บทที่ 232 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 23)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

***

“พรุ่งนี้เช้าคงจะไปเดินชมงานเทศกาลได้แล้วละนะ”

“จริงเหรอ! ”

เย้! บลิสวิ่งพรวดพราดเข้ามากอดเอวอาเรียซึ่งนำข่าวดีมาแจ้ง

แล้วใครกันที่ทำหน้าเครียดบอกว่าจะหาวิธีแก้ไขให้ได้น่ะ

แม้จะอยากจับผิดอาเรียที่ทำหน้าตื่นเต้นดีใจราวกับว่าลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้วก็ตาม แต่เพราะลิเป้ก็รอคอยงานเทศกาลเช่นเดียวกัน เธอจึงได้แต่ยุ่งอยู่กับการพยายามไม่ให้มุมปากของตนเองยกยิ้มขึ้นมา

“ฉันต้องไปดูแลเรื่องการเตรียมงานเทศกาล วันนี้พวกเธอเล่นด้วยกันสองคนไปแล้วกันนะ ส่วนมื้อเย็นก็ไปทานที่ห้องอาหารเหมือนอย่างเคยก็ได้”

เมื่อได้ยินอาเรียบอกให้กินข้าวแยกกันเพียงแค่วันเดียวขึ้นมา บลิสก็ถามออกมาด้วยสีหน้าราวกับโลกทั้งใบได้สลายลงไป

“หนะ หนูไปด้วยไม่ได้เหรอ…! ”

“ไม่รู้สิ พิธีเปิดอย่างเป็นทางการคือวันพรุ่งนี้ละนะ ตอนนี้น่ะยังไม่มีการแสดงหรือร้านขายของที่พร้อมเปิดอยู่หรอก พวกเธอยังไม่ต้องไปก็ได้”

เนื่องจากเร่งเวลาเข้ามาอย่างกระชั้นชิด จึงทำให้เริ่มงานในวันพรุ่งนี้ได้อย่างหวุดหวิด

เมื่อเห็นอาเรียแสดงท่าทีปฏิเสธออกมา บลิสก็ทำหน้ามุ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

เทียเรนที่สังเกตการณ์อยู่ในระหว่างนั้นก็ได้แทรกพูดขึ้นมาพร้อมกับทำสีหน้าขออภัยในความเสียมารยาทของตนเป็นอย่างยิ่ง

“ที่จริงแล้วดิฉันได้เรียกนักดนตรีมาจำนวนหนึ่งเพราะอยากจะให้พระชายาได้เห็นก่อนค่ะ”

เทียเรนอธิบายต่อไปว่าแม้จะมีนักดนตรีไม่ครบ แต่ก็เป็นจำนวนที่สามารถให้ความเพลิดเพลินได้

“ถ้าอย่างนั้นหนูก็ไปด้วยได้ใช่ไหม! ”

หืม อาเรียกอดอกและครุ่นคิดเมื่อเห็นบลิสตาลุกวาวขึ้นในทันที

จากนั้นก็สังเกตดูท่าทางของลิเป้แบบเงียบๆ และได้เห็นว่าริมฝีปากน้อยๆ นั่นกำลังขยับมุบมิบอยู่ ท่าทางลิเป้เองก็คงอยากจะไปเช่นเดียวกัน

“ดิฉันจะคอยนำทางให้เป็นอย่างดีเลยค่ะ”

ยิ่งกว่านั้นแม้แต่เทียเรนเองก็ยังออกตัวว่าจะช่วยนำทางให้อีก ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วก็คงจะค้านต่อไปไม่ได้เสียแล้ว

“ตกลง”

‘เย้! ’ทันทีที่อาเรียอนุญาต บลิสก็กรี๊ดออกมาอย่างชอบใจ

แม้แต่ลิเป้ที่พยายามแสร้งทำเป็นไม่สนใจก็ยังไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นอาเรียก็คิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ดีเอามากๆ และพูดขึ้นมาว่า

“แต่มีข้อแม้ว่าถ้ารู้สึกเหนื่อยหรือล้าขึ้นมานิดหน่อยละก็ ต้องบอกออกมาทันทีนะ เพราะไม่ใช่งานเทศกาลที่จัดขึ้นมาสั้นๆ อยู่แล้ว จะไปดูอีกทีเมื่อไหร่ก็ได้”

“อื้ม! ”

***

‘หนะ เหนื่อยจัง…’

ใครกันนะที่สัญญาว่าจะบอกออกมาทันทีถ้ารู้สึกไม่ไหวขึ้นมา

แม้จะรู้สึกเหนื่อยแทบจะหมดแรงแล้วก็ตามแต่บลิสก็พยายามไม่แสดงอาการออกมาให้เห็น

ไม่ใช่เพราะงานเทศกาลที่ยังไม่เริ่มมันสนุกสนานหรืออย่างใด

และก็ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดต่อเทียเรนที่คอยแนะนำงานเทศกาลซึ่งถูกวางแผนออกมาด้วยความมุ่งมั่นด้วย

“นักดนตรีคนนั้นฝีมือไม่เลวเลยนี่ ดูมีความสามารถและก็มีเซนส์ทางดนตรีด้วย”

เหตุผลที่บลิสทนเหนื่อยก็คือการที่เธอได้เดินไปโน่นมานี่พร้อมกับอาเรียนั่นเอง

ยิ่งกว่านั้นหากอดทนต่ออีกหน่อยละก็ เธอได้ยินว่าอาซจะมาเดินดูงานเทศกาลด้วย ฉะนั้นแล้วจะแสดงอาการเหนื่อยออกมาและกลับไปคนเดียวไม่ได้อย่างเด็ดขาด

“บลิสเธอไหวไหม”

ลิเป้ที่สังเกตเห็นท่าทางของบลิสได้ถามออกมาพร้อมกับสะกิดไปที่สีข้างของบลิสเบาๆ

“อืม…”

หากเป็นดั่งเช่นปกติแล้วละก็เธอคงจะโมโหดิ้นพรวดพราดออกมาแล้ว

แต่นี่กลับพยักหน้าออกมาเบาๆ เท่านั้น นั่นจึงทำให้ลิเป้เข้าใจได้ว่าบลิสอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“กลับกับเถอะ”

“ทำไม ทำไมล่ะ”

“ก็เธอไม่สบายนี่นา ถ้าเป็นลมไปอีกจะทำยังไงเล่า”

“เปล่านะ ฉันไม่เป็นไร ฉันแข็งแรงมากเลยต่างหาก…”

ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่หางเสียงกลับค่อยๆ เอื่อยลง แถมยังดูแก้มแดงขึ้นขึ้นมาอีกด้วย

จะทนได้นานสักเท่าไหร่กัน สิบนาที ไม่สิ ห้านาที ไม่หรอก แบบนี้คงแค่นาทีเดียวละมั้ง

ลิเป้ขมวดคิ้วออกมาพร้อมกับคาดเดาเอาไว้ในใจ เธอตั้งใจจะเรียกอาเรีย-

“ทะ ทะ เทียเรน! นั่นมันอาหารเสียบไม้ไม่ใช่เหรอ! “

บลิสเห็นเข้ากับร้านค้าที่เพิ่งจะเปิดทำการ เธอลุกพรวดขึ้นมาและตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดังก้อง

“อ๊ะ! ใช่แล้วค่ะ แม้ว่างานจะเริ่มจริงๆ ในวันพรุ่งนี้ แต่ดิฉันได้แจ้งแล้วว่าหากเตรียมการพร้อมแล้วก็สามารถเปิดร้านได้เลยค่ะ ดูเหมือนร้านนี้จะเปิดก่อนวันจริงน่ะค่ะ”

“ฉัน ฉัน ฉัน ฉันน่ะ ฉันน่ะ! ฉันอยากกิน ฉันอยากกินอันนั้น…! “

ก็แค่อาหารเสียบไม้เท่านั้น ทำไมต้องพูดตะกุกตะกักแบบนั้นด้วยล่ะ

เพราะอาเรียเป็นคนให้เงินทุนและสั่งให้ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีในการทำอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่บลิสจะกินไม่ได้

“เอาสิ”

พออาเรียอนุญาต บลิสก็วิ่งพรวดเข้าไปที่ร้านเร็วอย่างกับลูกปืน

จากนั้นเมื่อคุยกับคนขายอยู่สักพักก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าเหยเก

“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ! ”

คนขายทำอะไรผิดขึ้นมาอย่างนั้นรึเปล่า! เทียเรนถามออกมาอย่างตกอกตกใจ บลิสสะอื้นและตอบออกมาว่า

“ฉันนน ไม่มีเงินนน…”

“…อ่า! ”

โถ่

ในระหว่างที่เทียเรนค้นกระเป๋าเสื้อตัวเองด้วยความคาดไม่ถึงนั้น ‘หึๆ ’ อาเรียที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ และใช้มือเรียกข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ

“ตามไปจ่ายเงินให้ทีนะ”

“ค่ะ พระชายา”

เมื่อได้รับกระเป๋าสตางค์ที่ไม่มีวันหมดมาแล้ว บลิสก็ลั้นลาเดินจับมือข้ารับใช้ไปทางร้านค้าอีกครั้ง

อาเรียพูดกับลิเป้ที่กำลังจิ๊ปากมองบลิสขึ้นมาว่า

“ลิเป้ มัวทำอะไรอยู่ทำไมไม่ไปด้วยกันล่ะ”

“…คะ”

ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าอยากกินแท้ๆ แต่กลับทำสีหน้างุนงงออกมาราวกับจะถามว่า‘หนูเหรอคะ’ ‘หมายถึงอะไรกัน’

เพราะอาเรียพอจะรู้นิสัยของลิเป้อยู่ เธอจึงยิ้มบางๆ และอธิบายต่อไปว่า

“พอดีว่าไม่มีร้านอาหารที่สามารถจองได้น่ะ น่าเสียดายหน่อยนะ แต่เห็นทีมื้อเย็นนี้เธอคงต้องกินอาหารจากร้านข้างทางแทนแล้วละ”

คนอย่างอาเรียไม่จำเป็นต้องจองร้านอาหารร้านไหนในแผ่นดินล่วงหน้าด้วยซ้ำ

ลิเป้รู้ความจริงข้อนี้ดีและรู้ว่าอาเรียไม่ได้หมายความตามที่พูดจริงๆ เพราะอย่างนั้นลิเป้จึงไม่พูดอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“ถ้า ถ้าอย่างนั้นก็ทำอะไรไม่ได้สินะคะ”

“ใช่แล้ว เพราะอย่างนั้นก็ไปกินเถอะ”

“…ค่ะ! ”

เมื่อกี้ยังทำท่าไม่อยากอยู่แท้ๆ แต่ตอนนี้ลิเป้กลับวิ่งไปยังร้านข้างทางไม่น้อยหน้าบลิสเลย

อาหารเสียบไม้มันดูพิเศษขนาดนั้นเลยหรือยังไงกันนะ แม้จะเป็นเด็กที่เติบโตจากในวังแต่เพราะเป็นเด็กที่ตนเองคลอดออกมา อาเรียจึงเห็นภาพเด็กๆ ซ้อนทับกับตัวเธอตอนยังเป็นเด็กขึ้นมา

เพราะเป็นภาพที่ดูน่ารักมาก อาเรียจึงยิ้มขึ้นมาและหันกลับไปยังนักดนตรีที่อยู่บนเวทีอีกครั้ง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงร้องของลิเป้ที่เพิ่งจะวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“บะ บลิส! ”

“คุณหนูบลิสค่ะ! ”

อาเรียตกใจและหันกลับไปดู สิ่งที่เธอเห็นก็คือบลิสล้มหมดสติพร้อมกับอาหารเสียบไม้ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ตกอยู่บนพื้น

***

“ฝืนใช้แรง…มากเกินไปค่ะ”

เมื่อได้ฟังคำวินิจฉัยของหมอหลวงเข้า อาเรียก็ยกมือขึ้นมายันหน้าผาก

เป็นแบบนี้ละก็เห็นทีหมอหลวงประจำตัวฉันจะได้กลายเป็นหมอประจำตัวบลิสเสียแล้วสิ

อาเรียโบกมือเป็นเชิงบอกปฏิเสธขึ้นมาเมื่อหมอหลวงพยายามจะพูดคำอธิบายครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ออกมาอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นดิฉันจะจัดยาแบบเดิมให้นะคะ”

ทันทีที่หมอหลวงออกไป เทียเรนที่พยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ก็โค้งศีรษะลงมา

“ดิฉัน ดิฉันควรจะเอาใจใส่ให้มากกว่านี้แท้ๆ…! เพราะเป็นงานสำคัญที่ได้รับมอบหมายเป็นครั้งแรก ดิฉันเลยมุ่งมั่นกับมันมากกว่าสิ่งใด…! ดิฉันไม่มีข้อแก้ใดๆ ทั้งสิ้นค่ะ…! “

“ที่มันเป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะเธอหรอก ปกติยัยซื่อบื้อนี่ร่างกายอ่อนแออยู่แล้วต่างหาก”

ลิเป้มองบลิสที่ฝืนร่างกายจนหมดสติลงอีกครั้งและพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชาก่อนจะออกจากห้องไปเพื่อคลายความโมโห

แต่เทียเรนกลับเข้าใจผิดและก้มศีรษะลงมากกว่าเดิมพร้อมกับขอโทษออกมา

“ทั้ง ทั้งๆ ที่ดิฉันควรจะสังเกตว่าคุณหนูร่างกายไม่แข็งแรงแท้ๆ…! ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูงค่ะ…! ”

ดูเหมือนว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปเทียเรนคงได้ขอรับผิดชอบด้วยขอการลาออกแน่ๆ

เนื่องจากเทียเรนไม่ได้ทำผิดเลยแม้แต่น้อย อาเรียจึงช่วยแก้ไขสิ่งที่เจ้าตัวกำลังเข้าใจผิดให้

“ไม่หรอก บลิสร่างกายไม่แข็งแรงก่อนจะเกิดออกมาอยู่แล้ว เพราะผ่านช่วงวิกฤติมาได้อย่างหวุดหวิดเลยเกิดมามีร่างกายที่อ่อนแอยังไงละ เธอเองก็หยุดขอโทษได้แล้ว คนที่ขอโทษควรจะเป็นฉันเสียกว่า ที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า”

“คะ ! มะ มะ มะ ไม่ใช่เลยค่ะ…! “

เทียเรนไม่นึกเลยว่าอาเรียจะพูดคำว่าขอโทษออกมา เธอก้มหน้าลงจนหน้าผากติดพื้น

“ก่อนจะขอโทษมากไปกว่านี้ ฉันว่าเงยหน้าขึ้นมาเถอะ ยังไงพอป้อนยาแล้วเดี๋ยวบลิสก็ดีขึ้น ส่วนเธอก็ไปพักเถอะ”

ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปคงจะยุ่งจนไม่ได้พักแน่ๆ จะมัวมาเสียเวลาอยู่ที่นี้ได้ยังไงกัน ถ้าไม่มีเธอละก็งานเทศกาลคงยุ่งเหยิงไม่เป็นท่าเอาแน่ๆ

คำพูดอ่อนโยนที่อาเรียพูดต่อมานั้นทำเอาเทียเรนน้ำตาคลอ

“คะ ค่ะ…! ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ พระชายา”

เพราะอย่างนั้น เทียเรนถึงได้เอ่ยอะไรไร้สาระออกมา

“หากคุณหนูบลิสมีวาสนากับหมู่บ้านดิฉันก็คงจะแข็งแรงขึ้นได้ในทันทีแท้ๆ น่าเสียดายจริงๆ ค่ะ…”

“…หมายความว่ายังไงน่ะ”

และอาเรียก็ไม่ปล่อยให้สิ่งที่เทียเรนพูดผ่านไปง่ายๆ

เมื่อถูกอาเรียถามเข้า เทียเรนก็ยกมือมาปิดปากทันทีพร้อมกับสีหน้าที่บอกว่าตนเองพลาดไปเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่ตอบออกมาตรงๆ และพูดอ้อมค้อมไปมา

“คะ คือ…คะ คือว่า หมู่บ้านของดิฉันมีบรรยากาศ บรรยากาศที่ดีน่ะค่ะ…ดิ ดิฉันจำได้ว่ามักจะได้ยินเรื่องเล่าว่าหมู่บ้านของดิฉันตั้งอยู่ในพื้นดินที่ดีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วน่ะค่ะ…! ”

เป็นคำตอบที่ดูน่าสงสัยยิ่งนัก เทียเรนต้องปิดบังอะไรอยู่แน่ๆ

แม้แต่เทียเรนเองก็คงคิดว่านี่เป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด เจ้าตัวถึงได้ทำหน้าราวกับจะร้องไห้ขึ้นมาและขบริมฝีปากเอาไว้

เมื่อแน่ใจว่าต้องมีอะไรปิดบังเอาไว้แน่ๆ แล้ว สีหน้าของอาเรียก็ดูเยือกเย็นขึ้นมา

“ถ้าเธอไม่ตอบออกมาดีๆ แล้วละก็”

ถ้าไม่แล้วละก็ พออาเรียเงียบไป เอื๊อก เสียงกลืนน้ำลายของเทียเรนดังก้องไปทั่วทั้งห้องที่เงียบงัน

“ความเชื่อใจที่ฉันมีให้เธอจะหายไปทั้งหมด”

ทั้งที่คิดว่าจะถูกลงโทษอย่างหนักและกลัวจนเหงื่อไหลออกมาเลยแท้ๆ แต่อาเรียกลับตอบออกมาแค่ว่าจะไม่ไว้ใจเธอแค่นั้นเองน่ะเหรอ

แต่เพราะนั่นเป็นถึงความไว้วางใจจากพระชายา สิ่งที่จะต้องเสียไปจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย

ยิ่งไปกว่านั้นมันจะจบลงเพียงแค่เสียความไว้วางใจเท่านั้นจริงๆ หรือ

หากเป็นคนที่มีอำนาจอย่างอาเรียแล้วละก็ จะต้องสืบหาเรื่องราวที่ถูกปิดบังเอาไว้ได้ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อยที่ตนทำรั่วไหลออกไปแน่ๆ

ยังไงก็ต้องรู้ความจริงเข้าแน่ๆ สู้พูดออกไปตอนนี้เลยคงจะดีเสียกว่า

เทียเรนประเมินสถานการณ์ในระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะหลับตาและก้มศีรษะลงต่ำอีกครั้ง

“ดิฉันจะเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังค่ะ…! ที่ปิดบังเอาไว้ก็เป็นเพราะทำเพื่อหมู่บ้านเล็กๆ เท่านั้นค่ะ ขอพระชายาทรงเห็นใจและให้อภัยด้วยเถิดค่ะ! “

คำตอบที่ฟังดูเหมือนกับกำลังซ่อนความลับอันยิ่งใหญ่อะไรเอาไว้

อาเรียอยากรู้ว่านั่นจะใช่คำตอบที่เธอคาดหวังเอาไว้หรือไม่ เธอพยายามซ่อนความร้อนใจเอาไว้และเชิดคางขึ้นมาแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้าน

“ถ้าเธอพูดความจริงออกมาละก็ ฉันก็จะทำอย่างนั้น”

“ขะ ขอบพระคุณค่ะ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ…! ดิฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยค่ะ! ทุกอย่างเลยค่ะ! “

เทียเรนก้มหน้าลงอีกหลายครั้งราวกับได้รับพระกรุณาธิคุณอันใหญ่หลวง จากนั้นก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับหมู่บ้านของตนให้อาเรียฟังทั้งหมด

เมื่อได้ฟังเรื่องเล่าที่เหลือเชื่อทั้งหมดเข้า อาเรียก็กะพริบตาถี่ๆ และทวนสิ่งที่ตนเองเข้าใจออกมา

“เพราะอย่างนั้น…เธอกำลังจะบอกว่าอยู่มาวันหนึ่งก็มีเทพที่มีพลังรักษาโรคปรากฏตัวขึ้นในหมู่บ้านของเธอ และหลังจากที่เทพองค์นั้นเสียชีวิตลง ก็เกิดทะเลสาบแห่งใหญ่ขึ้นมารอบๆ หลุมศพของเขา และหากได้ดื่มน้ำจากทะเลสาบนั้นละก็ จะรักษาโรคทุกอย่างให้หายไปได้อย่างนั้นเหรอ…”

“แม้ว่ามันจะไม่น่าเชื่อก็ตาม…แต่นั่นเป็นเรื่องจริงค่ะ เทพองค์นั้นได้บอกเอาไว้ว่าไม่อยากให้คนภายนอกรู้ถึงพลังนี้ และหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไปก็กลัวว่าจะมีเรื่องอันตรายขึ้นมา เลยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจนถึงตอนนี้ค่ะ จริงๆ นะคะ…”

แม้จะขอร้องให้เชื่อที่ตัวเองพูดก็ตาม แต่เทียเรนก็ไม่ได้พูดมันออกมาอย่างมั่นใจ เพราะคิดว่าอาเรียต้องไม่เชื่อเธอนั่นเอง

เนื่องจากเป็นเรื่องที่เหมือนกับออกมาจากหนังสือนิทาน เทียเรนจึงคิดว่าอาเรียคงจะโมโหและดุด่าเธอว่าอย่ามาโกหกแน่ๆ

ทว่าอาเรียไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย

เทพที่มีพลังรักษาอย่างนั้นหรือ

รู้สึกว่าเหมือนกับว่าจะเดาบางอย่างได้ละนะ

‘อย่าบอกนะว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ออกจากวังไปน่ะ…! ’

ไม่ใช่แค่เรื่องที่มีพลังเท่านั้น แต่ยังไม่อยากให้คนภายนอกรู้เรื่องนี้อีกด้วย

คงจะถูกโจมตีจากที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็รอดตายด้วยเหตุผลอื่นพลังถึงได้ตื่นขึ้นมาแน่ๆ

จากนั้นก็คงจะไปตั้งหลักปักฐานที่หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองไว้เหมือนกับจักรพรรดิคนปัจจุบันไม่ผิดแน่ ไม่สิ มีเพียงแต่ต้องทำอย่างนั้นเท่านั้น

‘แม้ว่าการสร้างทะเลสาบหลังจากตายขึ้นมาและหลงเหลือพลังทิ้งไว้จะฟังดูไม่น่าเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วละก็…! ’

ถ้าเป็นเรื่องจริงละก็นี่อาจจะช่วยบลิสกับลิเป้ได้ไม่ใช่หรือ

หากได้ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์นั่นก่อนที่หัวใจของบลิสจะหยุดเต้นละก็ บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาตั้งแต่แรกก็ได้

อาเรียคิดเช่นนั้นพร้อมกับใจที่เต้นแรงขึ้น เธอไม่สามารถซ่อนแก้มที่ร้อนผ่าวขึ้นมาได้และหันหน้าไปทางเทียเรน

“เทียเรน เอาน้ำนั่นมาให้ฉันซะ ถ้าเธอทำอย่างนั้นละก็ ฉันจะมอบความมั่งคั่งที่ทั้งเธอและคนในหมู่บ้านไม่สามารถใช้ได้หมดทั้งชีวิตนี้ให้”

…………………………..