ตอนที่ 126 ซูเหม่ย

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

เพียงครู่เดียวทั่วทั้งร่างของสาวน้อยก็เป็นริ้วรอยไปทั้งตัว ผิวพรรณที่อ่อนนุ่มถูกจิกข่วนเสียจนใครเห็นเป็นต้องปวดใจ 

 

 

พอเห็นว่าตีกันได้พอสมควรแล้ว ตู๋กูซิงหลันจึงได้เรียกติ๊งต๊องให้กลับมาอยู่ที่ข้างตัวนาง “เจ้าไก่ตัวนี้อารมณ์ร้ายมาก ทั้งยังชมชอบต่อสู้ ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องมันจะดีกว่า “ 

 

 

“สมควรตายนัก! ” ชุดกระโปรงที่สวยงามของสาวน้อยฉีกขาดยับเยิน ถุงข้างเอวก็ตกลงบนพื้น นางลุกขึ้นมาจดจ้องตู๋กูซิงหลันและเจ้าไก่ขนฟูด้วยสายตาถมึงทึง ” เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านย่าของข้าเป็นใครกัน? กลับกล้าใช้ไก่ตัวหนึ่งมาลงมือเช่นนี้? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเย็นชา “ท่านย่าอย่างข้าไม่รู้จัก “ 

 

 

” ท่านย่าของข้าก็คือ อันหร่วนกูกู แม่นมของฉางซุนฮองเฮา พระพี่เลี้ยงของฮ่องเต้ บ่าวรับใช้เช่นเจ้ากลับกล้าต่อกรกับข้าหรอ? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “………” เมื่อครู่คล้ายกับว่านางไม่ได้ทำสิ่งใดเลยนะ 

 

 

แต่ว่าเกี่ยวกับอันหร่วนกูกูผู้นั้น นางก็พึ่งจะได้ยินซิ่วเอ๋อร์กล่าวถึงมาเหมือนกัน “ 

 

 

พอเห็นว่านางไม่มีปฎิกิริยาใดๆ สาวน้อยก็ยิ่งมีโทสะมากกว่าเดิม นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยอมลดละว่า “อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคนสนิทของไทเฮา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปนะ! “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “อ๋อ “ 

 

 

พอนางรับคำไป ก็เห็นว่าถุงที่สาวน้อยผู้นั้นทำตกเอาไว้กำลังคลายตัวออก งูกะปะแดงหลายตัวคลานออกมาจากภายในถุงใบนั้น 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาดู ก็ถอยออกไปด้านข้างก้าวหนึ่ง “ติ๊งต๊อง ไปจัดการซิ “ 

 

 

เจ้าไก่ขนฟูระเบิดความดีอกดีใจออกมาในทันที มันถลาเข้าหางูกะปะแดงอย่างคุ้มคลั่ง จิกกลืนๆ ต่อเนื่องไปหลายตัว พอฝ่าเท้าของมันตะปบงูตัวสุดท้ายได้แล้ว ก็ขยับปีกโผเข้าหาสาวน้อยผู้นั้นในทันที 

 

 

ภาพที่เห็นสร้างความหวาดผวาให้นางจนหน้าเปลี่ยนสี หันหลังวิ่งหนีในทันใด 

 

 

พอนางวิ่งมาถึงประตูตำหนักเฟิ่งหมิง ก็ได้พบเห็นสตรีกลุ่มหนึ่ง 

 

 

ผู้ที่เดินนำมาในกลุ่มก็คือองค์หญิงใหญ่และพระสนมที่งดงามผู้หนึ่ง องค์หญิงใหญ่ยังได้นำท่านหญิงน้อยที่พึ่งจะได้รับการแต่งตั้งมาด้วย “ 

 

 

นางวิ่งออกมาอย่างสะบักสะบอม พอมาถึงก็คว้าชายแขนเสื้อของพระสนมผู้นั้นเอาไว้ “ซูกุ้ยเฟยเพคะ ช่วยด้วยเพคะ บ่าวไพร่กับไก่ในตำหนักเฟิ่งหมิง จะฆ่าคนแล้ว! “ 

 

 

พอนางพูดจบ ก็เห็นเจ้าไก่ขนฟูตัวนั้นร้องกระต๊ากๆ ไล่ตามมา ฝ่าเท้าของมันยังกำงูกะปะสีแดงเอาไว้แน่น พอเห็นว่ามีคนอยู่จำนวนมาก มันก็ไม่ผลีผลาม เพียงแต่ใช้เท้าข้างเดียวตะกุยอยู่บนพื้นไม่ยอมหยุด 

 

 

” หว่านจือ นี่เกิดอันใดขึ้นกับเจ้ากัน? ” ซูกุ้ยเฟยพยุงนางไว้ มองดูด้วยสายตาประหลาดใจ “เมื่อครู่ข้าก็กำลังตามหาตัวเจ้าอยู่เลย ทำไมเพียงแค่ครู่เดียว เจ้าก็ทำตนเองจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว? “ 

 

 

” ยังไม่ใช่เป็นเพราะนังบ่าวของตำหนักเฟิ่งหมิง อาศัยไก่ตัวหนึ่งมารุมทำร้ายหม่อมฉันจนมีสภาพเช่นนี้ ” อันหว่านจือขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หม่อมฉันโตมาจนป่านนี้ไม่เคยถูกรังแกถึงเพียงนี้มาก่อนเลย! หม่อมฉันจะไปฟ้องท่านย่า ให้นางจัดการให้หม่อมฉัน! “ 

 

 

” อันหร่วนกูกูพึ่งกลับเข้าวังมา เดินทางมายาวไกล นางมีอายุมากแล้วสมควรพักผ่อนให้มาก เจ้าก็อย่าได้ไปรบกวนผู้เฒ่าเช่นนางเลย ” ซูกุ้นเฟยกล่าว “ตัวข้ากับไทเฮาจะอย่างไรก็สนิมสนมกันดุจพี่น้องอยู่แล้ว หากว่าบ่าวไพร่ใต้การดูแลของนางทำร้ายเจ้าจริง ข้าก็จะจัดการลงโทษให้เจ้าเอง” 

 

 

หว่านจือพอได้ฟัง ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง นางคว้ามือซูกุ้ยเฟยเอาไว้ ตอบว่า “ยังคงเป็นซูกุ้ยเฟยที่เมตตาต่อหม่อมฉัน “ 

 

 

ซูกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มบางๆ งดงามตรึงตราตรึงใจ 

 

 

แม้แต่องค์หญิงใหญ่ยังรู้สึกว่าสายตาพร่าเลือนไปวูบหนึง 

 

 

ผู้คนใต้หล้าต่างรู้ว่า โฉมงามอันดับหนึ่งของแคว้นต้าโจวคือตู๋กูซิงหลัน ซึ่งอภิเษกให้กับอดีตฮ่องเต้จนกลายเป็นไทเฮา 

 

 

โฉมงามอันดับสองของต้าโจว ก็ย่อมเป็นบุตรตรีสายตรงของซูอู๋ท่านอ๋องแห่งหย่งโจว นามซูเหม่ย 

 

 

ตั้งแต่ตอนที่ฝ่าบาทยังมิได้ขึ้นครองราชย์ ท่านอ๋องแห่งหย่งโจวผู้นี้ก็ยึดมั่นในองค์ชายสี่อย่างไม่มีสั่นคลอนแล้ว พอฝ่าบาทขึ้นครองราชย์ ก็รับบุตรสาวของเขามันเป็นกุ้ยเฟยในทันที 

 

 

หากจะกล่าวว่าตู๋กูซิงหลันงดงามดุจเทพธิดา ซูเหม่ยก็เลอโฉมดุจนางมาร 

 

 

นางมีคิ้วโก่งดุจสะพานทอดยาว รูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้านั้นเรียกว่าต่อให้เป็นสตรีด้วยกัน แต่หากได้สบตาสักครั้งก็อยากที่จะลืมเลือนไปได้ 

 

 

ด้วยศักดิ์ฐานะเช่นนี้ รูปโฉมที่งดงามเพียงนี้ หากคิดจะไม่เป็นที่โปรดปรานแต่เพียงผู้เดียวในวังหลังก็นับได้ว่ายากนัก แต่ว่าอุปนิสัยของนางสมถะเรียบง่าย ทั้งยังหลงใหลในการบำเพ็ญเพียร พอพึ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟย ก็อาสาไปเฝ้าสุสานแทนฉางซุนฮองเฮา ณ เขาจงหลิน นางกล่าวว่าเพื่อสวดภาวนาให้แคว้นต้าโจว กตัญญูแทนฝ่าบาท ที่จริงแล้วย่อมเป็นว่าในเขาจงหลินนั้นสามารถสัมผัสกับไอทิพย์ที่บริสุทธฺ์ได้มาก 

 

 

ฝ่าบาทก็ทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง ย่อมปล่อยโฉมงามถึงเพียงนี้ไปเฝ้าสุสาน 

 

 

พอดีกับที่เมื่อฉางซุนฮองเฮาสวรรคตไปแล้ว แม่นมอันหร่วนก็ไปเฝ้าสุสานที่เขาจงหลินเช่นกัน ครั้งนี้ทั้งสองคนจึงกลับมาพร้อมกัน 

 

 

เฮ่อ ผู้ที่ร่วมขบวนกลับมาด้วย ยังมีหลานสาวของอันหร่วน คุณหนูอันหว่านจือ 

 

 

ซูเหม่ยเป็นคนถ่อมตน เมื่อกลับมาก็มิได้ประกาศศักดิ์ดาอวดอ้างอันใด แม้แต่ผู้คนในวังหลายคนยังไม่รู้ข่าวคราว 

 

 

วันนี้ที่องค์หญิงใหญ่ได้พบนาง ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้ 

 

 

คราวนี้ อันหว่านจือก็คว้ามือของซูกุ้ยเฟยเอาไว้แน่น นางพูดพลางก็หันหน้ากลับไปดู จึงเห็นว่านังบ่าวของตำหนักเฟิ่งหมิงผู้นั้นถึงกับกล้าเดินมาทางพวกนาง 

 

 

ยามนี้ตู๋กูซิงหลันค่อยๆ เดินออกมาจากตำหนักเฟิ่งหมิง นางอดกลั้นต่อความปวดกระดูกก้นกบเอาไว้ ท่วงท่าเดินเหินยังคงกระปลกกระเปลี้ยอยู่บ้าง 

 

 

เมื่อพบเห็นคนทั้งหลาย สายตาของนางก็ถูกซูเหม่ยดึงดูดไปเสียแล้ว 

 

 

ในวังหลังมีพระสนมมากมาย แต่ผู้ที่สามารถทำให้นางผ่านตาแล้วไม่ลืมเลือนได้นั้นมีอยู่ไม่มาก นอกจากเต๋อเฟยที่สู้กันจนเกือบจะตายไปข้างหนึ่ง ก็มีแต่นางมารน้อยเช่นหยวนเฟยเท่านั้น 

 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับหยวนเฟยที่ดูเป็นนางมารน้อยแสนน่ารัก พระสนมที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้สิ…….ถึงจะเป็นนางมารตัวจริง! 

 

 

โครงร่างที่ทรงเสน่ห์ไปทั้งตัว เปลือกตาอมชมพู นัยตาที่สะท้อนความลึกลับที่ถูกซุกซ่อนไว้ เพียงสบตาแค่แวบเดียวก็เหมือนกับวิญญาณจะหลุดลอยออกไป 

 

 

มีเสน่ห์ดึงดูดอย่างไม่อาจหักห้าม ถือเป็นระดับที่สูงส่งเลยทีเดียว 

 

 

ทั้งที่สวมชุดแดงรัดกุมตลอดร่าง แต่ยังคงดูแล้วน่าขนลุกไปจนถึงกระดูก 

 

 

พอเห็นนางเดินออกมา อันหว่านจือก็หัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ ยามนี้ตนเองมีที่พึ่งพิงแล้ว จึงชี้นิ้วใส่ตู๋กูซิงหลันกล่างว่า “เป็นนางนี่ละ! เป็นบ่าวไพร่ผู้นี้ นาง นางยังคิดจะปล่อยงูมากัดข้า! “ 

 

 

ซูกุ้ยเฟยหันมามองทางตู๋กูซิงหลัน เห็นนางสวมใส่เสื้อผ้าของนางกำนัลอย่างเรียบง่าย เส้นผมเปียกชื้นลีบติดใบหน้า ใบหน้าดูไปซีดขาวอยู่บ้าง ท่าทางคล้ายอ่อนล้าโรยแรง 

 

 

ยิ่งทำให้นึกถึงท่าทางการเดินเหินของนางเมื่อครู่ สีหน้าของซูเหม่ยก็เปลี่ยนไปในทันที 

 

 

” กุ้ยเฟยเพคะ ท่านต้องจัดการให้หม่อมฉันนะเพคะ! ” อันหว่านจือเห็นนางไม่กล่าววาจาก็ร้อนใจขึ้นมา 

 

 

ไม่ทันรอให้ซูเหม่ยเอ่ยปาก ก็เห็นซุ่นเอ๋อร์ปล่อยมือจากองค์หญิงใหญ่ กึ่งวิ่งกึ่งกระโดดเข้าไปอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน กอดขานางเอาไว้ออดอ้อนว่า 

 

 

” ท่านย่าน้อย! “ 

 

 

น้ำเสียงที่เรียกขานนั้นหวานเสียจนคนฟังต้องใจละลายแล้ว! 

 

 

” ท่านย่าน้อย? ” ดวงตาของอันหว่านจือถึงกับตะลึงจนโง่งมไปแล้ว ท่านหญิงน้อยตาบอดไปหรือเปล่า? นั่นเป็นบ่าวไพร่ผู้หนึ่งมิใช่หรือ? 

 

 

” เด็กดี ” ตู๋กูซิงหลันบิดเอว ลูบไล้ศีรษะของนาง 

 

 

” ไทเฮาเพคะ ” จากนั่น องค์หญิงใหญ่ก็ถวายคำนับต่อตู๋กูซิงหลัน “ไยพระองค์……จึงมีสภาพเช่นนี้? “ 

 

 

อันหว่านจือ “??? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเบาๆ “เมื่อครู่ลื่นตกลงไปในสระน้ำ ไม่เป็นไรหรอก “ 

 

 

พอนางพึ่งจะพูดจบลง ก็เห็นซูกุ้ยเฟยถลันออกมา คว้ามือของนางเอาไว้ “เจ้าลื่นล้ม? อากาศเย็นถึงเพียงนี้ เจ้าลื่นตกไปในสระได้อย่างไร? “ 

 

 

นางทางหนึ่งกล่าวพลาง ทางหนึ่งก็นวดมือนวดไม้ของตู๋กูซิงหลันไปด้วย สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลใจ 

 

 

อันหว่านจือ “!!! ” ไหนรับปากว่าจะออกหน้าจัดการให้นางไง? แล้วนี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?