บทที่ 230 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 21)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

“บลิส! เธอบ้าไปแล้วรึไง! “

ลิเป้คิดเช่นเดียวกับอาเรีย เธอสะดุ้งตกใจและลุกขึ้นมาจากที่นั่ง

แม้จะชอบก่อเรื่องเป็นประจำ แต่มันก็ควรจะมีขอบเขตเสียบ้าง

เพราะหากปล่อยให้คนในอดีตมีส่วนเกี่ยวข้องมากไปกว่านี้ละก็ ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เพราะอย่างนั้นจึงไม่ควรทำอะไรที่สะดุดตามากเกินไป

“ดิฉันต้องขอโทษคุณหญิงด้วย แต่เรื่องนั้นคงจะทำไม่ได้จริงๆ ค่ะ เพราะพวกเธอเป็นเด็กที่ดิฉันตั้งใจจะดูแลอย่างเงียบๆ จึงไม่อยากเปิดเผยหน้าตาให้คนอื่นได้เห็นสักเท่าไหร่น่ะค่ะ”

เมื่อเห็นอาเรียปฏิเสธออกมาในทันที เลดี้โคลซี่ก็ไม่สามารถซ่อนความรู้สึกผิดหวังเอาไว้ได้

ถึงอย่างนั้นแม้ว่าคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจมากที่สุดจะได้ค้านออกมาแล้วก็ตาม แต่บลิสกลับไม่ยอมท้อถอยง่ายๆ

“ถ้างั้นใช้ไอ้นั่นก็ได้นี่นา! ไอ้ผ้าที่ปิดลงมาถึงตาน่ะ! ที่ใช้ในงานราชาภิเษกน่ะ! แบบ แบบ อย่างนี้ไง! ”

มือเล็กๆ ของบลิสขยับไปมาระหว่างศีรษะกับดวงตา

แม้จะอธิบายออกมาคร่าวๆ แต่เพราะเป็นบลิสพูดเน้นจุดสำคัญขึ้นมา เลดี้โคลซี่จึงเข้าใจได้อย่างชัดเจน

“อ๊ะ! หมายถึงผ้าคลุมหน้าที่ข้ารับใช้ใช้กันสินะคะ! ”

ในพิธีราชาภิเษกนั้น นอกจากพระราชาและพระราชินีแล้วก็ไม่มีใครสามารถใส่เครื่องประดับศีรษะได้ ยกเว้นแต่เหล่าข้ารับใช้

เพราะในตอนที่ทุกคนกำลังโค้งคำนับแสดงความเคารพนั้น เหล่าข้ารับใช้ต้องเคลื่อนไหวโดยสังเกตรอบข้างไปด้วย เพื่อให้พิธีราชาภิเษกดำเนินไปได้อย่างราบรื่นนั่นเอง

เพราะเหตุนั้น เหล่าข้ารับใช้จึงสวมใส่ผ้าคลุมหน้าที่ปิดบังดวงตาและจมูกเอาไว้ โดยจะเผยให้เห็นปากนิดหน่อยเท่านั้น

ผ้าคลุมหน้าสีขาวบางที่ปกปิดการมองเห็นนิดหน่อย

ถ้าใส่มันไว้ละก็ จะต้องปิดบังใบหน้าได้แน่ๆ

เนื่องจากเป็นความคิดเห็นที่เป็นไปได้ อาเรียจึงส่งเสียงอืมในลำคอเป็นการเห็นด้วยเล็กน้อย โดยที่ไม่พูดอะไรออกมา

“แม้จะเสียดายที่ต้องปิดหน้าเอาไว้ แต่ถ้าทำอย่างนั้นก็จะไม่เป็นที่สะดุดตาแน่นอนค่ะ! ดูเหมือนจะเป็นความคิดที่เข้าท่าเอามากๆ พระชายาคิดว่าอย่างไรคะ”

ก่อนที่เลดี้โคลซี่จะถามเสร็จ บลิสก็วิ่งเข้ามาหาอาเรียก่อนเสียแล้ว

“หนูน่ะ อยากแสดงความยินดีให้กับพระชายาในพิธีราชาภิเษก! อยากแสดงความยินดีให้พระจักรพรรดิด้วย! นี่เป็นความหวังของหนูเลย”

พร้อมด้วยอ้อมกอดแน่นๆ เป็นของแถม และโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว อาเรียเองก็เผลอกอดร่างเล็กๆ เอาไว้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับเคยทำเช่นมาหลายครั้งแล้ว

“หนูจะไม่ก่อเรื่องเลย นะ จะกลับไปทันทีที่พิธีราชาภิเษกจบลงด้วย นะ นะ จะไม่ทำให้รำคาญอีกแล้ว นะ นะๆๆ”

บลิสเอาแก้มตัวถูไถไปมาบริเวณเอวของอาเรีย

เธอเป็นเด็กที่ใช้หน้าตาของตัวเองให้เป็นประโยชน์ในการออดอ้อนต่างจากอาเรีย

ส่วนลิเป้ก็ดึงชายเสื้อของบลิสและโมโหออกมา

“นี่ บลิส! ทำอะไรให้มันมีขอบเขตเสียบ้างสิ! เธอบอกว่าจะไม่ก่อเรื่องอีกแล้วไม่ใช่รึไง! ”

“ไม่ได้ก่อเรื่องเสียหน่อย! แค่โปรยกลีบดอกไม้เอง! ฉันอยากจะแสดงความยินดีต่างหาก! “

“คนที่สร้างปัญหาได้ทุกวันอย่างเธอคงจะทำได้ดีอยู่ละมั้ง”

“ฉะ ฉัน ฉันทำได้แน่ๆ! เวลาที่ฉันไม่ได้ก่อเรื่องมีมากกว่าอีกนะ! “

“เธอน่ะเหรอ อย่ามาตลกน่ะ เธอก่อเรื่องเยอะจะตายไป”

แม้จะอยากเถียงกลับไปว่าไม่ใช่อย่างนั้นก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเรื่องจริงที่แทงใจดำอยู่ไม่น้อย

บลิสกำหมัดเล็กๆ เอาไว้ แน่นและตัวสั่นด้วยความโกรธ จากนั้นก็กรีดร้องออกมาดังกรี๊ด!

“กะ กรี๊ด! อย่ามาเรียกฉันว่าเธอนะ! ฉันเป็นพี่นะ! “

“โง่รึเปล่าเนี่ย ต้องทำตัวให้สมกับเป็นพี่สิ ถึงจะเรียกว่าพี่ได้น่ะ”

“ถึงอย่างนั้นฉันก็เกิดก่อนนะ! ”

“นั่นน่ะเป็นเพราะเธอเกือบจะตายต่างหากเลยเป็นแบบนั้น”

“จะยังไงก็ช่างเถอะ! ”

พี่น้องสายเลือดเดียวกันก็ทะเลาะกันและพูดคำว่าตายออกมาแบบนั้นด้วยสินะเนี่ย

ลูกสาวคนเดียวอย่างอาเรียมองดูบลิสและลิเป้ทะเลาะกันด้วยความสนอกสนใจ

หน้าตาของเธอดูสนุกเอามากๆ

เนื่องจากอาเรียยังไม่เอ่ยปากอนุญาตเรื่องเด็กถือกระเช้าดอกไม้ เลดี้โคลซี่จึงคิดหาวิธีที่แยบยลขึ้นมาใหม่

“ถ้าเช่นนั้นทำอย่างนี้เล่าเป็นอย่างไรคะ หากทรงเป็นกังวลละก็ ในระหว่างที่พิธีดำเนินอยู่ก็ให้เด็กๆ รออยู่ด้านหลังเฉยๆ และในตอนที่ต้องโปรยกลีบดอกไม้ก็ให้เด็กๆ ออกมา จากนั้นก็กลับเข้าไปอยู่ด้านหลังเหมือนเดิมค่ะ! ”

เป็นความคิดที่เข้าท่าทีเดียว

แม้จะยุ่งยากไปบ้าง แต่ถ้าให้ข้ารับใช้คอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ละก็ บลิสก็คงไม่ทำอะไรผิดพลาดขึ้นมาแน่

นอกจากนั้นนี่ถือเป็นโอกาสที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ใจจริงอาเรียเองก็อยากให้เด็กทั้งสองทำหน้าที่ถือกระเช้าดอกไม้ให้อยู่เหมือนกัน

ในเมื่อขจัดข้อกังวลออกไปได้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธ

“ตกลง เอาอย่างนั้นก็ได้”

“…! ”

ในขณะที่อาเรียอนุญาต ลิเป้ก็หยุดกึกขึ้นมาทันที บลิสผลักลิเป้ออกไปและทำหน้าตาดีใจขึ้นมา

“จริงเหรอ จริงๆ เหรอ หนูถือกระเช้าดอกไม้ได้ใช่ไหม! “

“ได้สิ แต่จนกว่าจะถึงเวลาโปรยดอกไม้ เธอต้องรออยู่ข้างหลังและจะไม่ได้เห็นพิธีราชาภิเษกอย่างเต็มที่นะ”

“น่ะ เรื่องนั้น…! ”

ดวงตาของบลิสส่ายไปมาเหมือนกับรู้สึกเสียดายขึ้นมา ในหัวของบลิสกำลังต่อสู้กับความต้องการทั้งสองอย่างของตัวเองอย่างหนัก

ว่าจะชมบรรยากาศของพิธีราชาภิเษกอย่างเต็มที่ หรือจะเลือกช่วยพิธีราชาภิเษกแต่ไม่ได้ชมบรรยากาศในงานเท่าที่ควร

เพราะไม่รู้ว่าจะเลือกทางไหนดี บลิสจึงสับสนอยู่พักหนึ่ง แล้วเลดี้โคลซี่ก็จับมือของบลิสขึ้นมา

“แน่นอนว่าคุณหนูต้องเข้าร่วมพิธีราชาภิเษกในฐานะเด็กถือกระเช้าดอกไม้สิคะ! นี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่จะคงไว้ในประวัติศาสตร์เลยนะคะ! คนที่เฝ้าดูอยู่ข้างหลังน่ะไม่มีใครได้ทำแบบนั้นบ่อยๆ หรอกค่ะ! และนอกจากนั้นแล้วเนี่ย-! “

บลิสหลงใหลไปกับคำพูดของคุณหญิง เธอรอฟังคำต่อไปด้วยแววตาเป็นประกาย

“ดิฉันก็คิดว่าอยากจะตัดชุดของคุณหนูทั้งสองให้ออกมาคล้ายๆ กับชุดของพระชายาค่ะ! ”

“…! ทะ ทำสิ! หนูจะทำละ! หนูจะทำ! แน่นอน! หนูจะต้องทำให้ได้เลย! “

บลิสตะโกนออกมาด้วยท่าทีราวกับว่าจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่หากไม่ยอมให้เธอทำ

ท่าทีเปี่ยมล้นด้วยพลังนั่น ถ้าบลิสสามารถพ่นไฟได้ละก็ ทั้งพระราชวังคงจะมอดไหม้ไปหมดเสียแล้ว

ลิเป้ที่ครุ่นคิดว่าจะหยุดบลิสอย่างไรดีจนถึงตอนนั้น ก็หยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

เสื้อผ้าที่คล้ายกับของอาเรียงั้นเหรอ  และยังใส่ในพิธีราชาภิเษกอีกด้วย นี่เป็นโอกาสที่ไม่มีวันจะหาได้จากที่ไหนอีกแล้ว

“ที่จริงแล้วในวันที่ชุดเปียกไปนั้น ดิฉันได้เตรียมผืนใหม่เอาไว้ทันทีแล้วค่ะ พอพระชายาบอกว่าไม่ต้องทำชุดใหม่ก็ได้ หม่อมเลยครุ่นคิดอยู่ว่าจะจัดการกับผ้าผืนนั้นอย่างไรดี เลยคิดว่าหากนำมาตัดชุดให้คุณหนูทั้งสองก็คงจะดีค่ะ”

คุณหญิงพูดต่อไปพร้อมกับหันไปมองรอบข้างอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบเอากระดาษหนึ่งแผ่นกับปากกาขนนกออกมา และวาดดีไซน์ชุดที่อยู่ในหัวลงไป

“แบบนี้อย่างไรล่ะคะ! ”

ดีไซน์หลักๆ นั้นดูคล้ายกับชุดของอาเรียแต่ตัดเครื่องประดับตกแต่งออกไป เป็นชุดสีขาวที่ปักตราประทับของราชอาณาจักรไว้ที่อกด้านขวา

และยังมีมงกุฎดอกทิวลิปอยู่เหนือศีรษะที่ใส่ผ้าคลุมหน้าเอาไว้ด้วย

ว่าแล้วเชียว เลดี้โคลซี่ไม่ใช่ดีไซเนอร์ที่มีความสามารถแบบดื่นดาษจริงๆ

เพราะเป็นดีไซน์ที่ถูกใจเอามากๆ อาเรียจึงส่งสายตาให้กับลิเป้

‘ถ้าเธอไม่อยากทำแล้วละก็ คงต้องลองคิดดูใหม่อีกทีละนะ’

แม้สายตาของอาเรียจะบอกว่าให้สิทธิเลือกได้อย่างเต็มที่ก็ตาม แต่การถามในครั้งนี้นั้นอาเรียรู้อยู่แล้วว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร

และคำตอบที่ตามมาก็ตรงตามที่เธอคาดเอาไว้ด้วย

“ถะ ถ้าอย่างนั้น…ถ้าทำแค่แป๊บเดียวแบบไม่สะดุดตาละก็…”

“เย้! ลิเป้! “

บลิสที่ได้รับอนุญาตแล้ววิ่งเข้าไปหาลิเป้

จากนั้นก็กอดคอลิเป้และหมุนตัวไปรอบๆ จนรัดหลอดลมของลิเป้ขึ้นมา

“แค่ก นี่ นี่ แค่ก จะไม่ปล่อยใช่ไหม! ”

เพราะเหตุนั้นสุดท้ายก็ทำให้ลิเป้โมโหขึ้นมาอีกจนได้ แต่บลิสกับหัวเราะเอิ๊กอ๊ากไม่สนใจ

***

เนื่องจากกำหนดการต่อไปคือการเข้าเฝ้าของเหล่าขุนนาง พออาเรียลุกออกไปจึงเหลือแค่ลิเป้กับบลิสเพียงแค่สองคน

พร้อมกับเชอร์เบทมะนาวที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของหัวหน้าพ่อครัวซึ่งทุ่มเททำอย่างสุดฝีมือ

เชอร์เบทที่แสนชื่นใจ อ้ำ ลิเป้มองดูบลิสตักมันเข้าปากอย่างนิ่งๆ และถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง

“บลิส เธอคิดจะทำอะไรกันแน่”

เพราะเข้าไปมีส่วนในหลายๆ เรื่องเข้าไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าตนจะสมัครใจทำทั้งหมด

และเพราะได้ข้ามเส้นที่ไม่ควรจะข้ามเข้าไปเสียแล้ว ลิเป้จึงรู้สึกกังวลขึ้นมา

หากยกเลิกมันได้ละก็ ลิเป้ก็อยากจะยกเลิกมันขึ้นมา

“เรื่องอะไรล่ะ”

บลิสกะพริบตาปริบๆ ต่อท่าทีเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของลิเป้

เมื่อเห็นสายตาที่มองกลับมาอย่างคนซื่อบื้อราวกับไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นเข้า ลิเป้ก็ปรี๊ดขึ้นมา

“นี่เธอลืมคำที่ท่านแม่กับท่านพ่อพูดเอาไว้แล้วเหรอ ท่านบอกว่าอย่าทำอะไรที่สะดุดตาจนคนอื่นรู้เรื่องพลังไม่ใช่หรือไง! แต่เธอกลับทำแต่เรื่องที่ทำให้เป็นที่สังเกตอยู่บ่อยๆ เธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่! ”

แม้จะดูน่าขันที่เพิ่งมาติเตียนเรื่องพวกนี้เอาตอนนี้ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะมองข้ามไปได้ง่ายๆ

ทั้งที่บอกว่าจะอยู่เงียบๆ แล้วแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นว่าต้องเข้าร่วมงานพิธีราชาภิเษกไปแล้ว

แม้ลิเป้จะอธิบายออกมา แต่บลิสก็เพียงแค่กะพริบอยู่ครู่หนึ่ง โดยที่ไม่มีสีหน้าสำนึกผิดใดๆ ทั้งนั้น

“ยัยซื่อบื้อนี่! ”

เพราะเหตุนั้นลิเป้จึงลุกพรวดขึ้นมา และตั้งใจจะโมโหออกมา-

“เธอต่างหากที่ซื่อบื้อ ลิเป้”

คำตอบของบลิสทำเอาลิเป้เดือดดาลขึ้นมา

“ว่าไงนะ ฉันเนี่ยนะ เธอน่ะสิซื่อบื้อ บลิส! ”

“เธอนั่นแหละที่ซื่อบื้อ! ถ้าเราไม่เกิดมาหรือถ้าเราหายไปแล้วละก็ ทุกคนก็จำอะไรไม่ได้นี่นา เพราะอย่างนั้นก็ไม่มีเรื่องให้จับได้อยู่แล้ว”

ข้อความที่ถ่ายทอดออกมานั้นฟังดูน่าขนลุกต่างไปจากน้ำเสียงที่พูดออกมานิ่งๆ

นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เพราะหากว่าบลิสกับลิเป้ไม่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้ขึ้นมาจริงๆ หรือถ้าทั้งคู่ไม่มีตัวตนอยู่ตั้งแต่แรก ทั้งสองคนก็จะเลือนหายไปจากความทรงจำของทุกคน

ราวกับว่าไม่เคยมีเด็กแบบนั้นมาตั้งแต่แรก

“…นี่เธอหมายความอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”

แม้จะรู้ว่าบลิสมาที่นี่ด้วยความคิดแบบไหนก็ตาม แต่ลิเป้ก็คิดว่าเดี๋ยวบลิสคงทำตัวงี่เง่าร้องไห้งอแงแล้วก็กลับไปในที่สุด

ทว่าสายตาของบลิสที่เธอสบตาอยู่ในตอนนี้ไม่มีคำว่าล้อเล่นแฝงอยู่เลยแม้แต่น้อย

มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะโน้มน้าวใจของอาเรียให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม

“อืม ฉันพูดจริงๆ ฉันจะบอกความจริงทั้งหมดให้แม่ฟัง และขอให้แม่มีสุขภาพแข็งแรงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปนานๆ ถ้าแม่ไม่ยอมละก็ ฉันก็ย้อนเวลากลับมาทำอย่างเดิมอีก ไม่ว่าจะกี่ครั้งหรือต่อให้ต้องย้อนไปยังอดีตที่ไกลกว่าเดิมก็ตาม”

แววตาของบลิสราวกับจะบอกว่าแม้จะต้องทำแบบนั้นเป็นร้อยเป็นพันครั้งเธอก็จะทำให้สำเร็จให้ได้

ตอนนั้นเองที่ลิเป้ตระหนักได้ว่าบลิสหมายความอย่างนั้นจริงๆ ลิเป้หน้าถอดสีขึ้นมาในทันที

“ละ แล้วฉันล่ะ! ถ้าเธอไม่เกิดมาละก็ ฉันเองก็ไม่ได้เกิดด้วยน่ะสิ! “

“ก็ใช่…แต่ว่าเป็นเพราะพวกเราแม่ถึงได้ป่วยและเจ็บปวดใจนี่นา คนก็พูดกันว่าแม่ยังทำงานได้อีกมากมาย แต่เพราะพวกเราทำให้แม่ทำแบบนั้นไม่ได้”

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…! ”

ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่ได้อยากจะหายไปจากโลกใบนี้

จะไม่สามารถเจอผู้คนที่รักได้อีกต่อไป ฉันไม่อยากจากโลกนี้ไปตลอดกาลหรอกนะ

ไม่รู้ว่าบลิสจะคิดว่าเธอเห็นแก่ตัวหรือเปล่า แต่ก็อย่างที่พูดไปว่าเธอแค่รู้สึกเสียใจและเจ็บปวดใจเท่านั้น

เพราะอย่างนั้นแล้วไม่มีทางที่เธอจะดูยัยโง่นั่นทำเรื่องงี่เง่าอยู่เฉยๆ แน่

ลิเป้ลุกพรวดขึ้นมาจากที่นั่งและจ้องเขม็งไปยังยัยซื่อบื้อที่คงพูดกันต่อไปไม่รู้เรื่องอยู่หนหนึ่ง ก่อนจะเดินตึงตังออกไปอย่างไม่สมกับเป็นเธอ

……………………..