ตอนที่ 646 ฟ้าดินผิดปกติ สัตว์อสูรมารปรากฏ

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตอนที่ 646 ฟ้าดินผิดปกติ สัตว์อสูรมารปรากฏ โดย ProjectZyphon

ตายแล้ว?

เย่หลิงถงอึ้ง หรือหลินสวินที่ตนเห็น ไม่ใช่คนเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสพูดถึง?

ทว่าหลังจากนางอธิบายรูปลักษณ์ของหลินสวิน คำตอบของเย่ฉิงเทียนทำให้นางตระหนักได้ว่า ที่แท้หลินสวินทั้งสองคนนี้ก็คือคนเดียวกันดังคาด

“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะรอดกลับมาจากส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณจริงๆ…”

แม้ว่าเย่ฉิงเทียนจะเป็นราชันระดับสังสารวัฏ แต่ตอนนี้เมื่อแน่ใจแล้วว่าหลินสวินยังมีชีวิตอยู่ ในใจก็ยังเกิดคลื่นระลอกใหญ่อย่างควบคุมไม่อยู่

ในข่าวที่เขาได้ยินมากล่าวว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อน หลินสวินถูกตามฆ่าในส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณ คนที่ลงมือเป็นถึงกลุ่มสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับสังสารวัฏ!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แทบไม่มีใครเชื่อว่าหลินสวินจะยังสามารถรอดกลับมาได้ ตอนที่เย่ฉิงเทียนรู้ข่าวนี้ก็เคยถอนหายใจอย่างเสียดาย

เรียกได้ว่าในบรรดาคนรุ่นหนุ่มสาวของจักรวรรดิ ถ้าพูดถึงบุคคลระดับผู้กล้าที่สะดุดตาและโดดเด่นที่สุด หลินสวินคือที่หนึ่ง!

ปาฏิหาริย์และเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ที่เกิดขึ้นในตัวเขายิ่งมากจนนับไม่ถ้วน

ถ้าเด็กหนุ่มผู้กล้าระดับนี้ตายไป ถือว่าเป็นความสูญเสียอันหนักหน่วงสำหรับจักรวรรดิ

แต่ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่า หลินสวินที่ลือกันว่าตายไปแล้วกลับรอดกลับมา! น่าทึ่งเกินไปแล้ว

ถูกราชันระดับสังสารวัฏตามฆ่าเชียวนะ! ถ้าเย่ฉิงเทียนเป็นหลินสวินยังรู้สึกหนังหัวชาวาบ

สิ่งที่เหลือเชื่อที่สุดคือ เขาตัวคนเดียวกลับสามารถรอดชีวิตจากส่วนลึกของทะเลกลืนวิญญาณที่เต็มไปด้วยอันตรายได้ นี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมากจริงๆ

ถึงอย่างไรเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้ฝึกปราณที่สามารถเข้าไปในทะเลกลืนวิญญาณได้ อย่างน้อยๆ ต้องมีพลังปราณระดับราชันสังสารวัฏ

หากผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ บุกเข้าไปโดยพลการ เก้าในสิบส่วนจะต้องมอดม้วยอย่างแน่นอน

แต่หลินสวินกลับรอดกลับมาได้อย่างปลอดภัย!

กลุ่มราชันระดับสังสารวัฏยังไม่สามารถพรากชีวิตเขาไปได้ แม้แต่ทะเลกลืนวิญญาณอันโหดร้ายก็ไม่สามารถหยุดฝีเท้าที่จะกลับจักรวรรดิจื่อเย่าได้

ในสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ให้เย่ฉิงเทียนตะลึงได้อย่างไร

แน่นอนว่าเขาเป็นราชันระดับสังสารวัฏคนหนึ่ง เรื่องธรรมดาย่อมไม่สามารถทำให้เขารู้สึกอะไรได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับหลินสวินเหลือเชื่อมากจริงๆ ทำให้เย่ฉิงเทียนไม่สามารถนิ่งเฉยไว้ได้

บรรยากาศค่อนข้างเงียบ

เย่หลิงถงสัมผัสได้อย่างมีไหวพริบว่า หลังจากมั่นใจในฐานะของหลินสวินแล้ว แม้แต่ผู้อาวุโสเองก็ดูเหมือนจะตะลึง

ทำให้นางยิ่งสงสัยว่าหลินสวินคนนั้น… เป็นใครกันแน่ เขาดูเหมือนเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่พลังต่อสู้เก่งกาจมากก็เท่านั้น ทว่าชนชั้นนำตระกูลเย่ทุกคนที่พูดถึงชื่อของเขา เหตุใดสีหน้าถึงล้วนเปลี่ยนไป

เย่หลิงถงแอบตัดสินใจ ว่าต่อไปจะรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับหลินสวิน เพื่อไปทำความเข้าใจว่าเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความลึกลับคนนี้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากไหนกันแน่

“ตั้งแต่เขาหายตัวไปจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งปีเต็มแล้ว และตอนที่ข่าวการตายของเขาได้รับการยืนยัน นครต้องห้ามยิ่งเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่น้อย แต่ตอนนี้…”

สายตาของเย่ฉิงเทียนลึกล้ำ หว่างคิ้วเผยแววประหลาด “ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว! เมื่อเขาหวนกลับนครต้องห้ามอีกครั้ง จะต้องเกิดมรสุมใหญ่โตแน่!”

……

ฟิ้ว!

ยานขนส่งอวกาศเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดกลางอากาศ ราวกับสายฟ้าแลบที่ไหววาบและหายไปที่ปลายขอบฟ้า

ในที่สุดเขาก็กลับมาที่จักรวรรดิจื่อเย่าแล้ว ทำให้หลินสวินรู้สึกผ่อนคลายและดีใจเหมือนนกที่ได้กลับเข้ารัง

ด้วยระดับพลังปราณของเขาในตอนนี้บวกกับยานขนส่งอวกาศ แม้ราชันระดับสังสารวัฏมาเอง เกรงว่าก็คงหยุดเขาไม่ได้

เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ใช่การปะทะกันซึ่งๆ หน้า ระดับที่ต่ำกว่าราชันระดับสังสารวัฏ ไม่มีใครสามารถข่มขวัญหลินสวินได้อีกแล้ว!

ดังนั้นระหว่างทางกลับไปนครต้องห้าม หลินสวินจึงไม่อำพรางและไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องอะไรที่เหนือความคาดหมายขึ้น

‘ลองนับดูแล้ว ครั้งนี้ข้าจากไปครึ่งปีเต็มแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกซย่าจื้อ ลุงจง เสี่ยวเคอ พญาแร้ง จูเหล่าซานจะเป็นอย่างไรบ้าง…’

ระหว่างทางความคิดของหลินสวินกำลังโลดแล่น คิดถึงญาติพี่น้องและสหายเก่ามากมาย จิตใจอดล่องลอยไม่ได้ ไม่ได้เจอกันครึ่งปี ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

“หืม?”

ทันใดนั้นคลื่นสงครามระลอกหนึ่งพลันกระจายออกมาจากระยะไกล ทำให้หลินสวินตื่นจากห้วงความคิด

นี่เป็นเทือกเขาสลับทับซ้อนและรกร้าง รอบๆ ไม่มีบ้านเมือง ดูเก่าแก่และดั้งเดิมอย่างมาก

และตอนนี้ มีศึกหนึ่งกำลังระเบิดขึ้นที่นั่น!

ขบวนพ่อค้าประมาณสามสี่สิบคน ถูกสัตว์อสูรมารจำนวนนับไม่ถ้วนปิดล้อมอยู่ในหุบเขาและกำลังเข่นฆ่ากันอย่างรุนแรง

“ในอาณาเขตจักรวรรดิจื่อเย่ามีสัตว์อสูรมารมากมายเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

หลินสวินแปลกใจไม่น้อย พลันชะลอความเร็ว

สิ่งที่ถูกเรียกว่าสัตว์อสูรมารนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่เปิดสติปัญญา รู้จักการบำเพ็ญตน หรือสามารถเรียกอย่างกว้างๆ ว่าเป็นอสูรมารบำเพ็ญ

สัตว์อสูรมารระดับนี้ ความสามารถนั้นมากกว่าสัตว์ปีศาจทั่วไป เหล่าสัตว์อสูรมารระดับราชัน ถึงขั้นสามารถเทียบกับมหายุทธ์ชาวมนุษย์ได้ เรียกลมเรียกฝน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้

เพียงแต่เท่าที่หลินสวินรู้ เมื่อหลายปีก่อน สิ่งที่กระจายอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่ามากที่สุดเป็นเพียงสัตว์ปีศาจธรรมดา น้อยมากที่จะเห็นสัตว์อสูรมาร

แต่ตอนนี้สัตว์อสูรมารในหุบเขากลับหนาแน่นราวกับกระแสน้ำ มีทั้งสัตว์ปีกสีทองอร่ามและมีสัตว์บกที่วิ่งเหมือนสายฟ้า รูปร่างแปลกประหลาด มีกลิ่นอายดุร้าย

เสียงคำรามนั่นราวกับเสียงร่ำไห้ของผีสาง ก้องกังวานอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น

ดูผิดปกติมาก!

“หรือเพราะพิบัติมหามรรคที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ฟ้าดินผืนนี้จึงค่อยๆ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดบางอย่างขึ้น”

หลินสวินขมวดคิ้ว

ไม่นานเขาก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าขบวนพ่อค้าที่ถูกสัตว์อสูรมารจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมโจมตีอยู่นั้น มีธงของอัครการค้าแขวนอยู่!

หลินสวินหยุดนิ่งทันใด และเก็บยานขนส่งอวกาศอย่างไม่ลังเล เคลื่อนไหวลงจากอากาศและเข้าไปใกล้หุบเขา

……

“คุณหนูหวั่นซู ครั้งนี้เราคงวินาศกันทั้งกองทัพ…”

หวังหลินพูดอย่างขมขื่น สีหน้าดูสิ้นหวังไม่น้อย เขาเป็นนักประเมินทรัพย์ ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้ แต่เขากลับเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คุ้มกันที่มากับพวกเขากำลังล้มลงทีละคน

สัตว์อสูรมารเหล่านั้นน่าสยดสยองและกระหายเลือด มีจำนวนมากมายหนาแน่น ล้อมหุบเขาแห่งนี้แน่นขนัดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวยังไม่อาจไหลออกไปได้

หากสถานการณ์เลวร้ายนี้ดำเนินต่อไป พวกเขาทั้งหมดจะต้องตายในปากของสัตว์อสูรมารอย่างไม่ต้องสงสัย

โครม!

หวังหลินพูดจบ แสงเลือดสายหนึ่งพุ่งเข้ามาและเฉียดหวังหลินไปอย่างหวุดหวิด และทำให้ผืนดินระเบิดเป็นหลุมยักษ์ ดินโคลนสาดกระเซ็น

หวังหลินตกใจจนหน้าซีด สั่นเทิ้มไปทั้งตัว หากถูกการโจมตีนี้จะไม่ตายไปแล้วหรอกหรือ

“น่าชังนัก! หมู่นี้พวกสัตว์อสูรมารขนาดใหญ่ได้ปรากฏขึ้นในทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ แต่ละตนมีความแข็งแกร่งเทียบได้กับมหายุทธ์เผ่ามนุษย์ ทำลายผืนป่า ยึดครองภูเขา สังหารคนที่พบเห็น ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมนองเลือดไม่รู้เท่าไร แต่ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้พวกเรากลับมาเจอเข้า…”

มู่หวั่นซูที่อยู่ข้างๆ กัดฟัน นางสวมชุดสีดำ ใบหน้ายังคงงามเพริศแพร้วดังเดิม ราวกับดอกกุหลาบสีดำที่มีเสน่ห์เย้ายวน

เพียงแต่สีหน้าในตอนนี้ของนางกลับเขียวคล้ำ แม้ว่านางจะนิ่งสงบและเข้มแข็งแค่ไหน เมื่อเผชิญกับภาพนี้ก็อดรู้สึกไร้แรงไม่ได้

“หรือว่าฟ้าดินนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่เล่าลือกันจริงๆ”

มู่หวั่นซูรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

ภัยพิบัติทั้งจากธรรมชาติ นับเป็นภัยพิบัติที่น่ากลัวที่สุดตั้งแต่สมัยโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกปราณ หากเกิดภัยธรรมชาติขึ้นครั้งหนึ่ง อาจถึงขั้นเกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่ไม่อาจคาดเดาได้!

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังแว่วขึ้นจากระยะไกล ทำให้มู่หวั่นซูตกใจตื่นจากภวังค์ ทันใดนั้นใบหน้างามของนางก็เปลี่ยนเป็นซีดเซียว

กลุ่มผู้คุ้มกันชั้นยอดที่มากับนางครั้งนี้ถูกฆ่าตายหมดในชั่วขณะเดียว ซากศพในแอ่งเลือดล้วนถูกสัตว์อสูรมารฉีกทึ้งเหยียบย่ำ น่าอนาถจนทนดูไม่ได้

“โฮก!”

สัตว์อสูรมารพวกนั้นพุ่งเข้ามาแล้ว ส่งเสียงคำรามเขย่าฟ้า แต่ละตัวดวงตาเย็นเยียบ กระหายเลือดและเหี้ยมโหดชวนหวาดหวั่น

ทำให้มู่หวั่นซูและหวังหลินต่างหมดหวังอย่างสิ้นเชิง

เผชิญกับกองทัพสัตว์อสูรมารที่ราวกับกระแสน้ำในผืนป่าอันห่างไกลรกร้างและเปล่าเปลี่ยวเช่นนี้ จะมีโอกาสรอดได้อย่างไร

“มนุษย์ ภูเขานี้ถูกข้าราชันอินทรีแดงยึดครองไว้แล้ว หากพวกเจ้าไม่อยากตาย ก็ยอมจำนนต่อข้าเดี๋ยวนี้”

ทันใดนั้นอินทรีสีแดงยาวราวสิบจั้ง ทั้งตัวราวกับสร้างขึ้นจากหินหนืด ปีกแผดเผาราวกับแสงเพลิงพุ่งเข้ามา

มันกระพือปีกเพียงเบาๆ แสงเพลิงก็แผ่กระจายออกมาเผายอดเขาที่อยู่ด้านข้างในฉับพลัน น่ากลัวอย่างที่สุด

ส่วนสัตว์อสูรมารที่ราวกับกระแสน้ำหลากเหล่านั้น ตอนนี้ต่างตัวสั่นเทาหมอบคลานอยู่บนพื้น ราวกับว่าต้อนรับการมาถึงของราชัน

ยิ่งทำให้ราชันอินทรีแดงองอาจน่าสะพรึงกลัว

“ยอมจำนนหรือ”

มู่หวั่นซูแปลกใจ

“ใช่แล้ว ข้าเพิ่งตื่นจากการหลับใหล ต้องการเข้าใจโลกนี้ใหม่ และพวกเจ้าก็คือคนที่ข้าเลือก”

ราชันอินทรีแดงน้ำเสียงเรียบเฉย แฝงกลิ่นอายที่ไม่เปิดโอกาสให้สงสัย

“เจ้าให้มนุษย์อย่างข้ายอมจำนนต่อสัตว์เดรัจฉานอย่างเจ้างั้นหรือ”

มู่หวั่นซูหนาวเยือกอย่างสิ้นเชิง ราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง “ช่างเถอะ ตายก็ตาย แต่ก่อนตายข้าขอเอาสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ไปลงนรกด้วย!”

เห็นว่ามู่หวั่นซูจะเข้าไปสู้สุดชีวิต หวังหลินก็ตาแทบถลน อดส่งเสียงตะโกนอย่างเศร้าโศกไม่ได้ “คุณหนูหวั่นซู…!”

“รนหาที่ตาย!”

ราชันอินทรีแดงเหินขึ้นกลางอากาศ กระพือปีกเกิดเป็นเปลวไฟสูงพันจั้ง เดือดดาลพลุ่งพล่าน ราวกับสามารถหลอมสรรพสิ่งได้

มันโดดเด่นมาก สติปัญญาและพลังนั้นไม่ต่างอะไรกับมหายุทธ์มนุษย์เลยสักนิด

ตอนนี้หวังหลินหมดหวังอย่างสิ้นเชิง ราชันอินทรีแดงนั่นน่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ คุณหนูหวั่นซูจะยังมีโอกาสรอดชีวิตได้อย่างไร

ฉัวะ!

ทันใดนั้นแสงดาบสีเงินปรากฏขึ้น สว่างไสวอย่างหาที่เปรียบมิได้ พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

นั่นอะไร หวังหลินตกใจทันที

“หืม?”

ยามนี้ราชันอินทรีแดงเองก็หวาดหวั่น มันปล่อยมู่หวั่นซู แล้วเปลี่ยนทิศทางหมายจะหนีการโจมตีนี้

แต่แสงดาบนั่นว่องไวและรุนแรงเกินไป รวดเร็วจนเหลือเชื่อ ราวกับธารดาราที่โคจรย้อนกลับ หลั่งไหลเข้ามาในโลก

พลันได้ยินเสียงฟุ่บหนึ่ง ราชันอินทรีแดงไม่สามารถหลบได้ ปีกที่ราวกับสร้างขึ้นด้วยหินหนืดของมันถูกผ่าแหวกเป็นรอยแตก เลือดไหลทะลัก

“สวรรค์! มีมหายุทธ์ชั้นยอดลงมือช่วยหรือ”

หวังหลินอุทานด้วยความตกใจ เกือบจะไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง การรอดพ้นจากความตายทำให้ความสิ้นหวังและโศกเศร้าในใจเขาหายไปเป็นปลิดทิ้ง ตื่นเต้นอย่างหาที่สุดไม่ได้

ด้านมู่หวั่นซูเองก็ตกใจ ทีแรกนางหมดกำลังใจ หมายจะทุ่มเดิมพันทั้งหมดในการวัดดวงครั้งสุดท้าย คิดไม่ถึงว่าแสงดาบที่ราวกับมาจากนอกโลกกลับเปลี่ยนทุกอย่าง

ราชันอินทรีแดงนั่นแข็งแกร่งเพียงใด กลับยังไม่สามารถหลบไปได้ เหลือเชื่อมากจริงๆ ราวกับปาฏิหาริย์ ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้น

ใครกันที่มาช่วยไว้ได้ทันเวลา

ราวกับได้ยินเสียงจากหัวใจของมู่หวั่นซู เงาร่างสง่างามได้ลอยพลิ้วลงมาสะท้อนอยู่ในสายตาของนางแทบจะในขณะเดียวกัน

คนผู้นั้นสายตาลุ่มลึก ผมดำแผ่สยาย ชุดสีขาวพระจันทร์ทั้งตัว รูปร่างสง่างามเหยียดตรงราวกับต้นสน แฝงกลิ่นอายโดดเด่น

……………….