บทที่ 205
กลับคำ
เมื่อต้องเห็นเจิ้งเสี่ยวต้องตายตั้งแต่อายุยังน้อย หยินจื่อก็รู้สึกผิดในใจ ก่อนจะตัดสินใจคุกเข่าลงอ้อนวอนแทนลูกพรรค
“ท่านเย่ ผิดที่ข้าสั่งสอนลูกพรรคไม่ดี ได้โปรดละเว้น เจิ้งเสี่ยว ความผิดนั้นข้าจะรับไว้แต่เพียงผู้เดียว” หยินจื่อก้มหัวโขกกับพื้นอย่างรุนแรง จนหน้าผากโชกเลือด
เจิ้งเสี่ยวเห็นดังนั้นก็รู้สึกผิดต่อประมุขพรรค เขาก้มหัวคำนับเย่เย่อย่างรุนแรงถึงสามครั้ง จนเลือดอาบใบหน้าเช่นเดียวกับหยินจื่อ
ทั้งเย่เย่และลู่จุ้นต่างเงียบกริบ เมื่อเห็นทั้งสองก้มหน้ารับผิดความขุ่นเคืองของกู๋จื่อเช่าก็บรรเทาลง เขาหยิบถุงเงินของตัวเองขึ้นและตรวจสอบตั๋วทองที่เขาหอบมาจากบ้านเกิด
“ท่านเย่ ในเมื่อข้าได้ตั๋วทองคืนมาแล้ว เราก็กลับกันเถอะ” หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว กู๋จื่อเช่าก็ไม่คิดจะเอาความใดๆอีก
“ใช่แล้วท่านเย่ ข้าคิดว่าเราไม่ควรมาเสียเวลาในสถานที่อโคจรเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นที่ครหาในหมู่ชาวบ้านเสียเปล่าๆ” ลู่จุ้นเสริม
หยินจื่อและเจิ้งเสี่ยวได้ยินความใจกว้างของจอมยุทธ์ทั้งสองก็โล่งอก แต่สุดท้ายการตัดสินโทษนั้นก็ยังขึ้นอยู่กับเย่เย่อยู่ดี
เย่เย่เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นกับสองโจร “ถ้าพวกเจ้ายอมสละแขนคนละข้าง เรื่องราวในวันนี้ก็ถือว่าจบกัน”
ได้ยินดังนั้นสองโจรก็หน้าซีด พวกเขารู้ดีว่าเย่เย่ไม่ได้พูดเล่น
“ขอบคุณที่ไว้ชีวิตข้า” หยินจื่อกล่าวขอบคุณเย่เย่ ก่อนหักแขนซ้ายของตนอย่างไม่ลังเล
กร๊อบบบ!
เสียงกระดูกลั่นดังเสนาะหู ร่างของเจิ้งเสี่ยวก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ก่อนจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เขาพยายามทำใจอยู่นานก่อนเงื้อมือขวาขึ้น แต่ทว่าเขาเงื้ออยู่นานไม่กล้าลงมือ หยินจื่อเห็นดังนั้นก็ใช้แขนข้างที่เหลืออยู่หักแขนซ้ายของผู้เป็นลูกน้อง
กร๊อบบบ!
“อ๊ากกกกก” เจิ้งเสี่ยวใช้มือขวากุมแขนซ้ายของตน น้ำหูน้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุดและดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องครวญครางของเขาดังไปทั่วพรรค
เย่เย่ที่เห็นพวกเขาทั้งสองได้รับบทลงโทษที่สาสม เขาก็เดินจากไปพร้อมกับลู่จุ้นและกู๋จื่อเช่า ทั้งสองจอมยุทธ์ต่างคิดในใจว่าการกระทำของเย่เย่นั้นไร้หัวใจเกินไปหน่อย แต่พวกเขาก็ได้แต่ปิดปากเงียบไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆออกมา
เมื่อทั้งสามกลับมาถึงหอการค้าหยูเย่ เย่เย่ก็หยิบดาบประกายเพลิงจากชั้นวางอาวุธและวางมันต่อหน้าของกู๋จื่อเช่า ก่อนทวงสัญญาเขาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“ราคาต้นของดาบประกายเพลิงนั้นอยู่ที่ เจ็ดแสนตั๋วทอง เจ้าสัญญาว่าจะให้ราคามันมากกว่าราคาต้น 50% ดังนั้นราคาสุทธิอยู่ที่ หนึ่งล้านห้าหมื่นตั๋วทอง จ่ายมาตามสัญญา”
เมื่อได้ยินราคาของมันกู๋จื่อเช่าก็มีสีหน้าที่ลำบากใจ และหลบหน้าเย่เย่
“เจ้าเป็นอะไรไป?” เย่เย่ขมวดคิ้วและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ อย่างไรก็ตามกู๋จื่อเช่าไม่มีท่าทีจะตอบคำถามเย่เย่เลยแม้แต่น้อย
ผ่านไปพักใหญ่กู๋จื่อเช่าจึงรวบรวมความกล้า ก่อนถาม เย่เย่ขึ้น “ท่านไม่คิดว่าราคาของดาบนี้สูงไปสักหน่อยรึ? จริงอยู่ว่ามันเป็นของล้ำค่า แต่ด้วยราคาต้นเจ็ดแสนข้าว่ามันเกินไปหน่อย”
ได้ยินดังนั้น ทั้งเย่เย่และลู่จุ้นต่างขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เนื่องจากทีแรกกู๋จื่อเช่านั้นให้สัญญา ก่อนที่จะรู้มูลค่าจริงของมัน และในตอนนี้กู๋จื่อเช่านั้นมีเจตนากลับคำอย่างชัดเจน
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้ามีตั๋วทองอยู่เท่าไหร่ หากไม่ต่างจากราคาเดิมมาก ข้าจะขายให้ก็ได้” เย่เย่ถอนหายใจ ก่อนตอบไปอย่างส่งเดช
กู๋จื่อเช่าหลบหน้าเย่เย่ ก่อนชูสามนิ้วขึ้นด้วยความละอายใจ
“สามล้านงั้นรึ!?” ลู่จุ้นชี้ถาม
“สามแสนตั๋วทอง…” กู๋จื่อเช่าพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“เจ้าว่าไงนะ!? เจ้ามีเงินแค่นี้แล้วเจ้ากล้าให้สัญญากับท่านเย่ได้ยังไงกัน? เจ้านี่มัน ให้ตายเถอะ!” ลู่จุ้นสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยิน หากเย่เย่ไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้น บาทาของเขาคงลูบหน้ากู๋จื่อเช่าไปแล้ว
ใบหน้าของกู๋จื่อเช่าแดงก่ำด้วยความละอาย เขาเอาแต่ก้มหน้าหลบตา และไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา แม้บ้านเกิดของเขา อู๋เจิ้นจะอยู่ไม่ห่างจากหวางตู้ และได้ยินเรื่องของดาบประกายเพลิงมาอยู่บ้าง แต่ราคาขายของมันนั้นกลับไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่กู๋จื่อเช่าจะออกเดินทางประมุข ตระกูลกู๋ก็ได้เรี่ยไรเงินอย่างรีบๆ และมอบสามแสนตั๋วทองให้เขา พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าการซื้อดาบเล่มนึงต้องใช้เงินถึงเจ็ดแสนตั๋วทอง ยิ่งไปกว่านั้นจากการให้สัญญาพร่ำเพรื่อของ กู๋จื่อเช่าอาจทำให้ต้องสูญเงินกว่าหนึ่งล้านตั๋วทองเลยทีเดียว
“งั้นตามจำนวนเงินที่ขาดให้ข้าช่วยท่าน-” ก่อนที่กู๋จื่อเช่าจะพูดจบ เย่เย่ก็เหวี่ยงเขาออกจากร้าน และใช้พลังปราณปิดประตูลงกลอนเสร็จสรรพ
“ลู่จุ้นอย่าให้เขาเข้ามาโดยที่ข้าไม่อนุญาต เข้าใจไหม!” เย่เย่ออกคำสั่งลู่จุ้นก่อนเดินมือไพล่หลัง กลับไปยังห้องของตน
“ขอรับ!” ลู่จุ้นตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนชายตามองไปที่ประตูหอการค้า
กู๋จื่อเช่านับเป็นผู้มีวาสนา เขาเป็นลูกค้ารายแรกที่ถูก เย่เย่ไล่ออกจากร้านนับตั้งแต่การก่อตั้งหอการค้าหยูเย่
“ท่านพี่ลู่! ท่านพี่ลู่! เปิดประตูให้ข้าที” กู๋จื่อเช่าพยายามเคาะประตูเรียกร้องความสนใจ
“ถ้าเจ้ากล้ารบกวนเถ้าแก่อีกทีล่ะก็ ข้าจะแจ้งข้อหาบุกรุกกับเจ้า รู้หรือไม่ว่ามีโทษสถานใด?” ลู่จุ้นเริ่มใช้กฎหมายเข้ามาข่มขู่
กู๋จื่อเช่าได้ยินดังนั้นก็เข่าอ่อน ก่อนถอยออกไปหลายก้าว แต่ก็ยังไม่ลดละความพยายาม เขาคุกเข่าลงหน้าหอการค้าและเริ่มขอความเห็นใจกับลู่จุ้นผ่านประตู
“ท่านพี่ลู่ ช่วยเกลี้ยกล่อมท่านเย่แทนข้าที ไม่ว่ายังไงข้าต้องซื้อดาบประกายเพลิงมาให้ได้!”
ลู่จุ้นทำเป็นหูทวนลม และหันไปจัดการกิจการภายในอย่างไม่แยแส
ตกดึกคืนนั้น กู๋จื่อเช่าก็ยังคงนั่งอยู่หน้าหอการค้าราวกับสุนัขจรจัดหน้าร้านสะดวกซื้อ
ครืนนนนนนนนนนนน
เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าดังขึ้นเป็นระยะๆ ท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งกลับเต็มไปด้วยกลุ่มเมฆสีดำ ไม่ทันไรฝนก็โหมกระหน่ำราวกับพายุเข้า
ลู่จุ้นที่คาดว่ากู๋จื่อเช่าคงล้มเลิกความตั้งใจ ก็เหลือบตาดูหน้าร้านและพบว่ากู๋จื่อเช่ายังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมไปไหน
“เจ้าโง่! ใครใช้ให้เจ้าหาเรื่องท่านเย่กันล่ะ ทำให้ข้าต้องลำบากไปด้วย!”
“ข้าทำให้ท่านลำบาก?” กู๋จื่อเช่าเอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่เจ้าทำข้าลำบาก เพราะข้าอยากช่วยเจ้า แต่ข้าขัดคำสั่งท่านเย่ไม่ได้น่ะสิ เฮ้ออ” ลู่จุ้นยืนกอดอกเดินวนไปวนมาอยู่พักใหญ่ ก่อนตัดใจกลับห้องไป
เช้าวันถัดมา เมื่อลู่จุ้นออกมาเปิดหน้าร้านตามปกติ เขาก็พบร่างของกู๋จื่อเช่านอนไม่ได้สติ ตัวร้อนจี๋อยู่ เขาจึงหอบผู้ป่วยไปยังโรงหมอที่ใกล้สุดในละแวกนั้น
“ทำไมเจ้าต้องทำถึงขนาดนี้?” ลู่จุ้นบ่นพึมพำ ก่อนถอนหายใจยาวเหยียดออกมา
เมื่อกู๋จื่อเช่าได้สติ เขาลืมตาขึ้นมองไปรอบๆก็พบว่าเป็นลู่จุ้นที่ช่วยเขาเอาไว้ ทันใดนั้นเขาก็ลุกพรวดก่อนประสานมือเคารพลู่จุ้นด้วยความซาบซึ้ง
“น้ำใจของท่านพี่ลู่ ข้ากู๋จื่อเช่าจะไม่มีวันลืม การมาหวางตู้ของข้าในครั้งนี้ถือเป็นวาสนาของข้าที่ได้พบท่าน”
“เอาน่าๆ คนกันเองไม่ต้องมากพิธี เจ้าพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” ลู่จุ้นผสานมือรับคารวะจากผู้น้อง
“ไม่ได้ ข้าจะอยู่เฉยๆต่อไปไม่ได้ อั่ก” กู๋จื่อเช่าพยายามจะลุกขึ้น แต่อาการป่วยของเขาก็กำเริบเสียก่อน
“นี่เจ้าจะรีบร้อนไปถึงไหน ดาบประกายเพลิงมันสำคัญกับเจ้าขนาดนั้นเชียวรึ!?” ลู่จุ้นถาม ด้วยความสงสัย
“ในเมื่อท่านถามเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ปิดบังท่าน” กู๋จื่อเช่าตอบ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ตระกูลกู๋นั้นเป็นตระกูลที่ปกครองเมืองอู๋เจิ้น หนึ่งเดือนก่อนกู๋หลิงจอมยุทธ์หนุ่มสกุลกู๋ได้ออกท่องยุทธภพเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และฝึกฝนวิทยายุทธ์ ระหว่างทางเขาได้พบกับกลุ่มโจรที่กำลังลักพาตัวลูกสาวของชาวบ้านอยู่ กู๋หลิงยึดมั่นคุณธรรมก็ไม่รอช้าชักกระบี่ออกมากำจัดคนชั่วจนสิ้น แต่เรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หนึ่งในกลุ่มโจรนั้นคือ ยู่ฉาง ประมุขน้อยแห่งพรรคธารสวรรค์ที่มีอิทธิพลในเมืองจูเฉิง เมื่อยู่จินจ้าวสำนักทราบข่าวเขาก็นำศิษย์น้อยใหญ่บุกโจมตีอู๋เจิ้นเพื่อล้างแค้นในทันที
จูเฉิงนั้นเป็นเมืองที่ใหญ่กว่าอู๋เจิ้นอยู่หลายเท่า และพรรคธารสวรรค์นั้นเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุด ทำให้เมืองรองอย่างอู๋เจิ้นนั้นถึงคราวเคราะห์ นอกจากนี้ยู่จินยังบอกด้วยว่าเขาจะยอมถอนกำลังออกจากอู๋เจิ้นก็ต่อเมื่อสมาชิกตระกูลกู๋ทุกคนฆ่าตัวตายต่อหน้าเขาเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการตายของบุตรชายของเขา…