บทที่ 1617 - การประลองระหว่างเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลชิงและตระกูลน่าหลาน(4)

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1617 – การประลองระหว่างเด็กรุ่นเยาว์ของตระกูลชิงและตระกูลน่าหลาน(4)

 

ในขณะเดียวกัน น่าหลานหลิงเฟิงรับรู้ถึงความผิดปกติ เขารีบยกกระบี่ยาวออกมาป้องกันทันที

 

แกวกกกกก!!

 

เสียงร้องคร่ำครวญที่ทรงพลังพลังขึ้น เสียงกรีดร้องจากทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจม ชิงหยินถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มเด็กที่มีพรสวรรค์ที่สุดทางด้านเสียงดนตรี แต่เธอมีนิสัยที่ไม่ชอบรังแกผู้อื่นหรือสู้กับผู้อื่น ฉะนั้นเธอจึงฝึกฝนแต่ทักษะที่มีไว้เพื่อป้องกันตนเอง

 

ทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมเป็นได้ทั้งทักษะโจมตีและป้องกัน

 

น่าหลานหลิงเฟิงขมวดคิ้วขณะที่เขารีบตวัดกระบี่อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นคลื่นเสียงมังกร

 

กระบี่มังกรคําราม!!

 

เสียงมังกรคํารามดังออกมาจากกระบี่ในมือของเขา น่าเสียดายที่ เขาประเมินทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องต่ำเกินไป แม้ว่าทั้งสองพลังจะอยู่ในระดับเดียวกันแต่ทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องกลับมีแรงกดดันที่มากกว่ามังกรคําราม

 

น่าหลานหลิงเฟิงถูกผลักดันด้วยเครื่องเสียงให้ถอยหลัง ก่อนที่เขาจะระเบิดพลังและพุ่งเข้าใส่ชิงหยิน แต่โชคร้ายที่ชิงหยินสามารถหลบหลีกได้โดยไม่ต้องมองดูและยังโจมตีส่วนกลับโดยอาศัยพิณสวรรค์ห้าสายได้ตลอดเวลา

 

เมื่อเม็ดโตปรากฏขึ้นบนหน้าผากของน่าหลานหลิงเฟิง ทักษะหงส์เพลิงร่ำร้องจู่โจมจะมุ่งเน้นการโจมตีไปยังพลังจิตวิญญาณ นอกจากนี้มันยังใช้ในการโจมตีเพื่อบั่นทอนความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้และบั่นทอนจิตใจของคู่ต่อสู้ได้เช่นกัน

 

ชิงหยินยังคงบรรเลงบทเพลงผ่านพิณสวรรค์ห้าสาย โดยไม่คิดจะโจมตีกระบวนท่าอื่นออกมา เธอไม่แม้แต่จะมองหน้าน่าหลานหลินเฟิง เธอยังคงอาศัยทักษะย่างก้าว 9 เทวา ในการเคลื่อนที่ไปรอบๆท้องฟ้า ภาคใต้ดวงตาของน่าหลานหลิงเฟิง เขาเหมือนกําลังมองดูเทพธิดาที่กําลังบรรเลงบทเพลงอันไพเราะ แต่ตัวเขากลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลําบาก บรรดาผู้ชมต่างก็ตกอยู่ในมนต์สะกดแห่งเสียงเพลงพร้อมกับท่วงทํานองอันไพเราะ

 

น่าหลานหลินเฟิงถูกกดดันจากบทเพลงรอบทิศ เขาระเบิดเสียงคํารามมังกรออกมาอีกครั้งและพุ่งเข้าหาชิงหยินอย่างรวดเร็ว

 

ชิงหยินยังคงเคลื่อนไหวร่างกายไปตามบทเพลงที่เธอเล่น เสียงของหงส์เพลิงร่ำร้องแปลเปลี่ยนเป็นเสียงแหลม ขณะที่คลื่นเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเข็มที่แหลมคมเจาะทะลวงขวางกั้นไม่ให้น่าหลานหลินเฟิงเข้ามาใกล้ จากนั้นชิงหยินก็หายตัวไปและปรากฏต่อหน้าน่าหลานหลินเฟิงอย่างฉับพลันก่อนจะเตะขาขวาของเธอออกไปกลางอากาศพร้อมกับเสียงระเบิดออกของพื้นที่บนลานประลอง

 

บังงงงงง!!

 

ลูกเตะของเธอปะทะเข้ากับแขนของน่าหลานหลินเฟิงอย่างจัง มันมีพลังรุนแรงในระดับสามารถแยกหินผาออกจากกันได้ น่าหลานหลินเฟิงเจ็บปวดที่แขนเป็นอย่างมากก่อนที่เขาจะปล่อยกระบี่ในมือร่วงหล่นสู่พื้นดิน ผู้คนที่อยู่รอบลานประลองได้ยินเสียงของกระดูกที่กําลังแตกหักได้อย่างชัดเจน

 

ก่อนหน้านี้เสียงของหงส์เพลิงกลายเป็นเสียงแหลมเพื่อสร้างความวุ่นวายในจิตใจของน่าหลานหลินเฟิง นอกจากนี้ลูกเตะที่เธอเตะใส่น่าหลานหลินเฟิงก็ไม่ใช่ลูกเตะธรรมดา มันคือลูกเตะที่เป็น 1 ในรูปลักษณ์พยัคฆ์

 

ลูกเตะพยัคฆ์คํารณ!!

 

ชิงหยินหยุดการโจมตี เพราะเธอรู้ดีว่าน่าหลานหลินเฟิงนั้นยอมจํานนและพ่ายแพ้

 

ชิงสุ่ยเผยรอยยิ้มต่างๆบนใบหน้า ในแง่ของสภาพจิตใจ ชิงหยินเป็นคนที่มีจิตใจสงบนิ่งที่สุดในหมู่พี่น้อง ไม่น่าแปลกใจที่น่าหลานหลินเฟิงจะได้รับความพ่ายแพ้กลับไป

 

น่าหลานหลินเฟิงลงจากลานประลองไป และมีรุ่นเยาว์คนใหม่ขึ้นมา ก่อนที่พวกเขาจะพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งการประลองผ่านไปแล้วทั้งหมด 10 ครั้ง ซึ่งตระกูลน่าหลานเอาชนะได้เพียงแค่ครั้งเดียว นี่เป็นความอับอายอย่างยิ่ง

 

แต่ยังไงก็ตามจํานวนคนแพ้ก็ไม่ได้เป็นส่วนสําคัญ เพราะกฎกติกากําหนดไว้ว่าใครที่ยืนอยู่คนสุดท้ายคือผู้ชนะ ตระกูลน่าหลานอาจจะรู้สึกโมโหไปบ้างแต่พวกเขาก็ต้องอดทนและสู้ต่อไป

 

ประโยชน์ที่ตระกูลชิงได้รับย่อมมีมากกว่าตระกูลน่าหลาน เด็กๆได้ฝึกฝนทักษะและได้รู้จักการควบคุมพลังใหม่ที่ตัวเองได้รับ

 

ซึ่งตัวของชิงสุ่ยเองก็ไม่ต้องกังวลใดๆทั้งสิ้นเพราะมีหลวนหลวนคอยเฝ้ามองดูสถานการณ์

 

ผู้เข้าแข่งขันคนต่อไปคือเด็กหญิงที่มีผมหางม้า เธอค่อนข้างสูงและผอมเพียว ชุดนักรบของเธอทําให้เธอดูกล้าหาญและสง่างาม แต่ถึงกระนั้นความงดงามของเธอก็ถูกชิงหยินบดบังไปจนหมดสิ้น

 

“ข้าน่าหลาน หยุนตั๋ว!!” หญิงสาวผู้นั้นกล่าวกับชิงหยิน

 

“ข้าชิงหยิน!” ชิงหยินตอบกลับอย่างช้าๆ

 

ความสงบเสงี่ยมของชิงหยินมักจะทําให้ผู้อื่นกดดัน และรู้สึกว่าตัวตนของเธอนั้นเป็นอะไรที่เอาชนะยาก

 

แต่ดูเหมือนหญิงสาวคู่ต่อสู้จะมั่นใจอย่างมากก็จะกัดฟันกล่าวว่า ” เตรียมรับมือ”

 

แส้ที่อยู่ในมือของน่าหลานหยุนตั๋วทอแสงสีเขียวประกายขณะที่ร่างกายของเธอเริ่มกลายเป็นเพียงแค่ภาพจางๆ ทันใดนั้นเธอก็พุ่งเข้าหาชิงหยินราวกับใบไม้ที่พริ้วไหวไปตามสายลม

 

แม้ยาวที่ดูอ่อนนุ่มแข็งที่อกลายเป็นดาบตรงพุ่งเข้าใส่ชิงหยินทันที

 

ชิงหยินยังคงบรรเลงบทเพลงจากพิณในขณะที่อีกมือของเธอปรากฏให้เห็นเป็นกระบี่หิมะ จากนั้นมือของเธอก็ฟาดฟันเข้าใส่กระบีมาก่อนจะดึงดูดแค่คล้ายกับกระแสน้ำวน

 

น่าหลานหยุนตั๋ววิตกกังวลพิณที่อยู่ในมือของชิงหยิน นางจึงต้องการทําลายพิณชิ้นนั้นซะแต่ช่างน่าเศร้าที่มันถูกหยุดโดยกระบีหิมะ

 

น่าหลานหยุนตั๋วเชื่อมั่นว่าเธอแข็งแกร่งกว่าชิงหยิน เธอจึงตัดสินใจทําลายศาสตราวุธรูปแบบสนับสนุนที่ชิงหยินใช้ เพราะเธอรู้ดีว่าการต่อสู้ยืดเยื้อความพ่ายแพ้จะต้องมาเยือนเธอแน่นอน

 

โดยปกติแล้ว ถ้าหากชิงหยินเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่เธอไม่รู้จัก เธอจะพยายามเว้นระยะห่างประมาณ 3 เมตร แต่ในครั้งนี้ เธอกับสังเกตเห็นรอยยิ้มของน่าหลานหยุนตั๋วที่กําลังควบคุมแส้ราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง

 

ขณะเดียวกันชิงหยินข้อสังเกตรูปแบบการใช้แซ่ของน่าหลานหยุนตั๋วและพบว่าระยะห่าง 3 เมตรจะเป็นประโยชน์กับน่าหลานหยุนตั๋วมากกว่า ชิงสุ่ยเคยสั่งสอนเธอไว้ว่าแทรกก็เหมือนงูชนิดนึงการโจมตีจะรุนแรงได้ก็ต่อเมื่อมีระยะห่าง และถ้าหากต้องการทําลายก็ต้องลดความยืดหยุ่นของมัน

 

จากการสังเกตของชิงหมิน เธอพบข้อต่อของแม้จะอยู่ห่างกันทุกๆ 7 นิ้ว แม้ว่าผู้คนจะดูออก แต่การจะทําลายข้อต่อนั้นคู่ต่อสู้ย่อมไม่ยอมแน่นอน

 

เคล้งงง เคล้งงง

 

ชิงหยินบรรเลงเพลงด้วยมือข้างหนึ่งในขณะที่มีงอีกข้างถือกระบี่ ท่วงท่าทุกท่วงท่าย่างก้าวทุกอย่างก็เต็มไปด้วยความงดงามและให้ความรู้สึกกดดัน เธอสามารถป้องกันทุกการโจมตีของน่าหลานหยุนตั๋วได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

มันที่กดดันจากทั้งเสียงบรรเลงและเพลงกระบี่ภายใต้รูปแบบพยัคฆ์ สร้างความได้เปรียบให้กับเธอเป็นอย่างมากและยังคงกดกันศัตรูอย่างต่อเนื่องโดยใช้ท่าทางการโจมตีที่ดูสง่างาม

 

คนที่มุ่งเน้นฝึกฝนทักษะการป้องกัน เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นรูปแบบการป้องกันของศัตรูได้อย่างทะลุปรุโปร่งเช่นกัน และเมื่อเกิดข้อผิดพลาดหรือช่องโหว่ ชิงหยินก็ถือโอกาสนั้นในการทําร้ายศัตรู และจากความประมาทของน่าหลานตั๋ว เพลงกระบีของชิงหยินก็ตัดเฉือนข้อมือของเธอเข้าอย่างจังจนเกือบทะลุขาด

 

เนื่องจากชิงหยินไม่ได้มีเจตนาที่จะสังหารผู้ใดเธอจึงหยุดการโจมตีลงและเว้นระยะห่างจากคู่ต่อสู้

 

น่าหลานหยุนตั๋วเดินลงจากลานประลองด้วยสายตาผิดหวัง และไม่ได้สนใจเลือกจํานวนมากที่ไหลรินออกมาจากข้อมือหรือเธอเลย

 

ด้านตระกูลน่าหลาน พวกเขายังถูกกดดันอย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสจากตระกูลน่าหลานมองขึ้นบนท้องฟ้าก่อนจะกล่าวว่า “ชือเอ๋อ ลงไปบนลานประลองซะ”

 

ชายที่ดูงี่เง่าปรากฏขึ้นบนลานประลอง ดวงตาของเขาบ่งบอกถึงความตั้งใจอันแน่วแน่ เขาคือสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลน่าหลานที่เอาแต่หมกมุ่นฝึกฝนวิชา ชื่อของเขาคือ น่าหลานชือ

 

เขาไม่ใช่คนแก่ชราและไม่ได้มีอายุน้อยเช่นกัน บางทีเขาอาจจะมีอายุเป็น 2 เท่าของชิงหยิน ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลน่าหลาน

 

ทันทีที่ชิงสุ่ยมองเห็นชายหนุ่มคนนี้ ชิงสุ่ยบอกได้เลยว่าชิงหยินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เพราะระดับนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

ชิงหยินมองดูด้วยสายตาอันงดงามขณะที่ถือกระบี่ยาวอยู่ในมือ จากนั้นมืออีกข้างของเธอก็เริ่มบรรเลงบทเพลงสวรรค์

 

เตล้งงง เตล้งง…….

 

ผู้ชมประหลาดใจอย่างมากเพราะว่าน่าหลานชือไม่ได้รับผลกระทบจากเสียงเพลงเลย ราวกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ยินเสียงเพลงนี้ การที่เขาหลงใหลในทักษะเคล็ดวิชาจนทุกคนด่าว่าเป็นคนงี่เง่า แต่มันก็มีข้อดีอย่างหนึ่งนั่นก็คือ มันจะสร้างคุณสมบัติที่โดดเด่นคือการทําให้เขาไม่สนใจสิ่งเร้าภายนอกแม้แต่น้อย จึงอาจกล่าวได้ว่าเสียงรูปภาพหรืออะไรต่างๆที่เขาไม่สนใจมันจะไม่มีผลอะไรกับเขาเลย

 

ชิงหยินสังเกตเห็นปัญหานี้เช่นกันเธอจึงเก็บพิณสวรรค์ห้าสาย

 

ในที่สุดน่าหลานชือก็เริ่มเคลื่อนไหว จะย่างก้าวที่เขาใช้ก็บ่งบอกถึงความแตกต่างได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ทุกครั้งที่น่าหลานชือฟาดฟันกระบี่เข้าใส่ชิงหยิน ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่ชิงหยินจะป้องกันการโจมตีของเขาได้เลย มันเหมือนราวกับว่าทุกท่วงท่าของเขานั้นสมบูรณ์แบบเกินไป ไม่ว่าเธอจะพยายามเท่าไหร่ เธอก็ไม่อาจป้องกันการโจมตีนั้นได้

 

ชิงหยินพยายามปกป้องตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ยังถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว ความเหนื่อยล้าของเธอกําลังใกล้เข้าสู่ที่สูงสุด ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อยพร้อมกับเหงื่อจํานวนมาก ช่องว่างของความแข็งแกร่งนี้มีมากเกินไป ชิงสุ่ยเองก็กําลังดูลูกสาวของเขาถูกทําร้ายอยู่ฝ่ายเดียวด้วยความเจ็บปวด ทันใดนั้น ร่างร่างหนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นระหว่างชิงหยินและน่าหลานชือ

 

หลวนหลวน!!

 

“หยินเอ๋อ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวที่เหลือข้าจะจัดการเอง”ด้วยความแตกต่างที่มากเกินไปนี้ มีแต่จะทําให้ชิงหยินได้รับบาดเจ็บและไม่ได้ผลประโยชน์จากการต่อสู้อะไรเลย ดังนั้นเธอจึงไม่จําเป็นต้องหยัดยืนเพื่อเป็นฝ่ายถูกกระทําอยู่อย่างเดียว

 

หลวนหลวน ตัดสินใจปรากฏตัวกลางลานประลอง ดีกว่าจะเห็นชิงหยินบาดเจ็บหรือยอมพ่ายแพ้ไปเอง