บทที่ 233 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 24)

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อเห็นอาเรียพูดอย่างมั่นใจว่าเธอพร้อมให้ได้ทุกอย่างขอเพียงแค่เอ่ยออกมาเท่านั้น เทียเรนก็กลั้นหายใจเฮือกใหญ่

เธอไม่ได้ตกตะลึงกับโอกาสอันงามที่ได้รับมาอย่างฉับพลันแต่อย่างใด

แต่เป็นเพราะรู้สึกลำบากใจที่ต้องรับฟังคำขอที่เจ้าตัวไม่สามารถตอบรับได้

“พระ พระชายาคะ ดิ ดิฉันขอประทานอภัยเป็นอย่างยิ่งค่ะ แต่ผู้คนในหมู่บ้านของดิฉันปฏิบัติตามเจตจำนงของเทพผู้นั้นและไม่ต้องการให้ความลับถูกเปิดเผยไปยังภายนอกค่ะ…! ”

พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพราะต้องการครอบครองพลังเพียงกลุ่มเดียวแต่อย่างใด

และก็ไม่มีใครคนไหนนำเอาพลังนั้นมาใช้เพื่อความร่ำรวยของตนด้วย

ชาวบ้านพวกนั้นเพียงแต่หวั่นกลัวว่าตนเองอาจจะได้รับอันตรายขึ้นมา หากคนภายนอกรับรู้ถึงพลังที่เทพได้หลงเหลือเอาไว้

“นะ แน่นอนว่าชาวบ้านทุกคนต่างก็กลัวว่าหากความลับรั่วไหลไปแล้วท่านเทพอาจจะพิโรธด้วยค่ะ…! และเพราะปิดเป็นความลับมาตลอดก็กลัวว่าจะโดนลงโทษด้วยค่ะ และก็-“

เพราะอย่างนั้นนอกจากจะก้มศีรษะลงแล้วเทียเรนยังพ่นคำแก้ตัวออกมายาวเหยียดอีกด้วย แต่น่าแปลกที่อาเรียไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษออกมาเลย

พระชายาจะโกรธและตวาดใส่ฉันไหมนะ

ในตอนนั้นเองที่เทียเรนซึ่งกำลังเม้มปากแน่นได้เงยหน้ามองอาเรียขึ้นมา

เธอคิดว่าตัวเองคงจะได้เห็นเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลแน่ๆ แต่ราวกับว่าคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นนั้นดันได้ผลขึ้นมา เพราะสีหน้าของอาเรียที่เธอเห็นนั้นดูสงบนิ่งมาก

แต่แล้วเทียเรนก็ตระหนักได้ในทันทีว่าอาเรียกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่

‘ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย คำแก้ตัวของฉันใช้ไม่ได้ผลเลยต่างหาก ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรไปมันก็ไร้ค่าในสายตาของพระชายาอยู่ดี…! ’

ในเมื่ออาเรียได้รู้ความลับเข้าแล้ว ความรู้สึกหรือเจตนาของเทียเรนและชาวบ้านก็ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป

เพราะคนที่อำนาจมากที่สุดในราชอาณาจักรอย่างอาเรียนั้นไม่มีสิ่งใดที่เธอครอบครองไม่ได้

แต่ถึงอย่างนั้นเหตุผลเดียวที่อาเรียยังนิ่งเฉยต่อเทียเรนก็คือ

‘หรือว่ากำลังให้โอกาสกับฉันอยู่อย่างนั้นหรือ…! ’

หมายความว่าจะให้ความเมตตาต่อฉันอย่างนั้นใช่ไหม

และมันก็ถูกต้องตามที่เทียเรนคิด

ในเมื่อทำงานอยู่ในพระราชวังแล้วแน่นอนว่าจะต้องมีบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเธอหลงเหลือเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้แน่

เพราะฉะนั้นหากคิดตามหลักการนี้แล้วละก็ อาเรียอาจจะเลือกขับไล่ชาวบ้านออกไปและเข้ายึดครองน้ำในทะเลสาบก็ได้เป็นได้

แต่เหตุผลเดียวที่อาเรียเลือกเสนอทรัพย์สินเงินทองให้เธอแม้ว่าจะมีวิธีง่ายๆ เช่นนี้อยู่นั้น เป็นเพราะอาเรียต้องการแสดงความมีน้ำใจต่อเทียเรนที่นำข้อมูลสำคัญที่ไม่คาดคิดมาให้ หรือไม่ก็ทำไปตามมารยาทนั่นเอง

เมื่อตระหนักได้ถึงเรื่องนี้แล้ว เทียเรนก็ยกมือขวาขึ้นมาตบหน้าตนเองเบาๆ

เป็นการลงโทษตนเองเบาๆ ว่าให้หยุดคิดอะไรไร้สาระและตั้งสติได้แล้วนั่นเอง

อาเรียตกใจเมื่อเห็นว่าจู่ๆ เทียเรนทำร้ายตัวเองขึ้นมา

“พระชายาคะ ได้โปรดลืมสิ่งที่ดิฉันพูดออกไปเมื่อกี้ด้วยเถิดค่ะ น้ำในทะเลสาบนั่นไม่ว่าจะยังไงดิฉันก็จะนำมาถวายพระชายาให้ได้ค่ะ”

อาเรียยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นเทียเรนสัญญาออกมาด้วยแววตาจริงจังไร้ซึ่งท่าทีพูดจาวกไปวนมา

“ดีมาก ถ้าเธอทำแบบนั้นให้ฉันได้ละก็ ฉันจะทำให้เธอกลายเป็นคนที่มั่งคั่งมากที่สุดในราชอาณาจักรนี้”

“ไม่เลยค่ะ นั่นไม่จำเป็นเลยค่ะ ขอเพียงแค่พระชายาให้อภัยต่อการกระทำอันไร้มารยาทของดิฉันและให้ดิฉันได้รับใช้ใกล้ๆ อย่างที่ทำอยู่ตอนนี้ก็มากเกินพอแล้วค่ะ”

อาเรียกะพริบตาช้าๆ จ้องมองแววตาที่ไร้ซึ่งคำโกหกของเทียเรน

ในทีแรกอาเรียคิดว่าเจ้าหล่อนเป็นเพียงผลไม้รสหวานที่บังเอิญโชคดีกลิ้งตกลงมาให้เห็นเท่านั้น แต่ดูเหมือนข้างในผลไม้นี้จะมีอัญมณีซ่อนอยู่เสียแล้วสิ

อาเรียคิดเช่นนั้น แต่แล้วเทียเรนก็กลืนน้ำลายดังอึกแล้วพูดออกมาว่า

“เพียงแต่ ดิฉันมีเรื่องอยากจะข้อร้องอย่างหนึ่งค่ะ”

“ขอร้องงั้นหรือ”

“ค่ะ ดิฉันไม่ได้หวังอะไรทั้งนั้นค่ะ แต่ไม่รู้ว่าพวกชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ มานานแบบนั้นจะคิดอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อที่จะโน้มน้าวพวกเขา-“

“ตกลง”

ทั้งที่เทียเรนยังพูดไม่จบ แต่อาเรียกลับตอบตกลงอย่างพึงพอใจ

“ถ้าไม่ถึงกับทำให้สมบัติฉันหมดไปละก็ จะใช้เท่าไหร่ก็ไม่ว่ากัน”

“มะ ไม่ถึงขนาดนั้นแน่นอนค่ะ! ดิฉันจะใช้เพียงน้อยนิดเท่านั้นค่ะ แค่นิดเดียวเท่านั้นค่ะ! “

เทียเรนที่รู้ว่าอาเรียมีทรัพย์สมบัติมหาศาลมากแค่ไหนรีบส่ายหน้าออกมาพร้อมกับความตกใจ

เธอตั้งใจจะใช้ทรัพย์สินของอาเรียให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไม่เป็นไรหรอก เธอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทีหลังก็ได้ เพราะฉันจะให้เธอรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งหมด ฉะนั้นก็ช่วยทำให้มันออกมาดีเหมือนกับที่เธอจัดการงานเทศกาลในครั้งนี้ด้วยล่ะ เพราะนี่เป็นเรื่องที่สำคัญกับฉันมาก อนาคตของฉันขึ้นอยู่กับเธอแล้วนะ”

อาเรียหวังว่าเทียเรนจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ให้เธอได้อย่างหมดจด โดยไม่สนว่าจะต้องใช้เงินมากเท่าไหร่

แววตาของเทียเรนฉายแววมุ่งมั่นออกมาเมื่อได้ยินอาเรียบอกว่าจะมอบหน้าที่อันใหญ่หลวงให้เธอรับผิดชอบ

นี่ถือเป็นครั้งที่สองแล้วที่อาเรียมอบโอกาสที่ไม่มีทางหาได้จากที่ไหนให้เธอ เทียบกันแล้วมันยิ่งใหญ่ต่อเธอมากกว่าเจตนาของเทพที่ทิ้งทะเลสาบเอาไว้แล้วจากไปเสียอีก เทียเรนคิด

“ดิฉันจะรีบนำกลับมาให้เร็วที่สุดค่ะ! ”

ฉันจะต้องนำผลลัพธ์ที่ทำให้พระชายาพึงพอใจกลับมาให้ได้ เทียเรนสัญญากับตนเองและรีบมุ่งไปยังบ้านเกิด

***

“อือ…กะ เกิดอะไรขึ้น…”

เมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูไร้เรี่ยวแรงของบลิสขึ้นมา ลิเป้ก็พูดออกมาอย่างเฉยชาโดยที่ยังถือหนังสือเอาไว้ในมือ

“จะอะไรเสียอีกล่ะ ก็เธอฝืนร่างกายตัวเองสุดท้ายเลยได้แต่อยู่ในห้องแทนที่จะไปเที่ยวงานเทศกาลน่ะสิ”

ตุ้บ บลิสทำหน้าราวกับว่ามีหินตกลงมาใส่ศีรษะตัวเอง และนั่นทำให้ลิเป้ถอนหายใจออกมา

ถ้าจะตกใจจนอึ้งขนาดนั้นละก็ เธอควรจะประเมินสภาพตัวเองแล้วค่อยๆ เดินเที่ยวเท่าที่พอไหวตั้งแรกสิ

“ก็แค่อาหารเสียบไม้ ไม่เห็นจะมันจะวิเศษตรงไหนเลย นอกจากจะไม่สะอาดแล้ว แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันไม่อร่อย อีกอย่างเธอไม่จำเป็นต้องฝืนร่างกายเพื่อที่จะได้กินมันเลยนี่นา เอาไว้ขอให้คนอื่นทำให้กินทีหลังก็ได้แท้ๆ ”

แน่นอนว่าลิเป้เองก็อยากลองกินอาหารเสียบไม้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ถึงขั้นที่ต้องทำให้ร่างกายตัวเองทรุดลง

เพราะอย่างนั้นจึงได้บ่นออกมา และดูเหมือนว่าบลิสจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาเธอถึงได้เบ้ปากและค่อยๆ พูดออกมาว่า

“ก็พ่อน่ะ…”

“…ท่านพ่อเหรอ”

“อืม…พ่อบอกว่าเมื่อก่อนเคยกินสิ่งนี้กับท่านแม่มาก่อน และก็บอกว่ามันอร่อยมากด้วย แถมยังกินเยอะมากๆ เลยด้วย…”

เนื่องจากเป็นเรื่องที่ได้ยินเป็นครั้งแรก ลิเป้จึงวางหนังสือในมือลง

“…เมื่อไหร่”

“ตอนแม่กับพ่อยังเป็นเด็ก”

ตอนยังเด็กงั้นเหรอ แล้วตอนที่พ่อแม่ยังเป็นเด็กจะไปเที่ยวงานเทศกาลและกินอาหารเสียบไม้ด้วยกันได้อย่างไรล่ะ

“เธอรู้เรื่องนั้นได้ยังไง แล้วได้ยินตั้งแต่เมื่อไหร่”

แม้จะอยากถามออกไปว่าทำไมเธอถึงได้ฟังเรื่องนั้นเพียงคนเดียวก็ตาม แต่ลิเป้ก็ห้ามใจเอาไว้และแสร้งถามออกไปอย่างนิ่งเฉย

“ฉันเองก็อยากไปเที่ยวงานเทศกาลเหมือนกันแต่ไปไม่ได้ เลยขอให้พ่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับงานเทศกาล แล้วพ่อก็เล่าให้ฟัง พ่อบอกว่าตอนนั้นพ่อไม่สบายแล้วแม่ก็แบบว่าเอาผ้ามาวางไว้บนหน้าผากให้ แต่แม่จำเรื่องนี้ไม่ได้”

คิกๆ บลิสหัวเราะชอบใจออกเพียงเดี๋ยวเดียว จากนั้นก็เศร้าขึ้นมาอีกครั้งและพูดต่อไปว่า

“เพราะอย่างนั้นฉันเลยบอกว่าอยากลองกินดูบ้าง แล้วพ่อก็บอกว่ารอให้ฉันแข็งแรงขึ้นกว่านี้แล้วค่อยไปด้วยกัน แต่ฉันรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นแบบนั้นได้แน่ๆ…”

เพราะอย่างนั้นฉันเลยฝืนร่างกายตัวเอง เพราะมันคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

คำพูดต่อมาของบลิสทำเอาลิเป้ถอนหายใจและเบือนหน้าหนี

พอได้ยินแบบนั้นแล้วเธอก็โมโหบลิสไม่ลง

‘บอกให้สิ้นเรื่องไปเลยดีไหมนะว่าท่านแม่กำลังหาวิธีแก้อยู่’

ลิเป้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ส่ายหน้าขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าตัวเองทุกข์ใจมากแค่ไหนในตอนที่ไปขอร้องอาเรีย

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูดอะไรออกไปสักอย่าง ลิเป้ลืมตาขึ้นมาอย่างดุดันและหันไปมองบลิสพร้อมกับบ่นออกมา

“ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าร้านอาหารเสียบไม้จะหนีไปเสียหน่อย ทำไมเธอต้องทำขนาดนั้นด้วย พักเอาแรงแล้วค่อยไปใหม่วันพรุ่งนี้ก็ได้นี่นา รู้รึเปล่าว่าเธอทำให้คนอื่นเขาตกใจมากแค่ไหน”

แต่กลับกลายเป็นว่าพอบลิสพูดสิ่งที่ตัวเองอยากพูดจบแล้วเธอก็ผล็อยหลับไปเสียดื้อๆ

“ขอ…โทษ…”

บลิสละเมอออกมา ขอบตาของเธอปริ่มไปด้วยน้ำตา

‘ให้ตายเถอะ เฮ้อ จริงๆ เลยนะเธอเนี่ย พี่สาวประสาอะไรกันเนี่ย แบบนี้แล้วให้ฉันเป็นพี่ยังดีเสียกว่า’

น่าขำจริงๆ เลย ถ้าเป็นแบบนี้ละก็ทำไมไม่ให้ฉันเกิดออกมาก่อนนะ

ทำไมถึงให้บลิสเกิดออกมาก่อนและต้องเจอกับสถานการณ์ที่ไม่น่าขำเลยแม้แต่น้อยแบบนี้ด้วย

ลิเป้นึกสมมุติถึงอดีตที่ไม่มีทางเป็นไปได้ขึ้นมา เธอถอนหายใจและหยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้ง

เพราะเหตุนั้นอาซที่ได้ข่าวบลิสและใช้พลังหายตัวมาจึงไม่กล้าที่จะออกมาให้เด็กๆ เห็น ความรู้สึกที่จุกแน่นอยู่ในอกทำให้เขาต้องหลบออกไปและหายตัวออกไปอีกครั้ง

***

เทียเรนขี่ม้าเป็นระยะเวลาสามวันสามคืนกว่าจะถึงบ้านเกิด เธอตะโกนเสียงดังลั่นเรียกชาวบ้านให้มารวมตัวกัน

“เดี๋ยวสิ นี่เทียเรนรึ! ไหนเขาว่าเธอเข้าไปทำงานในวังนี่นา ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ! ”

“ดูสภาพเธอก่อนสิ! โถ่ๆ ไม่น่าเลย! ”

“อาเบลล่า! ออกมาดูนี่เร็ว! ลูกสาวเธอกลับมาแล้ว! ”

ในชนบทเล็กๆ เช่นนี้เรียกได้ว่าเธอเป็นเด็กที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานคนหนึ่ง

แต่เทียเรนที่กลับมาอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปแค่หนึ่งปี กลับเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินทั่วทั้งร่าง สภาพของเธอไม่ต่างไปจากคนเร่ร่อนเลยสักนิด

“เทียเรน…”

เทียเรนหันไปมองแม่ของเธอที่กำลังนิ่งอึ้งพร้อมกับดวงตาที่เบิกโพลงขึ้นมาก่อนจะพูดออกมาท่ามกลางชาวบ้านทุกคนว่า

“หนู บอกความลับเรื่องน้ำในทะเลสาบไปแล้วค่ะ”

“…อะไรนะ! ”

“เธอว่าอะไรนะ! ”

“เฮือก! ”

คำสารภาพที่โพล่งออกมาอย่างกะทันหัน ทำให้ชาวบ้านพากันตกใจ บางคนถึงกับเป็นลมล้มพับลงไปเลยทีเดียว

เสียงตะโกนที่ร้องว่าเธอบ้าไปแล้วงั้นหรือพุ่งเข้าหาเทียเรน เธอหลบผู้เฒ่าที่กระโจนเข้ามาและพูดต่อไปว่า

“เพราะอย่างนั้นไหนๆ มันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว พวกเราอย่าเก็บมันเป็นความลับต่อไปอีกเลยค่ะ ทุกคนก็รู้นี่คะว่าเราไม่สามารถปิดมันไปได้ตลอดชีวิตหรอก”

“นี่ยังจะมาพูดแบบนั้นอีกหรือไง! ”

“อั๊ก! ”

ผู้เฒ่าใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีเข้าไปตีหัวเทียเรนที่ทำผิดแต่ยังพูดปาวๆ อย่างว่องไว

เพราะเป็นคนแก่ที่ไม่ได้มีเรี่ยวแรงอะไรมากนักเธอจึงไม่ได้รู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่ แต่เพราะผู้เฒ่าเอาแต่ทุบตีโดยไม่ยอมฟังที่เธอพูด เทียเรนจึงรู้สึกเสียใจขึ้นมาและมองหาแม่ของเธอในกลุ่มฝูงชน

“มะ แม่…อั๊ก! ”

แต่ช่างโชคร้ายที่อาเบลล่าแม่ของเธอไม่ได้คิดจะโอบกอดเธอเอาไว้เลยสักนิด

“นี่แกรู้ไหมว่าแกทำอะไรลงไป! ”

“อั๊ก! อั๊ก! ดะ เดี๋ยวก่อน! อั๊ก! “

เพราะอาเบลล่าเอาแต่ฟาดหลังเทียเรนไม่ยั้ง ผู้คนที่หลั่งไหลกันเข้ามาแสดงความโกรธเมื่อครู่จึงเริ่มก้าวถอยหลังออกไป

“พะ พอเถอะ! ”

“ใช่แล้ว อาเบลล่า! เดี๋ยวเด็กมันก็ได้ตายกันพอดีหรอก พอได้แล้ว อย่างน้อยก็ลองฟังเหตุผลก่อนเถอะ ไม่ใช่เอาแต่ทุบตีแบบนี้”

ในตอนนั้นเองที่คนรอบข้างห้ามขึ้นมา อาเบลล่าถึงได้ยอมหยุดตีเทียเรน เธอจัดผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงและพูดออกมาอย่างสุขุมว่า

“อธิบายมา ทำไมแกถึงทำแบบนั้นลงไป ถ้าแกตอบอะไรที่มันฟังไม่ขึ้นออกมาละก็ ฉันจะฝังแกทิ้งซะ”

“อะไรกัน ถึงกับต้องฝังกันเลยเหรอ…”

“เอ่อ อะฮึ่ม นั่นสิ เราต้องหาทางออกสิ ทำไมเอะอะอะไรก็เอาแต่จะฝังเด็กมันเล่า! ”

กลายเป็นว่าสุดท้ายแล้วผู้คนที่โกรธเทียเรนกลับช่วยปกป้องเธอขึ้นมาอย่างผิดคาด

อาเบลล่าพยักหน้าออกมาช้าๆ อย่างพึงพอใจราวกับว่าเธอกำลังรอให้เกิดสถานการณ์แบบนี้อยู่

แม้ว่าเทียเรนจะเข้าใจจุดประสงค์ของแม่ตัวเองเป็นอย่างดี แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าหากแม่จะตีเธอแรงขนาดนี้ สู้ถูกพวกคนแก่ที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงทุบเสียยังดีกว่าก่อนจะพูดออกมาว่า

“…พระชายาทรงต้องการน้ำในทะเลสาบค่ะ เพราะเด็กที่ท่านทรงเลี้ยงดูอยู่ร่างกายไม่แข็งแรงนัก และท่านยังตรัสด้วยว่าเพื่อแลกกับน้ำในทะเลสาบท่านให้ได้ทุกอย่าง ทั้งยังตรัสว่าจะทำให้หนูกลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในราชอาณาจักรด้วยค่ะ”

และเมื่อเทียเรนพูดออกมาว่าพระชายาจะไม่ลงโทษชาวบ้านทุกคนที่ปกปิดความลับนี้เอาไว้ และจะให้ค่าตอบแทนเท่าที่ทุกคนต้องการ ผู้คนที่พากันบ่นพึมพำก็เงียบลงทันที

“พูด…จริงเหรอ”

“มันจะเป็นไปได้รึไง คงจะพูดไปอย่างนั้นแล้วสุดท้ายก็มาจับพวกเราไปนั่นแหละ! ”

“ถ้าพระชายาตั้งใจจะทำอย่างนั้นละก็ คงไม่จำเป็นต้องส่งหนูมาถึงที่นี่หรอกค่ะ”

เมื่อเทียเรนอธิบายให้ชาวบ้านฟังอย่างสุขุมแล้ว พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าอาเรียไม่ได้คิดจะทำร้ายพวกตนจริงๆ

“ฮึ ฮึ้ม ถะ ถ้าให้ค่าตอบแทนอย่างเหมาะสมละก็นะ…”

“อะแฮ่ม นั่นน่ะสิ ในเมื่อพระชายาทรงตรัสเช่นนั้นแล้วก็ช่วยไม่ได้ละนะ ฮึ่ ฮี้ม”

แน่นอนว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วย แถมบางคนยังยิ้มกว้างออกมาพลางนึกถึงของมีค่าที่ตนจะได้รับไปแล้วด้วย

แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย หัวหน้าหมู่บ้านที่ศรัทธาและเกรงขามต่อเทพได้ค้านออกมาว่า

“ฉันคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก สู้ถูกฝ่าบาทลงโทษยังดีเสียกว่า พวกเธอยอมแลกหมู่บ้านที่ได้รับการปกปักรักษาจากเทพเจ้าด้วยเงินแค่ไม่เท่าไหร่ได้อย่างนั้นหรือ เพราะน้ำจากทะเลสาบนี้ไม่ใช่หรือไงที่ทำให้เราทุกคนหายจากโรคภัยต่างๆ ได้ เทียเรนก็เหมือนกัน อาเบลล่า เธอเองก็ด้วย”

แล้วหัวหน้าหมู่บ้านก็พูดชื่อของคนที่เคยได้รับความช่วยเหลือจากน้ำในทะเลสาบออกมา

ในบรรดานั้นมีรายชื่อของคนที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดหลังจากที่เกือบจะได้ไปเยือนประตูยมโลกรวมอยู่ด้วย

เพราะทุกคนต่างเติบโตมากับตำนานของน้ำในทะเลสาบและเรื่องราวของเทพเจ้าที่ฝังรากลึกเอาไว้ในหมู่บ้านมาตั้งแต่เกิด ทั้งยังได้ประสบด้วยตนเองอีกด้วย จึงทำให้บรรยากาศในตอนนี้เงียบงันขึ้นมาทันที

แน่นอนว่าสิ่งตอบแทนที่จะได้มานั้นไม่ใช่เงินเพียงเล็กน้อยเลย แต่ก็ไม่มีใครสามารถโต้เถียงหัวหน้าหมู่บ้านได้ในทันที

เพราะเหตุนั้นจึงดูเหมือนว่าทุกอย่างคงจะจบลงเช่นนี้

ทว่าเทียเรนก็เห็นด้วยกับคำพูดของหัวหน้าบ้านและพูดความเห็นของเธอออกมา

“หนูเองก็คิดแบบนั้นค่ะ พวกเราคงไม่สามารถทำอะไรที่เป็นการลบหลู่เทพเจ้าที่ช่วยปกปักรักษาหมู่บ้านของพวกเราได้ เพราะฉะนั้นแล้ว หากพวกเราไม่รับเงินเป็นค่าตอบแทน แต่ขอให้เปลี่ยนหมู่บ้านของพวกเราเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แทนจะดีไหมคะ”

“สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือ…”

เมื่อได้ยินคำที่ไม่คุ้นหูเข้าหัวหน้าหมู่บ้านก็เลิกเปลือกตาที่หย่อนคล้อยขึ้นมาและย้อนถามกลับไป

รวมทั้งคนที่ตกใจเมื่อได้ยินว่าจะไม่รับเงินด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าเทียเรนเองก็ไม่อยากเอาทรัพย์สมบัติของอาเรียมาใช้อย่างสะเพร่า จึงอธิบายข้อเสนอที่ฟังดูไม่เลวให้กับชาวบ้าน

“หนูหมายถึงว่าให้ยอมรับเทพเจ้าของหมู่บ้านเราเป็นเทพเจ้าของราชอาณาจักรค่ะ ในเมื่อที่แห่งนี้มีเทพเจ้าสถิตอยู่และเกิดทะเลสาบอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แล้วละก็จะเป็นอะไรได้อีกล่ะคะ”

สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาเพื่อไม่ให้เข้าถึงน้ำในทะเลสาบได้ตามใจชอบ และก็ให้ชาวบ้านเป็นคนดูแลเหมือนที่ทำกันมาจนถึงตอนนี้

หากทำอย่างนั้นแล้วละก็ จะต้องได้รับตำแหน่งสำคัญเป็นผู้รับใช้เทพเจ้าและอย่าให้พูดถึงค่าตอบแทนที่จะได้รับหลังจากนั้นเลย

นี่เป็นหน้าที่อันมีเกียรติที่ไม่เป็นรองขุนนางเลย

เป็นตำแหน่งอังสูงส่งที่คนในหมู่บ้านซอมซ่อเล็กๆ แบบนี้ไม่แม้แต่จะฝันถึง เป็นตำแหน่งที่ไม่ว่าจะมีเงินมหาศาลมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเป็นได้

“หนูจะเป็นคนโน้มน้าวพระชายาเองค่ะ เพราะฉะนั้นแล้วทุกคนจะได้ทั้งเงินทั้งเกียร์ติยศแน่นอนค่ะ หรือว่าอยากจะได้แค่เงินอย่างเดียวคะ แต่ถ้าปฏิเสธทั้งสองอย่างละก็คงไม่มีทางเลือกอะไรอีกแล้ว คงต้องถูกยึดน้ำในทะเลสาบไปและถูกลงโทษอย่างหนักจนเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่ๆ ค่ะ”

เทียเรนถามออกมาอย่างมั่นใจราวกับว่าคำตอบได้ถูกตัดสินเอาไว้แล้ว

หากเป็นชาวบ้านที่อยู่ร่วมกับทะเลสาบนั่นมาทั้งชีวิตละก็ พวกเขาต้องเลือกอย่างแรกแน่นอน

…………………….