“พระชายาฮวางแทจา หม่อมฉันมีเรื่องที่ต้องแจ้งให้พระองค์ทราบเสียก่อนเพคะ”
กโยยองพูดออกมาอย่างยากเย็น นางคิดวนเวียนอยู่ในหัวมาตั้งแต่วันแรกที่บีพาอันพบกับพระชายาฮวางแทจา ทว่าพอถึงเวลาที่จะต้องพูดออกมาจริงๆ กลับยากเย็นนัก
“ที่จริงแล้ว…”
“พูดออกมาเถอะ”
กโยซึลยิ้มเบาๆ โดยไม่รู้ว่ากโยยองกำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร อาจเป็นเพราะรอยยิ้มที่อ่อนโยนของกโยซึลจึงทำให้กโยยองพูดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ที่หม่อมฉันไม่ได้มาถวายความเคารพพระชายาฮวางแทจาเป็นเพราะความอิจฉาริษยาเพคะ”
กโยซึลมองกโยยองด้วยสายตาสงสัยว่าที่นางพูดหมายถึงอย่างไร
“มันน่ารังเกียจที่หม่อมฉันจะต้องพูดเรื่องนี้ด้วยปากของตนเอง ความจริงแล้วหม่อมฉันมิได้เข้าหอกับฝ่าพระบาทฮวางแทจาในคืนวันส่งตัวเพคะ”
“เข้าหอหรือ”
สีหน้าของกโยซึลเริ่มแดงขึ้น ดูเหมือนนางจะเข้าใจในสิ่งที่กโยยองกำลังพูดถึง แต่ทว่าการที่นางถามย้ำอีกครั้ง ทำให้กโยยองรู้สึกหงุดหงิด มันน่าอับอายยิ่งนักที่ต้องพูดเรื่องนี้ ที่ต้องขุดบาดแผลนี้ขึ้นมาด้วยปากของตัวเอง
“เมื่อฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงถอดมงกุฎของหม่อมฉันออก ฝ่าพระบาทก็เสด็จออกจากห้องบรรทมไปเลยเพคะ คืนนั้นมีเพียงเท่านั้น”
กโยยองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉยราวกับกำลังเล่าเรื่องของผู้อื่นอยู่ การที่จะต้องพูดเรื่องคืนเข้าหอกับสามีด้วยตนเองนั้นไม่ง่ายเลย แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วราชสำนักอยู่แล้ว การมาบอกด้วยตนเองดีกว่าให้นางได้ยินจากปากของผู้อื่น ถือเป็นการรักษาศักดิ์ศรีของตน
เอาล่ะ เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไร กโยยองทำใจให้สบายแล้งมองตรงไปที่กโยซึล แต่ก็เกิดสิ่งที่คาดไม่ถึงขึ้น ดวงตาของกโยซึลเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
เป็นน้ำตาที่มีให้ชายารองที่ถูกสามีทอดทิ้งงั้นหรือ
กโยยองจินตนาการถึงปฏิกิริยาของกโยซึลหลายต่อหลายครั้งมาตลอดทั้งวัน แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในความคิดของนางเลย กโยยองงงวยอย่างไม่น้อย ขณะที่กโยยองกำลังพยายามที่จะประเมินความคิดของกโยซึลอยู่นั้น ริมฝีปากเล็กๆ ของกโยซึลเอ่ยขึ้น
“เราคิดว่าฝ่าพระบาททรงไม่ยอมกอดเราเพราะเราเป็นเพียงเด็กสาวที่มาจากฮวากุกเสียอีก”
“นั่นหมายความว่าอย่างไรกันเพคะ”
นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดอีกเช่นกัน กโยยองเผยความงงงวยออกไป
“ชายารองเองก็ทรงประสบความโศกเศร้านี้เหมือนกันกับเราสินะ”
กโยซึลลุกขึ้นมาพร้อมกับดวงตาที่เปียกชุ่ม นางเดินโซเซเข้าไปกอดกโยยอง เป็นอ้อมกอดที่นุ่มนวลและอบอุ่น กโยยองตัวแข็งทื่อเพราะนางไม่เข้าใจในการกระทำของกโยซึล จะอย่างไรก็ตาม ความรู้สึกของกโยซึลในตอนนี้มันท่วมท้น นางสะอึกสะอื้นพร้อมกับถามออกไปว่า
“แต่ว่าเหตุใดถึงทรงสงบเสงี่ยมเช่นนี้ได้กัน เราทนไม่ได้ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรแล้ว เขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน…”
กโยยองชะงักให้กับการกระทำที่ใสซื่อของกโยซึลที่เข้ามากอดตนอย่างไม่เขินอาย แม้จะกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่กโยยองก็ยื่นมือออกไปกอดตอบ แต่เพราะว่ากโยยองตัวใหญ่กว่ากโยซึลจึงทำให้ดูเหมือนว่ากโยซึลกำลังถูกกโยยองโอบกอดอยู่ มือของกโยซึลที่โอบกอดกโยยองไว้นั้นไร้เรี่ยวแรง น้ำตาที่ไหลออกมาเปียกเต็มไหล่ของกโยยอง ยิ่งไหล่ของตนเปียกมากเท่าไร จิตใจที่แข็งทื่อของกโยยองก็เริ่มผ่อนคลายลงมากเท่านั้น
หรือนางจะเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังเด็กและอ่อนแอเพียงเท่านั้นกันนะ
กโยยองค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองและค่อยๆ ลูบหลังกโยซึลอย่างช้าๆ หลังของกโยซึลที่สั่นเทาค่อยๆ ผ่อนคลายลง เมื่อกโยซึลดูเหมือนจะสงบลงแล้ว กโยยองก็กระซิบที่หูของนางเบาๆ
“ในคืนส่งตัว พระชายาฮวางแทจาก็ทรงมิได้เข้าหอหรือเพคะ”
กโยซึลพยักหน้าเล็กน้อย กโยองเอียงหัวสงสัย แน่นอนว่านางกำนัลของกโยยองได้บอกกับตนว่า เหล่าข้ารับใช้ที่ตำหนักของพระชายาเอกได้นำผ้าปูเตียงที่เปื้อนเลือดมาไว้ที่ห้องซักล้าง แล้วเลือดนั่นคืออะไรกัน ในระหว่างที่กโยยองกำลังสงสัย นางก็เห็นแม่นมที่ยืนเฝ้ากโยซึลอยู่ข้างกำแพง มือข้างซ้ายของแม่นมสะดุดตาเข้า นิ้วก้อยบนมือที่มีผ้าพันแผลอยู่นั้นดูสั้นผิดปกติ เหมือนกับว่านิ้วก้อยถูกตัดออกไป ในตอนที่กโยยองเห็นผ้าพันแผลนั้นก็ได้คลายความสงสัยของตน นางรู้สึกอิจฉากโยซึลที่มีคนติดตามที่ภักดีเช่นนี้
“ขออภัยที่หม่อมฉันริษยาพระองค์โดยที่ไม่รู้เรื่องมาก่อน โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
กโยยองรีบแก้สถานการณ์อย่างรวดเร็ว ตนริษยากโยซึลจริงๆ แม้จะเป็นชายารองแค่ในนาม แต่กโยยองก็แอบหลงรักบีพาอัน และเฝ้ามองเขาอยู่ไกลๆ
ทว่าอยู่ดีๆ ก็มีหญิงสาวจากอาณาจักรอื่นโผล่มาในฐานะพระชายาเอก และหลังจากคืนส่งตัวก็นำผ้าปูเตียงเปื้อนเลือดออกมาวางไว้ จึงทำให้กโยยองร้อนรุ่ม
กังวลอยู่เสียนานว่าจะรับมือกับชายาเยาว์วัยนี้อย่างไร ที่แท้ก็เป็นเพียงเรื่องที่ข้ารับใช้จัดการให้
เช่นนี้ต่อไปก็คงพอจะเผชิญหน้ากันได้โดยไร้ความริษยา กโยยองเองก็เข้าใจสถานะของกโยซึลในพระราชวังแห่งนี้ดี นางรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก รอยยิ้มใจดีถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของนางราวกับว่ามันมีอยู่มาตั้งแต่แรก
กโยซึลดันตัวออกมาจากอ้อมกอดของกโยยอง มองไปที่ดวงตาของนางแล้วพยักหน้า ใบหน้าซีดเผือดเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของกโยซึลช่างดูน่าสงสาร
“ไม่เป็นไร เราควรที่จะไปเยือนพระชายารองที่เข้ามาในวังนี้ก่อนเสียด้วยซ้ำ เรายังปรับตัวกับพระราชวังที่ไม่คุ้นเคยนี้ไม่ได้ มัวแต่กังวลเรื่องของตนเอง ก็เลย…”
ขอบตาของกโยซึลรื้นขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวที่มากน้ำตาเยอะเช่นนี้จะอดทนกับชีวิตในราชสำนักที่ลำบากแห่งนี้ได้อย่างไร กโยยองใจกว้างพอที่จะกังวลเรื่องของกโยซึล นางถึงกับยื่นมือออกไปเพื่อเช็ดน้ำตาให้กโยซึลด้วย
“หม่อมฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าพระชายาฮวางแทจาจะทรงเจอความยากลำบากเช่นนี้ เห็นทรงเข้าออกตำหนักดงชอนทุกวัน หม่อมฉันจึงคิดว่าทั้งสองพระองค์กำลังไปด้วยกันได้ดี”
กโยยองพูดเรื่องที่ตนสงสัยออกมา แล้วก็ตามคาด กโยซึลส่ายหน้า
“เราไปเองตามอำเภอใจเพคะ เราเคยคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของชายาเอก ทว่าช่วงนี้ฝ่าพระบาทปฏิเสธไม่ให้เราเข้าพบ…ก็เลยไปเสียเที่ยวเสียทุกครั้ง”
“โธ่ น่าสงสารนะเพคะ”
กโยยองถอนหายใจเมื่อได้ฟังเรื่องที่กโยซึลถูกปฏิเสธตั้งแต่หน้าประตูตำหนัก ความสงสัยของกโยยองถูกคลายออกไปอีกหนึ่ง รอยยิ้มของนางชัดเจนขึ้น
“พระชายาฮวางแทจา ฝ่าบาททรงมีจิตใจที่ดีงามเหลือเกินเพคะ”
“พระชายารองเองก็อ่อนโยนมากเช่นกัน”
กโยซอลที่ร้องไห้อยู่เมื่อครู่ฉีกยิ้มกว้าง การที่ทั้งคู่เคยถูกทำร้ายจิตใจในคืนส่งตัวเหมือนกันทำให้กำแพงระหว่างทั้งสองพังทลายอย่างรวดเร็ว ในสายตาของกโยซึล กโยยองนั้นดูเป็นผู้ใหญ่มาก กโยซึลรู้สึกว่าตนไม่จำเป็นต้องกังเรื่องความสัมพันธ์ของตนกับกโยยองแล้ว และตนก็รู้สึกเหมือนกับได้เจอพี่สาวที่ไว้ใจได้
กโยยองมองกโยซึลด้วยรอยยิ้มที่สงบนิ่ง สายตาของนางนิ่งลง
นางเองก็คงจะ…
กโยยองรู้สึกสบายขึ้น นางหันไปหาพระชายาที่อายุน้อยกว่าตน และแสนบอบบางอย่างเมตตา