“พระชายาคะ! ”
ทั้งที่การเข้าเฝ้ายังไม่จบลงด้วยซ้ำ แต่อยู่ๆ ลิเป้ก็เดินเข้ามาขอเวลาคุยด้วยอย่างเร่งรีบ นั่นทำให้อาเรียเอียงคอสงสัยและถามเธอว่ามีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ
แม้สีหน้าจะดูร้อนใจเป็นอย่างมาก แต่ลิเป้กลับไม่ตอบออกมาง่ายๆ อาเรียจึงให้ข้ารับใช้ทุกคนออกไปก่อน
“ดื่มชาสักหน่อยไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ…หนู คือ คือว่า…! ”
จะเริ่มพูดยังไงดีล่ะเนี่ย ถ้าจะเปิดโปงแผนการงี่เง่าของบลิสออกไป ก็ต้องบอกความจริงเรื่องที่ตัวเองมาจากอนาคตด้วย เพราะเช่นนั้นลิเป้จึงไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปอย่างไรดี
ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องสารภาพความจริงทุกอย่างรวมทั้งเรื่องที่อาเรียป่วยด้วย
ถ้าทำอย่างนั้นก็จะไม่ต่างไปจากแผนการที่บลิสตั้งใจเอาไว้เลย
แต่ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปละก็ สุดท้ายทุกอย่างก็จะเป็นไปตามที่บลิสตั้งใจในขณะที่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย
จะปล่อยให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง
ลิเป้พยายามทำใจให้สงบ เธอกำหมัดแน่นพร้อมกับหลับตาแน่นและตะโกนออกไปว่า
“ยะ อย่าทิ้งพวกหนูนะคะ! ”
“…! ”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นมาฉับพลัน ทำเอาอาเรียเบิกตาโพลงขึ้นมา
แม้จะรู้ว่านั่นหมายถึงอะไรก็ตาม แต่เห็นทีคงจะต้องคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียแล้ว
แต่จะคุยกันโดยปล่อยให้เด็กน้อยที่กำลังประหม่ายืนอยู่ทั้งอย่างนั้นไม่ได้ อาเรียจึงเรียกลิเป้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมาก
“มานี่มา มานั่งตรงนี้เถอะ”
“คะ…”
ในตอนนั้นเองที่ลิเป้ค่อยลืมตาทั้งสองข้างออกมาอย่างระมัดระวัง
จากนั้นสิ่งที่ลิเป้เห็นอยู่ข้างหน้าก็คืออาเรียที่ยิ้มบางๆ พร้อมกับทำมือชี้ให้เธอมานั่งตรงหน้า
‘ทะ ท่านแม่…’
ใบหน้าอันแสนอ่อนโยนทำให้คิดถึงอาเรียในอนาคตขึ้นมา และโดยที่ไม่รู้ตัวลิเป้ก็ได้ไปนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอาเรียราวกับว่าเธอต้องมนตร์อย่างไรอย่างนั้น
อาเรียยื่นน้ำชาของตัวเองให้กับเด็กน้อยตรงหน้า และเริ่มพูดกับลิเป้ที่กำลังจ้องหน้าเธออย่างไม่วางตาออกมาว่า
“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ เพราะฉันไม่คิดจะทิ้งพวกเธออยู่แล้ว”
“คะ คะ…! ”
ท่าทางจะลืมเรื่องตัวเองพูดไปเสียแล้ว ลิเป้ถึงได้สะดุ้งขึ้นมา
“ฉันจะปล่อยพวกเธอไปง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ”
ดังนั้นอาเรียจึงพูดเพิ่มขึ้นมา ในตอนนั้นเองที่ลิเป้เข้าใจว่านั่นเป็นคำตอบต่อคำถามของตน ลิเป้ไม่สามารถหุบปากที่อ้าค้างเอาไว้ได้
“ระ หรือว่ารู้ทุกอย่าง…! ”
อยู่แล้วงั้นเหรอ! ลิเป้ไม่สามารถซ่อนความตกใจเอาไว้ได้ ก่อนจะตระหนักได้ว่าอาเรียใช้เวลาอยู่กับบลิสมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
‘ถ้าอยู่กับยัยซื่อบื้อนั่นละก็ ไม่มีทางที่จะไม่รู้หรอก…’
เพราะยัยเป็นประเภทที่แสดงทุกอย่างออกมาทางสีหน้า
ลิเป้ทำความเข้าใจต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะครุ่นคิดถึงคำตอบของอาเรียและเบิกตาโตขึ้นมา
“แน่นอนว่าฉันก็ไม่อยากจะเสียสละร่างกายของฉันหรอก เพราะอย่างนั้นเลยคิดจะหาทุกวิถีทางละนะ ถ้าพลิกแผ่นดินหาละก็ ต้องเจอทางออกอยู่ที่ไหนสักที่แน่ๆ จริงไหม”
หากเป็นคนทั่วไปแล้วละก็ นั่นเป็นคำตอบที่ฟังดูไม่จริงจังสักเท่าไหร่ แต่อาเรียไม่ใช่แบบนั้น
ถ้าเธอพูดออกมาแบบนั้น แสดงว่าเธอจะหาวิธีที่ทำให้ทุกคนมีความสุขให้ได้จริงๆ
ลิเป้คิดเช่นนั้น และพยักหน้าอย่างแข็งขันโดยที่ยังอ้าปากค้างอยู่เช่นเดิม
แม้จะดูน่าขำไปบ้าง แต่เป็นใบหน้าที่ดูสมกับเป็นเด็กมาก ดูใช้ได้กว่าตอนที่พยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่เสียอีก
เพราะอย่างนั้นอาเรียจึงพูดขึ้นมาอีกว่า
“เพราะฉะนั้นแล้วเธอก็หัดเล่นสนุกให้เหมือนกับเด็กเสียบ้าง กินของว่างที่บลิสสั่งเอาไว้ให้เต็มที่ แล้วก็เที่ยวงานเทศกาลให้สนุกด้วย”
ในครู่นั้นลิเป้ก็นึกถึงสิ่งที่ตัวอาเรียในอนาคตมักจะพูดกับเธออยู่บ่อยๆ ขึ้นมา
‘ลิเป้ หนูน่ะวางตัวได้ดีเยี่ยมมากพอแล้ว จะทำตัวให้สมกับเป็นเด็กมากกว่านี้หน่อยก็ได้ ยังไงสักวันหนูก็ต้องกลายเป็นผู้ใหญ่อยู่ดี ไม่จำเป็นต้องรีบหรอก’
ทุกครั้งที่อาเรียพูดแบบนั้น เธอก็มักจะส่ายหน้าออกมาพร้อมกับสีหน้าที่ไม่ไขว้เขวเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่พอมาได้ยินคำนั้นที่นี่แล้ว ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
“จะว่าอะไรไหม…”
เพราะอย่างนั้นเอง ลิเป้จึงเรียกอาเรียขึ้นมาเบาๆ
ท่าทางของเธอดูเหมือนจะร้องขออะไรสักอย่าง อาเรียจึงพยักหน้าเชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร
ดังนั้นลิเป้ที่ลังเลพร้อมกับส่ายตาไปมาก็ได้กำมือแน่นขึ้นอีกครั้งและพูดต่อไปว่า
“หนูขอกอดสักครั้ง…”
ทว่าเธอกลับอายที่จะพูดให้จบประโยค
และตั้งใจว่าจะยกเลิกคำขอนั้น-
“มานี่สิ”
อาเรียตอบรับคำขอของลิเป้ในทันที
“จะ จริงเหรอคะ”
ลิเป้ย้อนถามอย่างตะกุกตะกักด้วยสงสัยว่าตนเองไม่ได้ฟังผิดไปใช่หรือไม่ อาเรียหลุดหัวเราะออกมา
“จริงสิ”
อาเรียตั้งใจจะบอกให้ลิเป้กอดเธอได้เต็มที่ แต่ลิเป้กลับลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและเข้าไปกอดอาเรียไวกว่าที่เธอจะทันได้พูดอะไรออกมา
“ขอโทษค่ะ ที่หนูเห็นแก่ตัว หนูขอโทษที่คิดถึงตัวเองก่อน…”
หนูขอโทษที่พูดว่าอย่าทิ้งหนูออกมาก่อน แทนที่จะพูดว่าไม่อยากให้แม่ป่วย ลิเป้พูดออกมาเช่นนั้นและมุดหน้าลงบนไหล่อาเรีย
“จะเห็นแก่ตัวอีกหน่อยก็ได้ ถ้าฉันไม่ปกป้องเธอแล้วใครจะทำเล่า”
แม้เธอจะพูดออกมาเพื่อปลอบใจ แต่เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ลิเป้ก็ร้องไห้สะอื้นขึ้นมา อาเรียจึงได้แต่ฝืนยิ้มออกมาและลูบผมสั้นๆ ของเด็กน้อยไปด้วย
เห็นทีคงต้องใช้กำลังคนออกตามหาข้อมูลให้เร็วที่สุดเสียแล้วสิ
***
‘ลิเป้…นี่เธอไม่สบายรึเปล่า’
บลิสถามออกมาอย่างระมัดระวัง จากนั้นลิเป้ก็กลืนเค้กที่มีอยู่เต็มปากดังเอื๊อกและย้อนถามกลับไปว่า
“เปล่านี่ ทำไมล่ะ”
“จริงเหรอ แล้วทำไมถึงกินเค้กเยอะขนาดนั้นล่ะ ปกติเธอไม่กินอะไรแบบนี้นี่นา”
อ้ำ ทันทีที่บลิสถามจบลิเป้ก็ตักเชอร์เบทมะนาวเข้าปากทันที
ไม่สิ ยัยนั่นไม่ได้ชอบเชอร์เบทมะนาวเลยนี่นา แล้วทำไมถึงกินมันเข้าไปล่ะ
บลิสเบิกตาโพลง ดวงตากลมโตของเธอมองตามมือที่กำลังสาละวนอยู่กับขนมหวาน
แต่ถึงอย่างนั้นลิเป้ก็ยังตักตวงขนมหวานต่อไปอีกสักพัก ก่อนจะวางช้อนลงบนโต๊ะและพูดคำตอบที่แท้จริงออกมา
“ก็เพราะว่าภาพลักษณ์ตอนกินเค้กน่ารักๆ มันดูเหมือนเด็กที่เชื่อคนง่ายไงล่ะ แล้วก็ดูไม่สง่าด้วย”
“ขนมหวานเนี่ยนะ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย…กินเยอะๆ ก็ได้นี่นา…ว่าแต่ทำไมตอนนี้เธอถึงกินมันล่ะ”
“เพราะว่าที่นี่ไม่มีใครรู้จักฉันไงล่ะ ฉันเลยอนุญาตให้กินได้สักสองสามวัน อนุญาตตัวฉันเองนี่แหละ”
และเพราะว่าอาเรียบอกให้ทำตัวให้สมกับเป็นเด็กด้วยนั่นแหละ
ถ้ากลับไปแล้วละก็ ฉันจะไม่ทำแบบนี้เป็นอันขาด ฉันจะทำตัวให้สมกับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่สง่าและน่ายกย่องมากยิ่งขึ้นเพื่อกลบความงี่เง่าของยัยซื่อบื้อนั่น
ลิเป้สัญญากับตัวเองไว้เช่นนั้นและเช็ดปากด้วยผ้าเช็ดปาก แล้วจู่ๆ ก็นึกอะไรดีๆ ที่จะใช้แกล้งบลิสขึ้นมาได้
ในเมื่อทำให้คนอื่นต้องเสียน้ำตา เจ้าตัวก็ควรจะได้รู้สึกแบบนั้นบ้างไม่ใช่รึไง
ลิเป้พูดออกมาอีกครั้งราวกับว่ายอมแพ้ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
“และอีกอย่างยังไงฉันก็ต้องตายในอีกไม่กี่วันอยู่แล้ว ฉะนั้นแล้วฉันจะหักห้ามใจตัวเองไปทำไมล่ะ ต่อจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตตามใจชอบแล้วละ ขอบใจนะบลิส เพราะเธอแท้ๆ ฉันถึงได้กินขนมหวานจนหมดได้น่ะ”
บลิสทำหน้าบึ้งตึงเมื่อได้ยินคำพูดเสียดแทงเข้า แต่เพราะลิเป้พูดถูก บลิสจึงตอบโต้อะไรไม่ได้
ยิ่งกว่านั้นพอได้เห็นท่าทางสิ้นหวังของลิเป้ที่พูดว่าจะทำตามใจตัวเอง ต่างไปจากตอนที่โมโหและเอาแต่จะห้ามเธอให้ได้เข้าแล้ว ความรู้สึกผิดที่เก็บเอาไว้ตลอดมาก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้น
“ก็มันไม่มีวิธีที่ฉันจะหายไป…ได้คนเดียวนี่ ลิเป้ เธอน่ะออกจะฉลาดและแข็งแรงแบบนี้ ควรจะเป็นฉันคนเดียวที่ต้องหายไป…ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะดีต่อแม่ พ่อ และก็ข้ารับใช้คนอื่นด้วย”
“มันจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเราเป็นฝาแฝดกัน”
ลิเป้ยักไหล่และถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ถ้างั้น ถ้าอย่างนั้น หากให้เธอช่วยทำให้พลังของฉันไม่ตื่นขึ้นมาและปล่อยให้ฉันตายไปล่ะ”
“มันทำได้เสียที่ไหนล่ะ”
จะขอร้องให้ฉันบีบคอเธอหรือยังไงกัน หัดพูดอะไรที่มันเป็นไปได้เสียบ้างสิ
ยิ่งไปกว่านั้นถ้าทำแบบนั้นได้จริงๆ ละก็ ท่านแม่คงจะดีใจตายเลย
ลิเป้ปรายตาและปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขัน และนั่นทำให้บลิสหน้าบึ้งตึงยิ่งกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าหากพูดแทงใจดำไปอีกหลายๆ รอบละก็ บลิสคงจะได้เอ่ยปากขอโทษและชวนกลับไปยังอนาคตขึ้นมาเสียแล้ว
‘ทำให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ดีไหมนะ’
ไม่ว่าที่นี่จะดีมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางเทียบกับที่เดิมที่ฉันอยู่ได้เลย อยากกลับไปอนาคตให้เร็วขึ้นสักวันก็ยังดี
ลิเป้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นบลิสซึ่งดวงตาปริ่มไปด้วยน้ำตาก็สูดน้ำมูกและพูดออกมาว่า
“ฉันขอโทษนะลิเป้…แต่ว่าฉันรักแม่มากกว่าลิเป้ ฉันไม่อยากให้แม่ป่วยยย…และยิ่งฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่เป็นแบบนั้นด้วยแล้ว ฉันก็รู้สึกเสียใจอยู่ทุกวันเลย”
“เธอนี่…พูดเรื่องแบบนี้เก่งจริงๆ เลยนะ ไอ้เรื่องแย่ๆ เนี่ย”
“มะ ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ได้เกลียดลิเป้นะ! ฉันก็ชอบลิเป้ด้วย ก็ลิเป้น่ะเหมือนแม่ทั้งหน้าตา นิสัย และก็ความฉลาดนี่นา ต่างกับฉัน…ฉันน่ะ…เอาแต่ป่วยและไม่มีประโยชน์ด้วย ถ้าไม่มีฉันละก็คงจะดีกว่านี้”
บลิสน้ำตาร่วงเผลาะ ดูเหมือนเธอจะเศร้าใจกับสิ่งที่ตนเองพูด ว่าถ้าไม่มีตนเองคงจะดีกว่านี้
แต่เพราะบลิสไม่ได้เป็นแบบนี้แค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น ลิเป้จึงไม่ได้สะทกสะท้านอะไร เธอเพียงแค่ดื่มน้ำสตรอว์เบอร์รีด้วยสีหน้าที่ไม่ยินดียินร้ายอะไรเท่านั้น
ในระหว่างนั้น บลิสพยายามครุ่นคิดก่อนจะตบฝ่ามือขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าที่ดูสดใสราวกับหาทางออกดีๆ ได้แล้ว
“อย่ากังวลไปเลยลิเป้! ฉันจะเปิดเผยความจริงทุกอย่างและขอให้ฉันหายไปแค่คนเดียวเอง! “
“ยังไงล่ะ”
“ผ่าตัดไงล่ะ! ”
“แหม เป็นวิธีที่ดีจริงๆ เลยนะเนี่ย คิดว่าการผ่าตัดมันเป็นเรื่องง่ายๆ รึไง”
แม้ลิเป้จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องการแพทย์สักเท่าไหร่ แต่เธอก็รู้ว่าการกรีดเนื้อของใครสักคนและทำให้มันกลับไปอยู่ในสภาพเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
บลิสทำหน้าบึ้งขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นลิเป้ก็ติบลิสกลับไปอย่างหนักแน่นว่า‘ถ้ามันออกมาจากหัวเธอละก็ ไม่ว่าจะวิธีไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ’แล้วก็ดูดน้ำผลไม้อีกครั้ง
‘หืม เห็นทีคงต้องหยุดโน้มน้าวบลิสไว้แค่นี้และรอดูจนกว่าจะถึงวันพิธีราชาภิเษกแล้วสิ’
น้ำผลไม้ที่ฉันเลี่ยงไม่กินมาตลอดมันอร่อยได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย เค้กก็อร่อย เชอร์เบทก็รสชาติไม่เลวเลย
ถ้ากลับไปก็จะกินแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว คงต้องกินมันให้หนำใจเสียที่นี่แล้วล่ะ
……………………………..