หลายวันผ่านไปหลังจากที่กโยซึลโดนไล่ออกมาจากตำหนักของบีพาอัน แม้กโยซึลจะไปทำเยือนเพื่อกล่าวทักทายในยามเช้าเช่นทุกวัน ทว่าเขาก็ไม่ต้อนรับนางอีกเลย
“ฝ่าพระบาททรงห้ามเราทำทุกอย่าง แม้แต่การเข้าเฝ้าในตอนเช้าด้วยหรือ”
กโยซึลมองประตูของตำหนักที่ถูกปิดอย่างสนิทแล้วหันหลังกลับ มันรู้สึกเจ็บแสบข้างใน นางคิดในแง่ดีว่าต่อแต่นี้ไปตนคงจะใช้ชีวิตในพระราชวังนี้ได้อย่างสบายใจ ทว่าราวกับความคิดนั้นของตนเป็นที่น่าขันนัก บีพาอันจึงแสดงท่าทีโหดร้ายต่อตนเช่นนี้
“ทรงเป็นพระสวามีที่พบหน้ายากได้ยากยิ่ง”
“พระชายา”
แม่นมที่นั่งฟังกโยซึลบ่นพึมพำอยู่ข้างๆ หน้าเริ่มซีดเผือด
“หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง โปรดระวังด้วยเพคะ”
“เรารู้ เราเป็นเพียงชายาฮวางแทจาที่มาจากอาณาจักรเล็กๆ จะพูดจะทำสิ่งใดก็ต้องระวัง เพราะเราเองก็ไม่ได้อยากจะให้ฝ่าพระบาทมาปกป้อง”
“พระชายา”
“เรารู้แล้ว แม่นม”
กโยซึลเบะปากไม่พอใจและเงียบไป แต่ทว่าต่อให้เป็นแผ่นดินก็หาได้ห้ามการบ่นพึมพำในใจได้ไม่
ใจดำเหลือเกิน เขาไม่พอใจที่ไปหาในทุกเช้าหรือ เช่นนั้นพูดออกมาเลยยังจะดีเสียกว่า ผลักไสเราทั้งๆ ที่ไม่บอกเหตุผลเช่นนี้ กลับรู้สึกไม่ยุติธรรมมากกว่าจะระมัดระวังตัวเสียอีก
กโยซึลมั่นใจแล้วว่าถ้าหากตนทำอะไรผิดขึ้นมา บีพาอันจะไม่เข้าข้างตนอย่างแน่นอน ในคืนส่งตัวเข้าหอเขาได้ตอกตะปูไว้แล้วว่าห้ามทำสิ่งใดที่เป็นการขวางทางการขึ้นครองราชบัลลังก์ของเขา ปัญหาการขึ้นครองบัลลังก์มันสำคัญกับเขามากกว่าเรื่องของหญิงแปลกหน้าจากอาณาจักรเล็กๆ ไม่มีแม้แต่ใจเมตตาที่จะใส่ใจผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้
แต่กโยซึลก็พยายามที่จะเข้าหาเขาด้วยความคิดที่ว่าเป็นทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน ทว่าผลก็เป็นอย่างที่เห็น ยิ่งใส่ใจมากเท่าไร บีพาอันก็ยิ่งออกห่างไปมากเท่านั้น ตนต้องออกเรือนมาอยู่ที่อาณาจักรที่ไม่คุ้นเคย แต่สามีกลับไม่เคยมองและยิ้มให้ตนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทว่ามือของเขานั้น..ช่างอบอุ่นนัก
กโยซึลมองดูมือของตัวเองนิ่ง ในวันอภิเษกสมรสตนได้จับมือของบีพาอันที่มาตามตนที่กำลังแต่งตัวอยู่ นั่นคือการสัมผัสกันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายระหว่างทั้งคู่ ตั้งแต่นั้นมากโยซึลไม่เคยได้สัมผัสแม้ปลายนิ้ว หรือชายเสื้อของเขาเลย
แต่เขาคนนั้นกลับอ่อนโยนนัก
ทุกครั้งที่ต้องเผชิญหน้ากับบีพาอันที่แสนเย็นชา กโยซึลก็จะนึกถึงรูแฮขึ้นมาทันที รูแฮเป็นคนที่สบายๆ อ่อนโยน มารยาทดี เป็นคนที่ทำให้คนที่คุยด้วยรู้สึกสบายและอารมณ์ดี เวลาที่กโยซึลอยู่ต่อหน้ารูแฮ นางมักจะเป็นคนช่างพูด และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ รูแฮผู้ที่มักจะยิ้มให้อย่างอ่อนโยนทุกครั้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันนั้น ช่างแตกต่างกับบีพาอันเหลือเกิน เลยยิ่งทำให้เกิดการคิดเปรียบเทียบมากขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริงบีพาอันนั้นเหมือนกับก้อนน้ำแข็ง และในขณะเดียวกันเชื้อพระวงศ์ที่ได้พบอีกคนก็ช่างอ่อนโยน มันจึงทำให้รู้สึกว่าบีพาอันนั้นเป็นคนที่ไร้น้ำใจเสียจริง จึงแอบรู้สึกถึงความเสียดายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
พอคิดมากขึ้นกโยซึลก็เริ่มเดินช้าลง แล้วนางก็หยุดยืนอยู่หน้าห้องหนังสืออย่างไม่รู้ตัว แม่นมและนางกำนัลที่ตามกโยซึลมาต่างก็หยุดยืนรอกันอย่างเงียบๆ
***
เนื่องจากกโยซึลถูกปฏิเสธหน้าประตูตำหนักบีพาอันในทุกครั้ง ดังนั้นในวันนี้ขณะที่นางกำลังขังตัวเองอยู่ในตำหนักด้วยความเศร้าเสียใจ ก็ได้ยินเสียงประกาศของซังกุงนอกประตู
“พระชายาฮวางแทจา พระชายารองฮวางแทจา กโยยองเข้าเฝ้าเพคะ”
พระชายารองฮวางแทจางั้นหรือ
จะว่าไปแล้วผู้สืบทอดบัลลังก์คนอื่นๆ สามารถมีชายาได้เพียงคนเดียว แต่สำหรับฮวางแทจานั้น เขาเป็นผู้เดียวในผู้สืบทอดที่สามารถมีชายารองได้ จากการที่ได้ฟังซังกุงเล่าให้ฟังเมื่อวันก่อนนั้น ฮวางแทจาได้รับชายารองเข้ามาก่อน และย่อมเกิดคำถามที่ว่าเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีชายารองก่อนที่จะมีชายาเอก แต่ดูแล้วน่าจะเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทางการเมืองหลายอย่าง ที่มกกุกนั้นอำนาจกับฐานะมาก่อนสิ่งอื่นใด ชายานั้นเป็นบุคคลที่รับเข้ามาเพื่อกลยุทธ์ทางการเมือง ดังนั้นจึงมีการเรียงลำดับความสำคัญคือชายาเอก ชายารอง และสนม
พระชายารองผู้ที่มีอายุมากกว่ากโยซึลหนึ่งปี การที่นางได้มาเป็นชายาของฮวางแทจานั้นแสดงว่านางเป็นบุตรสาวของตระกูลที่สำคัญ แต่ทว่าก็ยังไม่สำคัญพอที่จะเป็นชายาเอกได้
“ให้ท่านเข้ามา”
คำพูดของกโยซึลส่งไปถึงที่หน้าประตูตำหนัก โดยส่งผ่านเหล่านางกำนัลที่ยืนเฝ้าอยู่แต่ละประตู ซังกุงที่อยู่นอกสุดนำความไปบอกแก่พระชายารองฮวางแทจา กโยยอง แล้วเปิดประตูตำหนักให้นาง
พระชายารองฮวางแทจา กโยยองยืดหลังตรงและจ้องมองไปข้างหน้า นางรูปร่างสูงโปร่งกว่าหญิงสาวทั่วไป ใบหน้ากลมเล็กนั่นเมื่อเทียบกับร่างกายแล้วก็ยิ่งดูเล็กเข้าไปอีก สายตาที่มองต่ำลงอย่างเย็นชา ริมฝีปากที่ไร้รอยโค้งมนใดทำให้สีหน้าของนางดูเหมือนบีพาอันยิ่งนัก นางเป็นหญิงสาวที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับมีดที่ถูกลับให้คม
“พระชายาทรงรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้เพคะ”
ซังกุงที่ยืนอยู่หน้าประตูได้พูดตามที่กโยซึลบอก กโยยองถอดรองเท้าที่ขั้นบันไดหิน และก้าวขึ้นมาที่ชานไม้ นางกำนัลของนางในที่ยืนอยู่ตรงขั้นบันไดหินรีบจัดรองเท้าของกโยยองให้เข้าที่ หลังจากที่ซังกุงเปิดประตูหน้าของตำหนักให้เข้ามา ประตูต่อๆ ไปก็เป็นหน้าที่ของเหล่านางกำนัลที่ต้องคอยเปิดประตูให้ หลังจากเดินผ่านประตูหลายขั้นเข้าไปซึ่งถือว่าเยอะกว่าในตำหนักพระชายารองของกโยยอง ก็มาถึงประตูสุดท้าย เมื่อซังกุงเปิดประตู นางเดินเข้าไปก็เจอกับห้องบรรทม
ปรากฏสตรีที่ดูบอบบางนางหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ถ้าจับนางมายืนคู่กับกโยยอง กโยยองจะดูตัวใหญ่กว่า และหญิงคนนั้นก็จะดูบอบบางโดยทันที ความคิดเหล่านี้ผ่านเข้ามาในหัวกโยยองแวบหนึ่ง กโยยองไม่แสดงสีหน้าว่าตนกำลังพินิจพิจารณาเจ้าของตำหนักนี้อยู่ หลังจากนั้นกโยยองก็ทำความเคารพอย่างเรียบร้อย
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันปีพันปี เข้าเฝ้าพระชายาฮวางแทจาเพคะ”
“พระชายารองฮวางแทจา กโยยอง”
เสียงที่ฟังดูแผ่วเบา ทว่ากลับไพเราะน่าฟัง องค์หญิงแห่งราชอาณาจักรฮวากุกแตกต่างกับตนที่เป็นเพียงบุตรสาวของขุนนางธรรมดา
“หม่อมฉันควรจะมาถวายความเคารพพระชายาฮวางแทจาเสียตั้งนานแล้ว โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
“ไม่เป็นไร อย่าได้กังวลไปเลย”
เมื่อกโยยองเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏอยู่บนริมฝีปากของกโยซึล ร่างกายผอมแห้งที่ดูราวกับจะสลายไปในอีกไม่นาน แก้มสองข้างทั้งข้างบนใบหน้าขาวแต้มสีเลือดฝาด และบนนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยนอยู่ด้วย
ช่างดูน่ารักน่าชังนัก พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮวางแทจาที่ทอดทิ้งตนไปในคืนแรกของทั้งคู่ ถึงยอมอยู่กับพระชายาฮวางแทจาในคืนส่งตัวคืนนั้น เมื่อนึกถึงคืนส่งตัวเข้าหอ กโยยองก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก แม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่สำหรับนางมันเป็นเหมือนบาดแผลที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน สำหรับผู้หญิงแล้วไม่มีสิ่งใดที่น่าเศร้าและน่าละอายไปยิ่งกว่านี้ เพราะฉะนั้นกโยยองจึงมีบางอย่างที่ต้องพูด นางจึงมาหากโยซึลในวันนี้