บทที่ 234 (ตอนพิเศษเพิ่มเติม ตอนที่ 25 )

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

“อ้าว ยังไม่หลับอีกหรือขอรับ”

เพราะตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว ก็เลยคิดว่าเจ้าชายคงกลับไปยังห้องนอนแล้วแน่ๆ เพราะอย่างนั้นเลยถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้เคาะ

แต่มันอะไรกันละนี่ สีหน้าของเรนพูดออกมาแบบนั้นพร้อมกับแสดงความเคารพแด่อาซ

“พอดีกระผมสำรวจข้อมูลเสร็จแล้วเลยตั้งใจว่าจะเอาเอกสารมาวางไว้น่ะขอรับ กระผมนึกว่าเจ้าชายเข้านอนไปแล้วจริงๆ นะขอรับ”

เพราะอย่างนั้นแล้วถือว่าผมไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

เรนที่เริ่มหน้าด้านหน้าทนขึ้นมาเรื่อยๆ ส่งเอกสารปึกใหญ่ให้กับอาซที่ยื่นมือมาทางตน

“กระผมได้เรียบเรียงรายชื่อของแพทย์ทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองหลวงตามที่เจ้าชายรับสั่งแล้วขอรับ ในนั้นกระผมได้ทำเครื่องหมายแพทย์ที่มีชื่อเสียงไว้ต่างหากด้วยครับ”

เรนอธิบายต่อไปว่าคนที่ถูกส่งตัวไปสำรวจตามชนบทเองก็จะนำรายงานกลับมาถวายภายในไม่ช้า

อาซพยักหน้าและรีบเปิดดูเอกสารอย่างรวดเร็ว

ในเอกสารไม่ได้ระบุเพียงแค่ชื่อ อายุ และที่อยู่ของแพทย์เท่านั้น แต่ยังระบุถึงวันที่ได้รับใบอนุญาต คำวิจารณ์จากคนรอบข้าง และสาขาที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษเอาไว้อย่างละเอียดอีกด้วย

‘…ถึงจะชอบพูดมากไร้สาระก็เถอะ แต่ก็ทำงานเก่งใช่เล่น’

คงเป็นเพราะเรนทำงานกับตนมานาน แม้จะชอบพูดจาชวนหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง แต่เรนก็มักจะนำเอาสิ่งที่เขาต้องการมาให้ได้เป็นอย่างดี

“ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้ตามหาแพทย์ขึ้นมาหรือขอรับ ยิ่งเป็นแพทย์ที่เก่งเรื่องเด็กกับหญิงเพิ่งคลอดด้วย หรือว่า…”

เรนหรี่ตาลง เขามักจะทำหน้าเช่นนี้ทุกครั้งเวลาพูดอะไรเพ้อเจ้อขึ้นมา

และก่อนที่อาซจะบอกให้เขาหยุดพูดขึ้นมา เรนก็พูดต่อไปอย่างรวดเร็วราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้

“มีข่าวดีอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ เพราะอย่างนั้นเลยรีบเตรียมการเอาไว้เผื่อไม่กี่เดือนให้หลังนี้รึเปล่าน่ะขอรับ”

สิ่งที่เรนพูดมาอาจจะถูกต้องหรือไม่ถูกต้องก็ได้

แต่หนึ่งอย่างที่มั่นใจได้ก็คือมันทำให้อาซอารมณ์ไม่ดีนั่นเอง

“เรน-“

“เพราะอย่างนั้นเลยให้เสาะหาแพทย์ทั้งแผ่นดินนี่เอง ฮะฮาฮ่า! ถึงจะรักและหวงแหนพระชายามากก็ตาม แต่นี่ไม่เท่ากับว่าเจ้าชายทรงเป็นกังวลมากเกินไปหรือขอรับ”

เมื่อได้พูดออกมาครั้งหนึ่งแล้วก็ยากที่เรนจะหยุดพูดลงง่ายๆ

แม้แต่คนซื่อบื้อก็ยังพูดจ้อไร้สาระได้ไม่เก่งเท่าเรน

“แม่ของกระผมเองก็ประสบปัญหาคลอดลูกยากขอรับ แต่ท่านก็คลอดกระผมออกมาได้อย่างปลอดภัย ดูสิขอรับ กระผมออกจะแข็งแรงและเติบโตมาเป็นอย่างดีแบบนี้! ถ้าเจ้าชายต้องการละก็ กระผมจะถามแม่ของกระผมให้ขอรับว่าตอนนั้นแพทย์ผดุงครรภ์คนไหนที่ช่วยทำคลอด-“

เนื่องจากอาซไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ของเขาออกไปได้ และเรนก็เอาแต่พูดเรื่องที่ทำให้รู้สึกอึดอัดใจเท่านั้น ปั๊ง-! อาซจึงเอากำปั้นทุบโต๊ะขึ้นมา

“หยุดพล่ามแล้วออกไปได้แล้ว”

“ขอรับ”

เมื่อเห็นแล้วว่านี่เป็นเรื่องที่เสี่ยงต่อชีวิตของตน เรนก็ตอบออกมาอย่างผ่าเผยก่อนจะรีบออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว

เก่งจริงๆ เลยนะไอ้เรื่องชนแล้วหนีเนี่ย

ไอ้เรื่องพูดจานอบน้อมแล้วค่อยหนีเอาตัวรอดออกไปนี่ไม่มีใครเกินหมอนั่นเลยจริงๆ

‘ไม่สิ บางทีหมอนั่นอาจจะตั้งใจกวนประสาทจริงๆ ก็ได้’

นัยน์ตาของอาซฉายแววดุดันขึ้นมา เขาคิดว่าบางทีเรนอาจจะแสร้งทำเป็นมองไม่ออกว่าเขากำลังข่มอารมณ์เอาไว้อยู่ จากนั้นก็ตั้งใจพูดจากวนอารมณ์ออกมาก็เป็นได้

พอไม่ว่าอะไรเข้าหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะเจ้าหมอนี่

อาซคิดว่าต่อไปต้องเอารายชื่อของคนที่เตรียมข้อสอบแพทย์มาให้ได้ จากนั้นก็หยิบเอกสารที่เรนทิ้งไว้มาอ่านอย่างละเอียดในทันที

ในหัวของอาซมีแต่เรื่องของเด็กที่น่าสงสารทั้งสองคน เขาต้องหาทางออกเรื่องนี้ให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

***

“ตรวจดูรายชื่อของแพทย์ทั้งคืนเลยหรือคะ…”

อาเรียกะพริบตาถี่ๆ และถามออกมา และอาซก็พยายามไม่แสดงความเหนื่อยล้าออกมาทางสีหน้าและตอบเธอไปว่า

“ครับ ถึงเรนจะเรียบเรียงมาให้แล้วก็ตาม แต่ผมคิดว่าควรจะตรวจดูและเลือกหมอด้วยตัวเองอีกทีดีกว่าน่ะครับ”

เพราะแบบนั้นอาเรียจึงพูดออกมาว่า‘ตายจริง’และยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง พร้อมกับสีหน้ารู้สึกผิด

“ดิฉันควรจะบอกให้ทราบเร็วกว่านี้แท้ๆ ที่จริงแล้วดิฉันน่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้แล้วล่ะค่ะ! ”

อาเรียพูดต่อไปว่าที่เธอเข้านอนก่อนอาซก็เพราะตั้งใจจะคลายความกังวลนั่นเอง อาซกะพริบตาสีครามช้าๆ ราวกับไม่อยากจะเชื่อและถามกลับไปว่า

“นั่นน่ะ…หมายความว่าอย่างไรกันครับ หรือว่าหาหมอที่มีฝีมือได้แล้วงั้นหรือครับ”

“ไม่ใช่หมอหรอกค่ะ แต่ก็สามารถทำแบบนั้นได้ค่ะ”

อาเรียดึงมืออาซให้มานั่งบนโซฟาข้างๆ เธอ และบอกเรื่องที่ผ่านมาพร้อมกับสิ่งที่เธอคิดให้เขาฟัง

“น้ำในทะเลสาบที่สามารถรักษาทุกโรคให้หายได้อย่างนั้นหรือครับ หากเป็นตามที่อาเรียพูดละก็ ความเป็นไปได้ที่จะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ออกไปจากราชวังก็…! ”

“ฉันก็หวังให้เป็นอย่างนั้นค่ะ”

แม้จะไม่ใช่คำตอบที่สามารถยืนยันได้ แต่ดวงตาของอาซกลับเลื่อนลอยอย่างสะเปะสะปะ ดูเหมือนความหวังที่เพิ่งค้นพบจะทำให้เขาอึ้งจนตั้งสติไม่ทัน

“เทียเรนออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ เธอขี่ม้าไปเพื่อที่จะประหยัดเวลา ฉะนั้นแล้วเธอน่าจะกลับมาได้ทันก่อนที่พิธีราชาภิเษกจะเริ่มขึ้นนะคะ”

เท่ากับว่าอาซต้องเหนื่อยอดหลับอดนอนไปเปล่าๆ อาเรียจึงขอโทษออกมาและจับมือเขาไว้

“ฉันควรจะบอกให้ท่านอาซทราบตั้งแต่แรกแท้ๆ ฉันไม่รู้จะขออภัยอย่างไรดีค่ะ”

“ขออภัยหรือครับ! ไม่มีเหตุผลให้ต้องทำอย่างนั้นเลยครับ อย่างไรเสียการที่รวบรวมข้อมูลใหม่ๆ ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แถมตอนเช้านี้หากเราหาหมอที่มีความสามารถเอาไว้ก่อนก็เป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยไม่ใช่หรือครับ”

ถึงอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องอดหลับอดนอนเลยสักนิด ทว่าใบหน้าของอาซกลับดูแจ่มใสยิ่งนัก

เขาโผเข้ากอดอาเรียที่สบายใจขึ้นมานิดหน่อยอย่างรวดเร็ว และพูดความรู้สึกในใจที่พยายามซ่อนมันเอาไว้ออกมา

“โล่งอกจริงๆ ครับ ขอให้เรื่องเล่านั้นเป็นเรื่องจริงจริงๆ เถอะครับ”

อาเรียสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ตรงบริเวณไหล่ที่อาซมุดหน้าลงไป

ราวกับคนที่ได้พบคำตอบที่เฝ้ารอมานานแสนนานอย่างไรอย่างนั้น

ดูเหมือนความรู้สึกของอาซที่มีต่อเด็กๆ นั้นจะมากกว่าตนด้วยซ้ำ

‘เป็นกังวลถึงอนาคตของเด็กๆ อยู่สินะ แถมยังกังวลไม่ใช่น้อยเลย’

เพราะต้องคอยซ่อนความรู้สึกนั้นมาตลอด เขาต้องทนทุกข์ใจมากขนาดไหนกันนะ

ในขณะที่ฉันใกล้ชิดกับเด็กๆ ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อาซกลับคอยเว้นระยะกับเด็กๆ มาโดยตลอด

‘เขาคงนึกถึงตอนที่จะต้องยอมแพ้เรื่องเด็กๆ เอาไว้แล้วแน่ๆ’

ในตอนที่ฉันขอความร่วมมือ อาซก็ไม่ได้ลังเลเลยนี่นา

อาซคงรู้สึกทุกข์ใจมากกว่าฉันแน่ๆ ทั้งที่ฉันเป็นคนบอกว่าจะหาหนทางแก้ไขแต่หลังจากนั้นฉันกลับไม่ได้คิดอะไรเลย

อาเรียรู้สึกสงสารอาซขึ้นมา เธอยกมือขึ้นมากอดอาซที่กำลังพิงไหล่เธอไว้อย่างอ่อนโยน

“ฉันเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงค่ะ แม้ว่าการหลงเหลือพลังเอาไว้หลังจากที่ตายไปแล้วอาจฟังดูยากที่จะเชื่อก็ตาม แต่บางทีนาฬิกาทรายของฉันก็อาจจะเป็นแบบนั้นเหมือนกันก็ได้นะคะ”

เพราะไม่รู้ว่าหลังจากที่ตนตายไปแล้วนาฬิกาทรายจะยังเหลือพลังอยู่ไม่ นั่นจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยืนยันได้

เนื่องจากไม่มีบันทึกเกี่ยวกับการตื่นตัวของพลังแห่งเชื้อพระวงศ์อยู่เลย ฉะนั้นแล้วอาจจะมีพลังพิเศษแบบนั้นอยู่ก็เป็นได้

คำพูดที่เต็มไปด้วยความหวังของอาเรีย ทำเอาอาซรู้สึกเบาใจขึ้นเป็นอย่างมาก

แม้จะเป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น แต่กลับทำให้อาซรู้สึกโล่งใจราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกยืนยันไว้เรียบร้อยแล้ว

อาซพูดว่าหากสิ่งที่เทียเรนพูดเป็นเรื่องโกหกละก็เขาจะลงโทษเธออย่างแน่นอน และจะหาวิธีแก้ปัญหานี้ให้ได้ แม้จะต้องทำให้พลังของเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดตื่นขึ้นมาก็ตาม ก่อนจะจูบลงบนซอกคอของอาเรีย

“ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ผมคงต้องหยุดคิดเรื่องที่ต้องรักษาระยะห่างของเราเพราะกลัวจะมีลูกลงแล้วล่ะครับ”

เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ เขาพูดว่าเขาคิดอะไรอยู่นะ

และก่อนที่อาเรียจะได้ถามอะไรออกไปอาซก็โน้มลงจูบเธอ โดยที่มือข้างหนึ่งกอดเอวเธอไว้ และอีกข้างก็ใช้ประคองศีรษะเธอ

เป็นการกระทำที่ดูไม่เหมือนคนตั้งใจจะเว้นระยะห่างตั้งแต่แรกเลยสักนิด

แล้วก็คิดได้ว่าบางทีเขาอาจจะอ้างมันไปอย่างนั้นก็เป็นได้

ยิ่งเป็นช่วงก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้นอีกด้วย ไม่เจ้าเล่ห์เกินไปหน่อยหรือไง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะปฏิเสธเขาไป

ในเมื่อคนรักต้องการเธอมากขนาดที่ต้องพูดข้ออ้างตลกๆ ขึ้นมา แล้วจะให้เธอปฏิเสธเขาได้อย่างไรกันล่ะ

อาเรียคิดเช่นนนั้นและกุมไหล่อาซเอาไว้ก่อนจะจูบเขาอย่างลึกซึ้ง

น่าเสียดายที่มื้อเช้าในวันนี้บลิสกับลิเป้ต้องกินด้วยกันแค่สองคนเสียแล้วล่ะ

***

“ฮะ! ไม่ ไม่ให้ไปงานเทศกาลอย่างนั้นเหรอ! “

บลิสสะดุ้งตกใจจนทำคุกกี้ที่กำลังจะหยิบเข้าปากร่วงลงพื้น

ลิเป้ที่นั่งอยู่ข้างๆ พูดออกมาว่ารู้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้และนั่งทานไอศกรีมเงียบๆ

“ทำไม! ทำไม! ทำไมล่ะ! เพราะอะไรกัน! “

“เพราะเธอไม่สบายยังไงล่ะ”

“…! ”

เรื่องนั้นต้องให้พูดออกมาถึงจะรู้รึไง แม้จะคิดเช่นนั้นแต่พอเธอตอบออกไปหลังจากที่บลิสทู่ซี้ถามไม่เลิก บลิสก็ตกใจขึ้นมาและทรุดตัวลงกับพนักแขนเก้าอี้

“หนูป่วยแล้วป่วยอีกจนไม่เคยได้ไปเลย…! จนในที่สุดหนูก็คิดว่าตัวเองจะได้ไปในตอนนี้แล้วแท้ๆ…! “

ทั้งที่อยากจะไปเป็นครั้งสุดท้าย แต่ก็ไม่ได้เที่ยวงานเทศกาลอย่างสมใจเลยสักนิด บลิสร้องไห้น้ำตาไหลฮือๆ

เพราะนี่ไม่ต่างกับบัคเก็ตลิสต์ที่ต้องทำให้ได้ก่อนตาย บลิสจึงดูเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นอาเรียก็ยังรักษาท่าทีเย็นชาเอาไว้แม้ว่าเธอเกือบจะหาวิธีช่วยบลิสได้แล้วก็ตาม

“ไม่ได้ ฉันจะให้สาวใช้มาดูแลเธอ เพราะฉะนั้นช่วงนี้ก็อยู่ในวังไปเงียบๆ ล่ะ”

“ตอนนี้หนูไม่เป็นอะไรแล้วนะ! ”

“ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ”

เมื่ออาเรียปฏิเสธออกมาอย่างเด็ดขาด บลิสก็สะอื้นไห้ออกมาดังฮิ้ง

เพราะบลิสรู้นิสัยของอาเรียดีเธอจึงไม่รบเร้าต่อและหยิบคุกกี้ยัดเข้าเต็มปากพร้อมทั้งน้ำตาคลอ

“ลิเป้ ถ้าเธอไปงานเทศกาลละก็ต้องซื้อของขวัญมาให้ฉันด้วยนะ…”

ซื้ออาหารเสียบไม้มาด้วย ถึงมันจะเย็นชืดก็ไม่เป็นไร และก็ซื้อน้ำผลไม้มาด้วย ฉันจะกินให้หมดเลย

บลิสพูดออกมาพร้อมกับสูดน้ำมูกซืดซาด ลิเป้จึงวางช้อนชาลงและตอบออกมาว่า

“ซื้อให้ไม่ได้หรอก เพราะฉันจะไม่ไปงานเทศกาล”

“ทำไมล่ะ ทำไมถึงไม่ไปล่ะ! เธอเองก็ไม่สบายงั้นเหรอ! ”

“เปล่า ที่จริงแล้วฉันไม่ได้สนใจเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด สู้เอาเวลามาอ่านหนังสือยังดีกว่า”

ฮะ! นี่พูดจริงเหรอ! บลิสตกใจขึ้นมาและจ้องลิเป้ตาแทบถลน

ลิเป้ไม่สนใจ เธอหยิบช้อนชาขึ้นมาอีกครั้งและตักไอศกรีมเข้าปากอย่างช้าๆ

โกหกชัดๆ เลย

ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าลิเป้ตาเป็นประกายและสนุกกับงานเทศกาลที่ยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ แต่เธอกลับแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านอะไรออกมา

‘…เป็นเด็กที่ใจดีจังเลยนะ ทั้งสองคน’

คนหนึ่งก็ใจดีมากจนเกินไป ส่วนอีกคนก็ใจดีไม่เหมาะสมกับอายุเลย

นิสัยของทั้งคู่ดูน่าพอใจ แต่ใช่ว่าอาเรียจะปรารถนาอย่างนั้น เธออยากให้ลูกๆ ของเธอเลือกทำในสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้นอีกสักหน่อย

‘เพราะอย่างนั้นแล้วรีบๆ กลับมาเถอะเทียเรน’

หากว่าเธอสามารถนำน้ำในทะเลสาบที่มีอิทธิฤทธิ์ตามที่พูดมาได้ละก็ แม้แต่ครึ่งหนึ่งของราชอาณาจักรนี้ฉันก็พร้อมจะยกให้

***

มีข่าวดีอย่างหนึ่งสำหรับบลิสและลิเป้ที่ไม่ได้งานเทศกาล นั่นก็คือแอนนี่นั่นเอง

แอนนี่มาหาเพราะตั้งใจจะไปงานเทศกาลพร้อมกับเด็กๆ แต่พอได้รู้ข่าวว่าบลิสไม่สบายจึงไปไม่ได้ขึ้นมา แอนนี่ก็พับแขนเสื้อขึ้นมาราวกับช่วยไม่ได้

“อาหารเสียบไม้หรือคะ รอแป๊บนะคะ! ดิฉันจะซื้อมาให้หมดเลยค่ะ! “

“รอก่อนแอนนี่! เธอไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ! “

เจสซี่เป็นห่วงแอนนี่อย่างมาก เธอจึงไปที่งานเทศกาลพร้อมกับแอนนี่

เพราะเหตุนั้นเมื่อได้รับของขวัญเป็นของกินในงาน เครื่องประดับ ของเล่นก๊องแก๊ง และหน้ากากรูปทรงประหลาดแล้ว บลิสจึงไม่มีเวลาได้รู้สึกเศร้าเลย

และอาซเองก็เรียกคณะแสดงละครเวทีและนักดนตรีมาให้เด็กๆ ได้ชมด้วย

ทั้งที่เพียงแค่ได้อยู่กับอาเรียก็ถือว่าสนุกมากพอแล้ว ยิ่งได้สลับไปใช้เวลาอยู่กับอาซและเจสซี่กับแอนนี่บ้าง แม้จะไม่ได้ไปงานเทศกาลแต่เด็กๆ ก็ใช้เวลาในแต่ละวันได้อย่างสนุกสนาน

และในวันที่ใช้ชีวิตแบบนั้นครบหนึ่งสัปดาห์ เทียเรนก็กลับมาพอดี

เธอวิ่งเข้ามาโดยที่ไม่ได้ล้างเนื้อตัว ทั่วทั้งร่างจึงเขลอะไปด้วยฝุ่นดิน

อาเรียค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบกระบอกน้ำที่วางอยู่ตรงหน้า

“นี่คือ น้ำในทะเลสาบที่เธอบอกใช่ไหม”

“ค่ะ พระชายา”

เสียงของเทียเรนฟังดูขาดๆ หายๆ แถมเธอยังดูซูบผอมลงอีกด้วย

ท่าทางเธอจะรีบกลับมาเพื่อนำเอาน้ำในทะเลสาบมาให้เร็วที่สุดตามคำสั่งโดยที่ไม่ได้กินข้าวกินน้ำเลย

น่าชื่นชมจริงๆ แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่ง

อาเรียเปิดปากกระบอกน้ำและดูของที่อยู่ข้างในก่อนจะพูดออกมาว่า

“…ทำได้ดีมาก ถ้าจะยืนยันข้อเท็จจริงก็จำเป็นต้องมีคนป่วยสินะ”

โชคดีที่อาเรียดูแลโรงพยาบาลอยู่

หากให้คนที่เจ็บป่วยมากที่สุดที่นั่นดื่มน้ำทะเลสาบนี่ดูละก็ ต้องสามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้แน่ๆ

ทว่าหากนี่เป็นแค่เรื่องโกหกล่ะ จะทำอย่างไรหากน้ำนี้ไม่ถูกกับร่างกายผู้ป่วยและทำให้เสียชีวิตขึ้นมา

หากมันแสดงผลออกมาในทันทีเธออาจจะย้อนเวลากลับไปเพื่อหยุดยั้งเรื่องน่ากลัวเช่นนั้นได้ แต่หากว่ามันใช้เวลาแสดงผลเกินห้านาทีล่ะ

แม้จะเป็นน้ำทะเลสาบที่รอคอยมาตลอด แต่เมื่อถึงเวลาเข้าจริงเธอก็ไม่มั่นใจและกังวลพร้อมกับคิดถึงผลในแง่ร้ายขึ้นมา-

“ดิฉันจะเป็นคนพิสูจน์เองค่ะ”

เทียเรนตอบออกมาและทุบแก้วชาจนแตกก่อนจะใช้เศษแก้วกรีดแขนตัวเองอย่างรวดเร็วโดยไม่มีเวลาได้ห้ามเธอเลย

“เดี๋ยวสิ! นี่เธอทำอะไรลงไปน่ะ! “

ทำไมถึงเป็นคนสุดโต่งได้ถึงขนาดนี้!

อาเรียตกใจและลุกพรวดขึ้นมาทันที เธอจับแขนของเทียเรนที่เลือดหยดติ๋งๆ ขึ้นมา และอาซที่เพิ่งจะเข้ามาหลังจากได้ยินข่าวก็ยืนตัวแข็งทื่อไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า

“อาเรีย…! นี่มันอะไรกัน…! “

ในระหว่างนั้นเทียเรนก็พูดขึ้นมาว่าเธอไม่เป็นอะไรพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมั่นใจราวกับว่าไม่เจ็บเลยสักนิด

“ในเมื่อดิฉันเป็นคนบอกและนำน้ำทะเลสาบมาให้พระชายา ดิฉันก็ควรจะเป็นคนพิสูจน์มันด้วยตัวเองถึงจะเหมาะสมค่ะ”

อย่าทรงเป็นกังวลไปเลยค่ะ ก็แค่แผลเล็กน้อยที่ไม่ได้สำคัญอะไรเดี๋ยวก็หายไปค่ะ

คำพูดต่อมาทำเอาอาเรียขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยแขนเทียเรนช้าๆ

ดูเหมือนแผลนั่นจะบาดลึกไม่ใช่น้อย เพราะเลือดที่ไหลออกจากแขนหยดลงไปกองรวมกันเป็นแอ่งน้ำอยู่บนพื้น

สีหน้าของเทียเรนซีดจางขึ้น สภาพของเธอในตอนนี้จะหมดสติลงตอนไหนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย

ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคุมสติได้และเปิดกระบอกน้ำออกมาก่อนจะดื่มสิ่งที่อยู่ข้างในลงไป

“…! ”

จากนั้นน้ำทะเลสาบที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายก็รักษาแขนของเทียเรนที่อาบไปด้วยเลือดสีแดงสดอย่างหมดจด

และดูเหมือนจะไม่ใช่แค่รักษาบาดแผลเท่านั้น เพราะสีหน้าที่ซีดจางจากการเสียเลือดกลับมาดูเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง

อาเรียลูบแขนของเทียเรนราวกับไม่อยากจะเชื่อ

แต่ไม่ว่าจะดูยังไงแขนของเทียเรนก็ดูปกติดีดังเดิม

มันจริงสินะ นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นสินะ จากนี้เธอไม่จำเป็นต้องยอมแพ้เรื่องบลิสกับลิเป้แล้วสินะ

อาซคิดเช่นเดียวกัน เขาสบตาอาเรียเคว้งกลางอากาศ

และเทียเรนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอาเรียก็ควักเอาเอกสารแผ่นหนึ่งที่อยู่ในอ้อมอกออกมา

“ดิฉันนำสัญญาที่ชาวบ้านบอกว่าจะถวายน้ำทะเลสาบให้พระชายามาด้วยค่ะ  จากนี้น้ำทะเลสาบของหมู่บ้านดิฉันเป็นของพระชายาทั้งหมดแล้วค่ะ”

……………………………