บทที่ 229 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 20)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เช้าวันถัดมา

“ฉันได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เธอจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงวันราชาภิเษกสินะ”

ทันทีที่ได้พบกันอาเรียก็ชวนคุยอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะอย่างนั้นลิเป้จึงไม่กล้าตอบอะไรกลับไป เธอได้แต่กะพริบตาปริบๆ เท่านั้น

“ก็ถือว่าไม่นานสักเท่าไหร่ แค่จนกว่าจะถึงวันราชาภิเษกเท่านั้นเอง ตามสบายเลยนะ ฉันไม่ว่าอะไร”

หืม นี่กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่กันแน่เนี่ย

ลิเป้เหล่มองไปทางอาซที่ยืนอยู่ข้างหลังอาเรีย

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีทางที่เขาจะตอบอะไรออกมา

อาซเลือกที่จะทำตามการตัดสินใจของอาเรียแล้ว เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดอะไรตั้งแต่ก่อนที่อาเรียจะได้อธิบายออกมาด้วยซ้ำ

เพราะอาซยักไหล่ขึ้นมา ลิเป้จึงยังงุนงงไม่หาย เมื่อเห็นดังนั้นอาเรียจึงทำหน้าเคร่งเครียดและพูดต่อไปว่า

“แต่มีข้อแม้ว่าอย่าก่อเรื่องเด็ดขาด และก็อย่าวิ่งเล่นทั้งๆ ที่ไม่สบายเหมือนกับบลิสล่ะ เข้าใจไหม”

“…! “

นี่เอาฉันไปเปรียบเทียบกับบลิสงั้นเหรอ ไม่มีอะไรจะร้ายแรงเท่ากับโดนดูถูกแบบนี้อีกแล้ว

 ลิเป้ฉุนกับคำว่า‘เหมือนกับบลิส’ เธอตอบออกไปด้วยท่าทางมั่นใจว่า

“หนูไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นแน่นอนค่ะ! ”

“ดีมาก ฉันเชื่อเธอ”

เมื่อได้ยินว่าอาเรียไว้ใจเธอขึ้นมา บลิสก็ตาวาวเป็นประกายอย่างกับว่าความฉุนเฉียวได้หายไปอย่างฉับพลัน พร้อมกับตอบว่า‘ค่ะ’อย่างเสียงดังฟังชัด

ในแววตาของอาเรียไร้ซึ่งความกังขาใดๆ เพราะอาเรียบอกว่าเชื่อใจเธอเหมือนที่เคยทำมาตลอด ลิเป้จึงรู้สึกปลื้มใจขึ้นมา

และในตอนนั้นบลิสที่รอให้การสนทนาจบลงก็เข้ามาแทรก

“หนูอยากกินอาหารเช้าและก็อยากไปเดินเล่นด้วย! ”

อาเรียทัดผมให้บลิสที่กำลังจับชายชุดของเธออยู่และถามว่า

“ฉันได้ยินว่าเมื่อคืนเธอไม่สบายนี่นา ดีขึ้นแล้วเหรอ”

“อื้ม! หนูหายดีแล้ว! ปกติหนูก็เป็นแบบนี้แหละ ถ้านอนแล้วก็ดีขึ้น ไม่เป็นอะไรเลย”

บลิสจับชายชุดของอาเรียและเขย่าไปมาพร้อมกับชวนให้ไปเดินเล่นด้วยกันเร็วๆ

เมื่อเห็นภาพนั้น ลิเป้ก็บ่นงึมงำอยู่ในใจว่า

‘ยัยนั่น…ทำแบบนี้ตอนอยู่ที่นี่ด้วยสินะ’

เหลือเชื่อจริงๆ ยังนิสัยคงเดิมเหนือกาลเวลาและสถานที่สินะเนี่ย และที่น่าประหลาดใจก็คือการที่อาเรีย‘ในตอนนี้’ทำตามที่บลิสขอนี้แหละ

หลังจากตอบตกลงกับบลิสแล้ว อาเรียก็หันมาทางลิเป้

แม้ว่าลิเป้จะทำสายตาสมเพชต่อท่าทางงอแงของบลิสอยู่ แต่อาเรียก็รู้ว่าสีหน้าแบบนั้นไม่ใช่สีหน้าของคนที่รู้สึกสมเพชจริงๆ

“เธอเองก็จะไปด้วยใช่ไหม”

“…คะ”

ดังนั้นอาเรียจึงชวนลิเป้ไปเดินเล่นด้วยกัน แต่ลิเป้ก็ส่ายหน้าอย่างแรงราวกับว่าไม่ได้ยินที่เธอพูด

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ”

“ทำไมล่ะ”

ทำไมอย่างงั้นน่ะหรือ

นั่นก็เพราะว่าควรจะเอาเวลาทำเรื่องแบบนั้นมาอ่านหนังสือและเล่าเรียนให้สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่น่ายกย่องไม่ใช่หรือไง

แน่นอนว่าเทียบกับบลิสแล้วพวกเธอต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ถึงอย่างนั้นแม้จะเทียบกับเด็กชนชั้นขุนนางรุ่นเดียวกัน ลิเป้ก็ยังเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยม โดดเด่นเป็นอย่างมาก แต่เธอไม่อยากทำให้อาเรียที่ยุ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วต้องรู้สึกรำคาญใจ สู้อ่านหนังสือและทำตัวเรียบร้อยยังดีเสียกว่า

“ไม่ชอบฉันรึเปล่า”

“คะ! ”

จะเป็นอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ กลับกันเพราะชอบมากเลยทำแบบนี้ต่างหาก

เพราะแม้จะคลอดเธอออกมาและร่างกายอ่อนแอลง แต่อาเรียก็ยังฉลาด สง่างาม ทั้งยังอ่อนโยนและเป็นคนที่ยอดเยี่ยมเอามากๆ ด้วย

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น ไม่ชอบบลิสเหรอ”

“นั่นก็ไม่ใช่ค่ะ”

แม้จะรำคาญบลิสที่ชอบทำตัวซุ่มซ่ามสร้างปัญหาและชอบรบเร้างอแงเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่อยู่บ้าง แต่ลิเป้ก็ไม่ได้เกลียดบลิสเลย

เพราะเป็นพี่น้องที่เกิดในเวลาเดียวกัน เธอเพียงแค่อยากให้บลิสเลิกงอแงและทำตัวให้สมกับเป็นเชื้อราชวงศ์ขึ้นมาบ้างเท่านั้น

สีหน้าของลิเป้ดูหนักแน่น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ดูเหมือนจะไม่หลงกลเอาง่ายๆ

ถ้าอย่างนั้นละก็ แบบนี้ล่ะจะได้ผลไหมนะ อาเรียยักไหล่ราวกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เธอทำท่าทีเสียดายออกมานิดหน่อยและพูดว่า

“งั้นเหรอ ดูเหมือนเธอเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษเลยนี่นา แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงได้ปฏิเสธนี่สิ อีกเดี๋ยวเด็กที่ฉันเอ็นดูมากที่สุดอย่างเจสซี่ก็จะมาแล้วด้วย กะว่าจะแนะนำให้เธอรู้จักไปพร้อมๆ กันเลยแท้ๆ เชียว”

เจสซี่งั้นหรือ เจสซี่เนี่ยนะ! จะได้พบกับเจสซี่เนี่ยนะ!

จากที่ตั้งใจว่าจะปฏิเสธในครั้งนี้นั้น พอได้ยินชื่อ‘เจสซี่’ขึ้นมาลิเป้ก็ถูกดึงความสนใจไปในทันที

แม้ว่าจะกลับไปเจอกันได้ในอนาคตก็ตาม แต่เพราะการที่จะได้ดื่มชากับเจสซี่ในตอนนี้นั้นมันฟังดูล่อใจจนยากที่จะสลัดทิ้งนั่นเอง

เหมือนกับที่บลิสติดเจสซี่ ลิเป้เองก็ชอบเจสซี่เอามากๆ เช่นกัน

เพราะเจสซี่มักจะยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยนเสมอ และยังเป็นคนที่ลิเป้สามารถทำตัวเป็นเด็กให้เห็นได้นั่นเอง

“ถ้า ถ้าอย่างนั้น หากไม่เป็นการรบกวนแล้วละก็…”

ลิเป้ที่ดูเหมือนจะไม่ใช่คนตกปากรับคำออกมาง่ายๆ กับข้อเสนอแบบนี้ กลับตอบรับออกมาพร้อมกับเขินอายหน้าแดง

“รบกวนงั้นเหรอ เวลาดื่มน้ำชากับตอนเดินเล่นต้องมีคนเยอะๆ สิถึงจะสนุก”

แม้ว่าความจริงแล้วจะไม่ใช่แบบนั้นเลยก็ตาม แต่เพราะลิเป้ไม่ค่อยได้ร่วมดื่มน้ำชาสักเท่าไหร่ พออาเรียพูดออกมาอย่างนั้น เธอจึงคิดว่ามันเป็นอย่างที่อาเรียพูด

“ลิเป้! เรามากินเค้กด้วยกันเถอะ! ฉันได้ยินมาว่าวันนี้พวกเขาทำชีสทาร์ตที่ฉันชอบให้ด้วยละ! “

แล้วเธอไปขอให้พวกเขาทำแบบนั้นให้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันละเนี่ย

ที่จริงแล้วบลิสขอร้องเรื่องแบบนี้อยู่ทุกวัน จนเชฟเองหัวเราะเสียงดังออกมาเพราะชอบใจที่เห็นบลิสบอกว่าจะกินให้อร่อยนั่นเอง ทว่าลิเป้ที่ไม่รู้เรื่องนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

***

“ตายแล้ว! ฝาแฝดกันอย่างนั้นหรือคะเนี่ย! จริงเหรอคะ! “

แอนนี่มองลิเป้ที่นั่งอยู่ข้างๆ บลิสและทำท่าตกตะลึงขึ้นมา

แอนนี่เป็นคนดวงดีมาก ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้มาพระราชวังทุกวันแท้ๆ แต่กลับไม่เคยพลาดที่จะได้เห็นเหตุการณ์สำคัญแบบนี้เลย

“แอนนี่ เงียบๆ แล้วนั่งลงได้แล้ว เธอตะเบ็งเสียงออกมาจนฉันเจ็บหูไปหมดแล้วเนี่ย เด็กในท้องเธอก็คงจะตกใจเอาแน่ๆ “

อุตส่าห์เรียกนักดนตรีออกมาสร้างบรรยากาศแท้ๆ

เป็นแบบนี้ละก็เครื่องดนตรีคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะแค่เสียงกรี๊ดของแอนนี่คนเดียวก็ดังก้องไปทั่วทั้งสวน

“ก็น่ารักมากๆ เลยนี่ค่ะ! ผมสั้นก็ดูเหมาะเอามากๆ ด้วย! อยากจะพาใส่เสื้อผ้าหลายๆ อย่างคู่กับเลดี้บลิสขึ้นมาเลยละค่ะ! จะน่ารักมากขนาดไหนกันล่ะคะนี่! “

แม้จะถูกอาเรียติเตือน แต่แอนนี่ก็ไม่ได้สงบลงเลย ลิเป้ที่เห็นภาพนั้นถึงกับต้องกลั้นขำเอาไว้

สีหน้าของแอนนี่ยังเป็นสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงไมตรีจิตที่ดีไม่เปลี่ยนแปลง

ทั้งกับบลิสและกับลิเป้

ไม่ใช่แค่กับตัวอาเรียเท่านั้น แต่แอนนี่ยังดีต่อเด็กๆ ด้วย

และนั่นก็ทำให้อาเรียถูกใจเป็นอย่างมาก เธอจึงไม่คิดจะว่ากล่าวแอนนี่มากไปกว่านี้

“ได้เห็นใบหน้าที่ดิฉันชื่นชอบตั้งสามคนแบบนี้ น่าประทับใจมากเลยค่ะ แถมยังน่ารักเอามากๆ ด้วยค่ะ”

สีหน้าของเจสซี่ซึ่งมาพร้อมกับแอนนั้นดูประทับใจเป็นอย่างมาก

มีเรื่องให้ประทับใจมากมายเสียจริง อาเรียคิดเช่นนั้น พลันสายตาก็สังเกตเห็นลิเป้มองเจสซี่อย่างไม่ละสายตาราวกับว่าเจออะไรที่น่าประหลาดใจขึ้นมา

‘…ดูท่าจะต้องให้เจสซี่อยู่ใกล้ๆ กับเด็กคนนี้เสียแล้วสิ’

ฉันเองก็มองคนเก่งเหมือนกันนะเนี่ย

แม้จะยังแก้ปัญหาสำคัญไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็อารมณ์ดีขึ้นมาและในตอนที่เธอกำลังจะฉิบชานั่นเอง

“อ๊ะ พระชายาคะ เลดี้โคลซี่ที่ออกไปอยู่นอกเมืองหลวงชั่วคราวจะเข้ามายังพระราชวังก่อนเที่ยงวันค่ะ ดิฉันเลยคิดว่าหากเลื่อนเวลาเข้าเฝ้าเป็นตอนเที่ยงวันเพื่อที่จะได้รับประทานอาหารกลางวันร่วมกันเลยจะดีไหมคะ”

เจสซี่พูดเรื่องเลดี้โคลซี่ขึ้นมา

หากเป็นเรื่องเล็กน้อยก็คงจะไม่เป็นอะไร แต่เพราะก่อนหน้านี้เลดี้โคลซี่ถึงกับตกใจจนเป็นลมขึ้นมา จึงควรให้บลิสขอโทษเลดี้โคลซี่ด้วยตัวเองถึงจะเหมาะสม

เพราะเหตุนั้นบลิสที่กำลังจะนำทาร์ตเข้าปากอย่างอารมณ์ดี จึงได้แต่หยุดค้างอยู่ในท่านั้น

สีหน้าของบลิสดูหมองลง ลิเป้จึงเข้าใจได้ในทันทีว่าบลิสก่อเรื่องอะไรไว้อีกแล้ว

“ดีสิ ถ้าได้ทานอาหารไปด้วยบรรยากาศก็คงจะผ่อนคลายขึ้นละนะ”

เพราะบลิสเป็นเด็กที่อยู่ในความดูแลของอาเรียมาตั้งแต่แรก แน่นอนว่าคุณหญิงคงจะบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่พร้อมกับหัวเราะและมองข้ามมันไปแน่ๆ แต่เพราะบลิสย้อนเวลามายังอดีตและก่อเรื่องขึ้น นั่นจึงถือเป็นความผิดของอาเรียด้วย

หากว่าตัวเธอไม่ป่วย บลิสก็คงไม่ย้อนมายังอดีตแน่ๆ เพราะอย่างนั้นเธอควรจะต้อนรับคุณหญิงด้วยอาหารดีๆ เสียหน่อย อาเรียคิด

“แม้จะมีเวลาไม่มากนักแต่ช่วยบอกให้ทางครัวพยายามทำอาหารให้เต็มที่หน่อยนะ”

“ค่ะ…ที่จริงแล้วดิฉันบอกเอาไว้ล่วงหน้าก่อนที่จะมาแล้วค่ะ”

เจสซี่แก้มแดงและตอบออกมาอย่างเขินอาย

ทำงานได้ดีจนน่าชื่นชมสมกับเป็นเจสซี่จริงๆ อาเรียหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

ส่วนลิเป้ก็มีท่าทีต่างไปจากตอนที่ปฏิเสธคำชวนเดินเล่นของอาเรียในตอนแรก ลิเป้นั่งอยู่ระหว่างเจสซี่กับแอนนี่ และกินชีสทาร์ตไปตั้งหนึ่งชิ้น ทั้งที่ตอนแรกดูเหมือนเธอจะไม่กินมันด้วยซ้ำ

ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เจสซี่บอกว่าตั้งหน้าตั้งตารองานเทศกาลขึ้นมา ลิเป้ถึงกับถามออกมาว่า‘ถ้าอย่างนั้นไปงานเทศกาลด้วยกันไหมล่ะ’อีกด้วย

ท่าทางเจสซี่คงไม่คิดว่าตัวเองจะถูกชวนขึ้นมา ถึงได้ทำตาโตและทำสีหน้าดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

“ถ้าคุณหนูไม่มีปัญหากับเรื่องนั้นแล้วละก็! ดิฉันดีใจมากเลยค่ะที่คุณหนูชวนดิฉัน”

“…แหม ใครกันที่บอกว่าไม่ชอบแล้วบอกให้กลับไปน่ะ”

บลิสเฝ้ามองทั้งคู่และงึมงำออกมาเบาๆ

แต่เพราะเธอพูดเบามากจึงมีแค่อาเรียคนเดียวที่ได้ยิน บลิสยิ้มร่าออกมาอีกครั้งและเกาะแขนเจสซี่เอาไว้

“ฉันก็จะไปด้วย! ให้ฉันไปด้วยสิ! “

“ได้สิคะ! ถ้าคุณหนูบลิสยินดีละก็ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ”

เจสซี่ได้รับความชื่นชอบอย่างมากมายจากอาเรียน้อยทั้งสองคน เธอดีใจจนทำตัวไม่ถูก

แอนนี่ที่นั่งดูภาพนั้นอยู่ข้างๆ ทำแก้มป่องขึ้นมาข้างหนึ่งราวกับอารมณ์เสีย เธอลุกพรวดขึ้นมาจากที่นั่งและเข้าไปกอดบลิสสลับกับกับกอดลิเป้พร้อมทั้งเว้าวอนออกมา

“ดิฉันล่ะคะ! ไม่ต้องให้ดิฉันไปก็ได้เหรอคะ ให้ดิฉันไปด้วยไม่ได้เหรอคะ นะคะ ดิฉันซื้อของอร่อยๆ ให้ได้นะคะ! “

เพราะแบบนั้นเด็กๆ จึงระเบิดเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่ารักออกมา บลิสพูดออกมาว่าแน่นอนว่าต้องไปด้วยกันอยู่แล้วสิและหัวเราะชอบใจ ลิเป้เองก็บอกให้แอนนี่ไปด้วยกันและยิ้มแฉ่งออกมา

***

“ขะ ขอโทษษ…ฉันเป็นคนทำเองง…เพราะอยากรู้ว่าเป็นชุดอย่างไรเลยเข้าไปดู แล้วก็เผลอทำน้ำหกใส่…”

บลิสขอโทษและทำหน้าเบ้จะร้องไห้ ไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งหัวเราะเอิ๊กอ๊ากก่อนนี้และนั่นทำให้เลดี้โคลซี่เบิกตาโพลงขึ้นมา

ทำไมถึงได้ทำสีหน้าแบบนั้นต่อหน้าคนที่กำลังขอโทษกันล่ะ

ไม่มีเวลาให้สงสัยเรื่องนั้นเลยสักนิด เมื่อจู่ๆ เลดี้โคลซี่ที่มองดูหน้าลิเป้ไปด้วยเกิดปรบมือขึ้นมาและพูดเสียงดังว่า

“อะไรกัน! ทำไมถึงน่ารักได้ขนาดนี้ล่ะคะ! “

ไม่คิดเลยว่าคุณหญิงจะพูดเช่นนั้น ดูเหมือนคุณหญิงจะเป็นคนประเภทเดียวกับแอนนี่เสียแล้ว

อาเรียดื่มไวน์ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมและคิดเช่นนั้น

“ให้อภัยแล้วงั้นเหรอ…”

บลิสกุมมือทั้งสองข้างไว้ที่ใต้คางและถามออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ และนั่นทำให้เลดี้โคลซี่กลั้นหายใจดังเฮือก

“น่ะ แน่นอนสิคะ! ในเมื่อพระชายาบอกว่ารอพึ่งชุดให้แห้งแล้วค่อยนำมาใช้แล้วนี่ค่ะ เพราะอย่างนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยค่ะ! “

ท่าทางคุณหญิงจะจำเรื่องที่ตัวเองตกใจจนเป็นลมไปไม่ได้แล้วแน่ๆ

เมื่อเห็นคุณหญิงพูดจาตะกุกตะกักและยกโทษให้ด้วยความยินดี บลิสก็วิ่งเข้าไปหาคุณหญิงและกอดเอวเธอแน่น

“ขอบคุณนะ! ขอโทษที่ทำให้ชุดที่คุณหญิงทำขึ้นมาอย่างลำบากเปื้อน! ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว! “

“…! ”

เลดี้โคลซี่กลั้นเสียงกรี๊ดเอาไว้

แม้แต่ความน่ารักก็ยังมีปริมาณของมันอยู่ การที่บลิสทำเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นความน่ารักในปริมาณที่อาจทำให้หัวใจวายได้เลยทีเดียว

“หืม”

อาเรียมองภาพนั้นและเอามือแตะปลายคาง

ไม่รู้ว่าบลิสตั้งใจทำแบบนั้นลงไปหรือไม่ แต่ถือว่ามันใช้ได้ผลดีทีเดียว

ถ้าทำตัวน่ารักขนาดนั้นแล้วละก็ ความผิดที่ทำไว้ก็คงถูกมองข้ามไปได้อย่างง่ายดาย

“เอ่อ ดิฉัน! พระชายาคะ! ดิฉันขอร้องอะไรสักอย่างได้ไหมคะ! “

เลดี้โคลซี่ไม่สามารถเก็บซ่อนอาการตื่นเต้นเอาไว้ได้ เธอพูดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมา

แม้จะเป็นความประทับใจที่ดี แต่ความน่ารักของบลิสก็ทำให้คุณหญิงต้องสู้กับความรู้สึกตัวเองขึ้นมา

ท่าทางคุณหญิงจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ในเมื่อเธอถึงกับขอร้องออกมาด้วยตนเองเช่นนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่อาเรียจะไม่รับฟัง

อาเรียพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงอนุญาตให้พูดออกมา

“ไหนๆ แล้ว ดิฉันขอให้เลดี้ที่น่ารักทั้งสองท่านทำหน้าที่เด็กถือกระเช้าดอกไม้ได้ไหมคะ! ”

ทว่าคำตอบที่ได้ยินต่อมานั้นทำเอาอาเรียขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที

เด็กถือกระเช้าดอกไม้งั้นหรือ ในตอนที่พิธีราชาภิเษกใกล้จะเสร็จสิ้นนั้น เพื่อเป็นการประกาศให้รู้ว่าได้มีพระราชาและพระราชินีคนใหม่ขึ้นครองราชย์ จึงต้องมีคนยืนถือตะกร้าดอกไม้อยู่ข้างๆ และคอยโปรยกลีบดอกทิวลิปเพื่อแสดงความยินดี นี่อย่าบอกนะว่าจะให้เด็กๆ ทำหน้าที่นั่นน่ะ

แม้จะมีคนเห็นหน้าตาของบลิสและลิเป้ไปบ้างแล้วและนั่นถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่จะให้เด็กๆ เผยหน้าตาในงานราชาภิเษกไม่ได้โดยเด็ดขาด

เพราะในวันราชาภิเษกมีกำหนดการจะให้จิตรกรเข้ามาวาดภาพเก็บไว้นั่นเอง

ความทรงจำนั้นหากผ่านวันเวลาอันเนิ่นนานไปแล้วก็คงจะเลือนรางและเปลี่ยนไปบ้าง จึงสามารถมองข้ามไปได้ แต่รูปภาพนั้นไม่ใช่เลย

ในเมื่อมีกำหนดการให้จิตรกรชื่อดังมาเข้าร่วมเพื่อวาดภาพแล้วละก็ จะต้องมีคนจดจำหน้าตาของบลิสและลิเป้ได้อย่างชัดเจนเมื่อได้เห็นภาพวาดแน่ๆ

ดังนั้นอาเรียจึงตั้งใจจะปฏิเสธออกไปทันที แต่แล้วบลิสก็ทำตาเป็นประกายและยกมือขึ้นมาพร้อมกับตะโกนออกมาว่า

“เอาสิ! เอาสิ! หนูจะทำ! ให้หนูทำนะ! หนูจะทำ! ”

……………………………