราณอยู่ในทะเลตะวันออกมาโดยตลอด และไม่เคยติดตามข่าวสารในนครต้องห้ามเลย

มิฉะนั้นนางก็คงเข้าใจเหตุผลที่สีหน้าของเหล่าชนชั้นนำเปลี่ยนไปในทันที

“ไม่ว่าเขาจะเป็นเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณคนนั้นหรือไม่ ในเมื่อเขากล้าแก้แค้นตงเคอก็ต้องชดใช้!”

สีหน้าของเย่หนานหลินอึมครึมและส่งเสียงคำรามออกมาในเวลานี้

เพียงแต่สิ่งที่ตอบกลับเขากลับเป็นสายตาที่ลังเลและวูบไหว ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างนิ่งเงียบไปไม่น้อย

ในทะเลตะวันออก แม้ตระกูลเย่ของพวกเขาเรียกได้ว่าเป็นราชัน แต่ถ้าในนครต้องห้าม ก็จัดอยู่ในตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางเท่านั้น

แต่ในข่าวลือ หลินสวินคนนั้นเคยล่วงเกินห้าตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงอย่างฮวา ซ่ง จั่ว ฉือและฉินมาแล้ว!

ทั่วทั้งจักรวรรดิมีเพียงเจ็ดตระกูลมหาอำนาจเท่านั้น แต่เด็กหนุ่มคนนี้กลับเหี้ยมโหดไร้ที่เปรียบ ล่วงเกินถึงห้าตระกูล

แต่จนตอนนี้เขากลับยังคงใช้ชีวิตอย่างอิสระ ไม่ประสบเคราะห์กรรมอันใด

สิ่งนี้น่าตระหนกเกินไปแล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะกล้าไปมีเรื่องกับเด็กหนุ่มคนนั้น?

“ทำไม พวกเจ้ากลัวหรือ แค่เด็กหนุ่มคนเดียวก็ทำพวกเจ้าตกใจขนาดนี้แล้วหรือ” เย่หนานหลินยิ่งเดือดดาลกว่าเดิม

“ไอ้สารเลวนี่! ลูกชายตัวเองตอบแทนคุณด้วยความแค้นและถูกตระกูลหานฆ่า เจ้ากลับจะหาเรื่องผู้มีพระคุณ เจ้ากลายเป็นคนโง่ไปแล้วหรือ”

ทันใดนั้นเสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้นจากนอกห้องโถง ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างหัวใจไหวกระเพื่อม ลุกขึ้นคำนับ

เย่หนานหลินยิ่งสีหน้าเปลี่ยนไป ตกใจจนแข็งทื่อไปทั้งตัว

นอกห้องโถงไม่ได้มีใคร แต่ชนชั้นนำตระกูลเย่ ณ ที่นั้นทุกคนต่างรู้ว่า นั่นก็คือเสียงของผู้อาวุโสแห่งตระกูลเย่

ตระกูลเย่มีผู้อาวุโสเพียงคนเดียว นั่นก็คือเย่ฉิงเทียน!

“เด็กหนุ่มที่แม้แต่ราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีแห่งอัครการค้า ผู้อาวุโสตระกูลกงกงปู้ทั่วยังชมไม่ขาดปาก เหตุใดเจ้ากลับบอกว่าเป็นเด็กที่ร้ายกาจเพียงนี้”

เสียงของเย่ฉิงเทียนดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคำถาม สะเทือนจิตวิญญาณ ทำให้สีหน้าของเย่หนานหลินยิ่งดูแย่

“เสี่ยวชีตระกูลเราก็ได้รับการดูแลจากหลินสวินหลายครั้ง แม้แต่ข้าเองยังให้ความนับถือเด็กหนุ่มปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณคนนี้ถึงสามส่วน ในสถานการณ์เช่นนี้เจ้ากลับพูดไม่ขาดปากว่าจะแก้แค้น เจ้าช่างกล้าจริงๆ!”

ได้ยินเช่นนี้ก็ราวกับถูกฟ้าผ่า เย่หนานหลินทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว พลันคุกเข่าลง พูดอย่างยากลำบากด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ผู้อาวุโส ข้าผิดไปแล้ว”

“นับตั้งแต่วันนี้ เจ้าออกจากตำแหน่งทุกอย่างในตระกูล แล้วไปปิดด่านสำนึกผิดที่พื้นที่ต้องห้าม!”

คำพูดอย่างสบายๆ ของเย่ฉิงเทียนทำให้เย่หนานหลินหน้าซีดเผือด เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเพราะเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว เหตุใดผู้อาวุโสจึงโกรธได้ขนาดนี้

ชนชั้นนำคนอื่นๆ เงียบกริบ แอบดีใจที่เมื่อครู่นี้รู้สถานการณ์ไว ไม่ได้พูดอะไรเกินเหตุ

“นางหนู เจ้ามาที่ห้องโถงบรรพบุรุษ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”

เย่ฉิงเทียนเอ่ยปากเรียกเย่หลิงถงด้วยเสียงที่อ่อนโยนใจดีเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ทุกคนต่างอึ้ง

จากนั้นเหล่าเบื้องบนตระกูลเย่ต่างเผยสีหน้าสับสน มีหรือที่พวกเจ้าจะไม่เข้าใจ ว่าเพราะความสัมพันธ์กับหลินสวิน ทำให้เย่หลิงถงเข้าไปอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสแล้ว

ครั้งนี้นางหนูคนนี้ถือได้ว่ามีโชคดีในความโชคร้ายแล้ว!

เย่หลิงถงยืนอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกตัวและรีบหันหลังเดินออกไป

เพียงแต่นางยังคงไม่หายงง เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันแน่ เหตุใด…จึงสามารถทำให้ผู้อาวุโสออกหน้าด้วยตัวเองได้

เหลือเชื่อจริงๆ!

ทันทีที่เย่หลิงถงเจอเย่ฉิงเทียนเป็นต้องตกใจกับคำถามแรกของผู้อาวุโส

“เมื่อไม่นานนี้มีข่าวจากนครต้องห้าม ว่าหลินสวินประสบเคราะห์สิ้นชีพในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณเมื่อสองสามเดือนก่อน เจ้าแน่ใจหรือว่าคนที่เจอคือเขาจริงๆ? หรือเขาไม่ได้สิ้นชีพ แต่รอดชีวิตกลับมาแล้ว?”

——