***
สิ่งที่เทียเรนพูดเป็นความจริง แถมยังไม่มีผลข้างเคียงเลยด้วย
แม้จะดื่มน้ำทะเลสาบมาเป็นเวลาสักพักแล้ว แต่เทียเรนก็ยังดูปกดีทุกอย่าง
เทียเรนอธิบายเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนที่เธอกลับไปยังหมู่บ้านรวมทั้งเรื่องก่อสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เธอวางแผนเอาไว้ด้วย
“แม้ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงมากแต่เพื่อให้ราชอาณาจักรรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น หม่อมฉันจึงอยากเสนอให้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เทพเจ้าได้ประทานพรแด่พระชายาและองค์รัชทายาทอัสเทอโรพีที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ในอีกไม่ช้านี้ค่ะ”
ไม่น่าเชื่อว่าในหัวของเทียเรนกำลังคิดเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบนั้นอยู่
ไอเดียของเธอทำให้อาเรียรู้สึกประทับใจขึ้นมา
‘วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำทะเลสาบซึ่งมีอิทธิฤทธิ์รักษาโรคได้ทุกโรคอย่างนั้นหรือ’
นั่นจะทำให้สามัญชนทั่วไปกับขุนนางที่ไม่เคยนับถืออะไรเกิดความศรัทธาและมีที่ยึดเหนี่ยวทางใจขึ้นมา และจะหลงเหลืออยู่ในประวัติศาสตร์อย่างยาวนาน
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมเอามากๆ หากเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปในช่วงที่จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ละก็ ผู้คนจะต้องเชื่อว่านั่นเป็นสิ่งที่เทพเจ้าประทานพรให้กับอาซและตนอย่างแน่นอน
หากเป็นเช่นนั้นละก็จะไม่มีอำนาจใดลุกขึ้นมาต่อต้านอาซและตนได้
ไม่สิ แม้แต่จักรพรรดิต่างแดนก็คงจะคุกเข่าร้องขอพระกรุณาธิคุณของน้ำทะเลสาบและยอมปฏิบัติตามคำสั่งเข้าสักวัน
อาเรียสบตากับอาซที่นั่งอยู่ข้างๆ
ท่าทางอาซเองก็จะคิดเช่นเดียวกับตน เขาไม่สามารถซ่อนแววตาที่สั่นไหวนั่นได้เลย
“ไม่ใช่อัญมณีธรรมดา แต่เป็นถึงเพชรเม็ดงามสินะเนี่ย”
“พระ พระชายา…! ”
ทั้งที่คิดว่าความจงรักภักดีของเทียเรนเป็นเหมือนอัญมณีธรรมดาๆ เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่าเธอไม่ใช่เพียงอัญมณีทั่วไป แต่เป็นเพชรเม็ดงามที่พราวแสงระยิบระยับ
‘…แน่นอนว่าฉันรู้สึกขอบคุณเทียเรนเป็นอย่างมาก แต่ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ก็คงต้องยกความดีความชอบให้บลิสด้วย’
นอกจากจะทำให้อาเรียหาทางแก้ได้แล้ว ยังทำให้อาเรียได้บุคลากรที่ชาญฉลาดมาด้วย
แม้ทุกอย่างจะเริ่มมาจากการกระทำบุ่มบ่ามที่ตั้งใจจะห้ามไม่ให้คลอดตนออกมาก็ตาม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับยอดเยี่ยมเกินคาด
ถึงขนาดที่ว่าแม้จะต้องเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดมาทุ่มให้กับการสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ อาเรียก็ยินดีที่จะทำ
อาเรียคิดเช่นนั้นและพูดกับเทียเรนที่ถูกชมจนทำตัวไม่ถูกว่า
“ทำตามที่เธอคิดได้เลย แล้วก็เรียบเรียงเอกสารมารายงานฉันด้วยล่ะ จะใช้งบประมาณเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยคำนวณเรื่องจำนวนทหารที่จะใช้ปกป้องวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อป้องกันผู้บุกรุกมาด้วยก็จะดีมาก”
“รับ รับทราบค่ะ! หม่อมฉันจะทำอย่างสุดความสามารถเลยค่ะ! “
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นงานที่ลำบากไม่ใช่เล่น แต่เทียเรนก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
อาเรียยิ้มกว้างขึ้นมาเมื่อได้ฟังคำตอบที่ว่าจะทำงานให้สำเร็จเป็นอย่างดีต่อให้ต้องอดหลับอดนอนหลายคืนหรือต้องนอนซมหลังจากนั้นก็ตาม
“ดีมาก พรุ่งนี้เช้าก็รีบมาทำงานที่ห้องทำงานของฉันด้วยล่ะ”
“ห้องทำงานของพระชายา…หรือคะ”
กะทันหันขนาดนั้นเลยหรือ คงไม่ได้หมายความว่าจะให้เธอทำรายงานให้เสร็จภายในคืนเดียวหรอกใช่ไหม
แม้ว่าเทียเรนจะมุ่งมั่นในการทำงานมากแค่ไหน แต่นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะเหตุนั้นเทียเรนจึงไม่สามารถสลัดสีหน้าตะลึงงันออกไปได้ อาเรียที่พอจะอ่านความรู้สึกของเทียเรนออกก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบว่า
“ดูจากที่เธอถามกลับมาแล้ว ท่าทางเธอจะไม่ต้องการอย่างนั้นสินะเนี่ย ฉันอุตส่าห์คิดเอาไว้ว่าจะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยฉันแท้ๆ เชียว”
ในตอนนั้นเองที่เทียเรนตระหนักได้ถึงเจตนาของอาเรีย เธอรีบหุบปากที่อ้าค้างไว้อย่างรวดเร็วและคำนับศีรษะอย่างนอบน้อม
“มะ มะ ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเลยค่ะ! หม่อมฉันยินดีรับใช้พระชายาจนกว่ากระดูกของหม่อมฉันจะมอดไหม้กลายเป็นฝุ่นผงค่ะ! “
“ฉันไม่ใช้งานเธออย่างโหดร้ายขนาดนั้นหรอกนะ ถ้ารู้สึกว่ากระดูกกำลังกลายเป็นฝุ่นขึ้นมาละก็รีบบอกให้ฉันรู้ด้วยล่ะ ฉันน่ะออกจะใจดีกับคนของตัวเองจะตายไป”
อาจจะล่ะนะ อาเรียไม่พูดคำต่อท้ายนั้นออกไปและยิ้มออกมาอย่างมีเมตตา
เทียเรนเงยหน้าขึ้นมองอาเรีย เธอกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจเอาไว้และก้มศีรษะลงอีกครั้ง
“ค่ะ! หม่อมฉันขออุทิศตนรับใช้ข้างกายจนกว่าชีวิตจะหาไม่ค่ะ! “
***
หลังจากเทียเรนบอกว่าจะไปจัดการเอกสารและหายออกไป อาซก็หยิบกระบอกน้ำขึ้นมาพร้อมกับยื่นมือไปหาอาเรีย
ไม่จำเป็นต้องถามถึงเหตุผลเลย
อาเรียจับมืออาซอย่างหนักแน่นไร้ซึ่งความลังเลใดๆ จากนั้นอาซก็ใช้พลังหายตัวไปยังห้องของบลิสในทันที
ทั้งที่ระยะทางไม่ได้ไกลถึงขนาดที่ต้องใช้พลังเลยสักนิด แต่เพราะร้อนใจขึ้นมาจึงได้ทำเช่นนั้น
พวกเขาอยากจะเห็นบลิสแข็งแรงขึ้นเร็วกว่านี้สักชั่วยามหนึ่งก็ยังดี
“ฮะ หืม…! ”
ลิเป้ตกใจจนทำหนังสือที่อ่านร่วงลงพื้นดังตุ้บเมื่ออยู่ๆ อาเรียกับอาซก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้า
ส่วนบลิสก็ยังนอนหลับปุ๋ยอยู่
หลังจากที่หมดสติลงในงานเทศกาล แม้จะถูกบังคับไม่ให้ฝืนร่างกายมากเกินไปก็ตาม แต่สีหน้าของเด็กน้อยก็ยังดูเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก
“อย่าบอกนะว่าบลิสแอบหนีออกไปจากพระราชวังโดยไม่มีใครรู้น่ะ”
หากไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่เด็กนิสัยร่าเริงคนหนึ่งจะยังนอนหลับได้จนถึงตอนที่ตะวันส่องแสงจ้าลอยอยู่กลางเหนือหัวแน่ๆ
อาเรียถามออกมาราวกับจะบอกว่าสภาพของบลิสดูแปลกๆ ไป และตอนนั้นเองที่ลิเป้ตั้งสติขึ้นมาได้ เธอตอบออกไปอย่างสุขุมว่า
“เปล่าค่ะ ปกติบลิสมักจะนอนทั้งวันอยู่แล้วค่ะ นี่เป็นสภาพปกติของเธอค่ะ”
แม้ว่าบลิสจะแกล้งป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตัวอาเรียและตัวอาซในอนาคตอยู่บ้าง แต่ร่างกายของบลิสก็ไม่แข็งแรงจริงๆ เกินกว่าจะเอาแต่ตำหนิเธออย่างเดียว
“พอมาที่นี่ก็แสร้งทำตัวร่าเริงมากเกินเหตุไปอย่างนั้นแหละค่ะ บางที…อาจจะคิดว่านี่เป็นคงเป็นครั้งสุดท้ายละมั้งคะ…”
ลิเป้พูดออกมาอย่างกำกวมก่อนจะเงียบไป เธอคิดว่าแม้เหตุผลที่บลิสกลับมายังอดีตจะเป็นเพราะไม่อยากให้อาเรียเจ็บป่วยไปมากกว่านี้ก็ตาม แต่บางทีบลิสอาจจะไม่อยากใช้ชีวิตด้วยร่างกายที่ป่วยไปมากกว่านี้แล้วก็ได้
มันเป็นความเศร้าและความทรมานที่ตนเองไม่สามารถจินตนาการได้เลย
ลิเป้หันหลังเพื่อซ่อนสีหน้าอันเศร้าหมองเอาไว้ก่อนจะเดินวนไปมาเพื่อกลบอาการ
อาเรียมองลิเป้สลับกับบลิสที่ยังคงหลับปุ๋ยอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถามออกมาเรื่องที่สงสัยมาตลอดเป็นครั้งสุดท้ายว่า
“ลิเป้ ถ้าอดีตถูกเปลี่ยนไปจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันและพวกเธอหรือ ฉันจะยังจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนได้ไหม”
“ไม่ค่ะ มีเพียงแค่หนูกับบลิสเท่านั้นที่ยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้ ท่านแม่กับท่านพ่อจะจำไม่ได้ค่ะ ความทรงจำจะถูกเปลี่ยนไปหรือไม่ก็จะเกิดช่องว่างของความทรงจำขึ้นมาเพื่อให้ตรงกับเหตุการณ์ในอนาคตค่ะ”
“แล้วถ้าหากหาวิธีช่วยบลิสขึ้นมาได้ล่ะ ถ้าบลิสไม่ต้องเกิดมาพร้อมร่างกายที่อ่อนแอตั้งแต่แรก และพลังยังไม่ตื่นตัวขึ้นมาล่ะ”
หากว่าอนาคตได้เปลี่ยนไป หากว่าเด็กๆ ไม่ได้เกิดออกมาพร้อมกับพลัง และบลิสกับลิเป้ในวัยเจ็ดขวบไม่สามารถย้อนกลับมาในอดีตได้ล่ะ
หากเปลี่ยนเหตุการณ์ในอดีตทั้งหมดแล้วล่ะก็ เด็กสองคนที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นอย่างไร
“ไม่รู้สิคะ แต่ถึงอย่างไรหนูก็คิดว่าพวกหนูสองคนน่าจะยังจำเรื่องราวทุกอย่างได้เหมือนเดิมนะคะ”
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าแม้จะแข็งแรงขึ้นแล้วก็ตาม แต่เด็กๆ จะต้องเก็บความเจ็บปวดและความทุกข์ที่เผชิญมาตลอดเจ็ดปีไว้กับตัวพวกเขาเพียงฝ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ
เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีเลยสักนิด ถ้าเด็กๆ ตระหนักขึ้นมาได้ว่าแม้แต่พ่อแม่ของพวกเขายังไม่สามารถเข้าใจความเจ็บปวดของพวกเขาได้ละก็ มันคงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าต่างกับสุขภาพอันแข็งแรงที่ได้มา
“ถ้าอย่างนั้นเธอต้องเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟังในภายหลังนะ ฉันเองก็มีส่วนที่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะฉะนั้นจะให้พวกเธอรู้อยู่ฝ่ายเดียวมันก็ไม่ยุติธรรมเลยนี่นา”
“ค่ะ”
นั่นพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ หรือกำลังสมมุติว่า‘ถ้าหาก’หาทางแก้ไขได้ขึ้นมาอย่างนั้นหรือ
และก่อนที่ลิเป้จะได้คลายข้อสงสัย อาเรียก็กวาดสายตาไปรอบๆ ห้องอย่างเร่งรีบก่อนจะเทน้ำทะเลสาบลงในแก้วน้ำแล้วปลุกบลิสให้ตื่นขึ้นมา
“บลิส ตื่นเถอะ เร็วเข้า”
ทว่าบลิสยังหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลย อาเรียจึงปลุกบลิสอีกรอบหนึ่ง
“ฉันตั้งใจว่าจะพาเธอไปเที่ยวงานเทศกาลด้วยกัน เธอจะเอาแต่นอนอยู่อย่างนี้เหรอ”
“..งานเทศกาลเหรอ”
พอพูดถึงงานเทศกาลขึ้นมา บลิสก็เด้งตัวขึ้นมาอย่างกับลวดสปริงราวกับว่าก่อนหน้านี้เธอแกล้งทำเป็นหลับอยู่ตลอดเวลา
หรือว่าจะงอนที่โดนสั่งให้อยู่เฉยๆ เงียบๆ กันนะ
ในระหว่างที่อาเรียสงสัย บลิสก็ขยี้ตาที่ยังไม่หายจากความง่วงอย่างแรงและถามออกมาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง
“หนูไปงานเทศกาลได้จริงๆ เหรอ! จริงรึเปล่า! จริงๆ นะ! หนูไม่ได้ฟังผิดใช่ไหม! ”
น้ำเสียงที่บลิสถามออกมาฟังดูเหมือนกับว่าหากมันไม่จริงละก็ เธอคงจะร้องไห้ไปสามคืนสี่วันเลยทีเดียว
ใช่แล้วล่ะ ต่อจากนี้ไปไม่ว่าเมื่อไหร่เธอก็จะได้ทำตามที่ใจอยากแล้ว
อาเรียเก็บคำตอบนั้นเอาไว้ ก่อนจะลูบผมอันยุ่งเหยิงของบลิสอย่างอ่อนโยน
“แน่สิ ถ้าเธอดื่มน้ำนี้และตั้งสติให้ดีละก็นะ”
ก่อนที่อาเรียจะพูดจบบลิสก็คว้าเอาแก้วน้ำไปแล้ว
และบลิสก็ดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วใหญ่นั้นหมดในพรวดเดียวอย่างกับว่าน้ำปริมาณมากขนาดนั้นไม่ได้เกินกำลังของเธอเลย
“ตั้งสติแล้ว! ตอนนี้หนูไม่ป่วยเลยสักนิดเดียว! ”
ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลยว่าบลิสพูดจริงหรือไม่
เพราะสีหน้าที่ดูหมองๆ เมื่อครู่ค่อยๆ สดใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“หนูไปงานเทศกาลได้ใช่ไหม ใช่ไหม ได้ใช่ไหม! ”
บลิสลุกออกมาจากเตียงและหมุนตัวไปมารอบๆ อาเรียพร้อมกับถามออกมา
เธอเร่งเอาคำตอบพร้อมกับกระโดดกระย่องกระแย่งราวกับกระต่าย
“ได้สิ”
“เยยยยยยย้! ”
ตึงตังๆ พอได้รับอนุญาตบลิสก็ตื่นเต้นดีใจและหายออกไปนอกประตูเร็วประหนึ่งลูกศร
“ฉันไม่ได้บอกให้ออกไปทั้งชุดนอนแบบนั้นเลยนะ”
แม้ว่าบลิสจะทำตัวไม่เรียบร้อยและสมควรถูกดุก็ตาม แต่พอเห็นว่าบลิสวิ่งหายออกไปอย่างรวดเร็วและแข็งแรงกว่าครั้งไหนๆ อาเรียก็ยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวงขึ้นมา
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงโครมครามดังขึ้นมาจากโถงทางเดิน อาเรียจึงหุบยิ้มลงและวิ่งตามหลังบลิสไปในทันที
และลิเป้ที่เฝ้ามองสถานการณ์ด้วยสีหน้างุนงงจนถึงตอนนั้นก็ถามอาซออกมาพร้อมกับสีหน้าไม่เข้าใจว่า
“บลิสไปงานเทศกาลได้จริงๆ หรือคะ เธอไม่น่าจะไปได้นี่นา…! ”
เดี๋ยวก็ต้องเป็นลมอีกแน่ๆ ไม่สิ เธอวิ่งออกไปยังโถงทางเดินเร็วขนาดนั้น คงไม่เหลือแรงไปเที่ยวงานเทศกาลแล้วล่ะ เดี๋ยวก็คงจะไข้ขึ้นไม่สบายอีกแน่ๆ
อาซรินน้ำทะเลสาบที่เหลืออยู่ในกระบอกน้ำให้ลิเป้ที่เป็นกังวล เขายิ้มขึ้นมาและตอบว่า
“ก็พระชายาคนฉลาดของฉันหาทางออกได้แล้วน่ะสิ”
จริงเหรอ…ได้อย่างไรกัน! ด้วยวิธีไหนกันน่ะ!
อาซเหล่ตาไปยังแก้วชาให้กับลิเป้ที่กำลังต้องการคำอธิบายอย่างละเอียด
จะบอกว่าให้ดื่มมันแล้วทำใจให้สงบอย่างนั้นเหรอ ตั้งใจจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังอย่างช้าๆ อย่างนั้นเหรอ
ลิเป้เข้าใจผิดไปแบบนั้น เธอพยักหน้าและดื่มน้ำที่อยู่ในแก้วไปสองสามอึก
จากนั้นจู่ๆ เธอก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตที่เปี่ยมล้นอยู่ในร่างกายขึ้นมาทันที
ไม่สิ ไม่ใช่แค่รู้สึกเท่านั้น แต่ว่าพลังกายมันล้นขึ้นมาจริงๆ
เหมือนกับที่บลิสวิ่งออกไปยังโถงทางเดิน ลิเป้เองก็รู้สึกว่าตัวเองอยากจะใช้พลังที่เปี่ยมล้นขึ้นมากับอะไรสักอย่าง
อย่าบอกนะว่า
ลิเป้ที่ตระหนักขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วหันไปขอคำตอบจากอาซด้วยดวงตาที่สั่นระริก
“ใช่แล้วล่ะ น้ำนั่นเป็นยารักษาน่ะ”
หาทางแก้ไขได้เร็วขนาดนี้จริงๆ น่ะเหรอ!
ลิเป้ตกใจ เธอรีบจับแก้วน้ำที่เกือบจะทำหล่นเอาไว้ได้อย่างทุลักทุเล
“ถ้า ถ้า ถ้าอย่างนั้นนี่ก็เป็นน้ำอันมีค่าที่หนูไม่ควรดื่ม…! ”
“นั่นไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เป็นแค่น้ำส่วนหนึ่งที่ได้มาจากทะเลสาบอันกว้างใหญ่ และตอนนี้อาเรียก็เป็นคนได้ครอบครองมันแต่เพียงผู้เดียว”
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็สามารถดื่มน้ำทะเลสาบนี้เพื่อรักษาโรคได้ ต่อจากนี้ทั้งอาเรียและบลิสก็จะไม่ต้องเจ็บป่วยอีกต่อไป
ไม่สิ ลิเป้ที่ตระหนักขึ้นมาได้ว่าจะไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่แรกถึงกับทรุดลงกับพื้น
ในตาของเธอปริ่มไปด้วยน้ำตา
เพราะลิเป้มักจะทำตัวเข้มแข็งและสุขุมอยู่เสมอ อาซจึงคิดว่าเธอไม่ค่อยจะสะทกสะท้านต่ออะไร แต่เธอกลับทำสีหน้ารวดร้าวออกมาให้เห็นถึงขนาดนี้ อาซคิดว่าลิเป้กับบลิสเหมือนกันจริงๆ ก่อนจะอุ้มเด็กน้อยให้ลุกขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราเองก็ต้องเตรียมตัวแล้วล่ะ ไม่ว่าบลิสจะแข็งแรงกว่าเดิมมากแค่ไหนก็ตาม แต่เราคงปล่อยให้บลิสเที่ยวงานเทศกาลคนเดียวไม่ได้หรอกใช่ไหม”
น้ำเสียงอันอ่อนโยนนั้น ทำให้ลิเป้ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ เธอวิ่งพรวดเข้าไปกอดเอวของอาซ
แม้จะทำอย่างนั้นแต่เธอก็ไม่ลืมพยักหน้าตอบเขาไป
เมื่อเห็นดังนั้นอาซก็หัวเราะเบาๆ ขึ้นมาพร้อมกับตบไหล่ลิเป้อย่างเงียบๆ
…………………