บทที่ 206 สถานการณ์คับขันในอู๋เจิ้น

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 206

สถานการณ์คับขันในอู๋เจิ้น

หลังจากที่สกุลกู๋ปรึกษาหารือกันอยู่นาน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เลือกที่จะสู้อย่างถึงที่สุด ผู้นำตระกูลจึงส่งกู๋จื่อเช่าพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่งเพื่อไปซื้อดาบประกายเพลิงที่มีอานุภาพต่อกรกับพรรคธารสวรรค์ได้

เนื่องจากพรรคธารสวรรค์นั้นมีหูมีตาอยู่ทุกที่ใน ภาคกลาง กู๋จื่อเช่าจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดกับ ลู่จุ้นในทีแรก แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นเขาจึงยอมปริปากบอก

ความกังวลของกู๋จื่อเช่านั้นไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลเสียทีเดียว เนื่องจากหลังจากที่เขาออกเดินทางจากอู๋เจิ้น ยู่จินประมุขพรรคธารสวรรค์ก็ได้นำกำลังคนเข้าปิดล้อมบ้านเกิดของเขา อีกทั้งยังออกคำสั่งให้ตามหาตัวกู๋จื่อเช่าอีกด้วย

ในขณะนี้เมืองอู๋เจิ้นตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กองกำลังของพรรคธารสวรรค์โอบหน้าล้อมหลังทางหนีทีไล่ของบ้านสกุลกู๋เป็นที่เรียบร้อย

หลังจากถูกกดดันอยู่นานหลายวัน ท้ายที่สุดกู๋หยุนเฟิงก็จำใจ เปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับยู่จิน และเหล่าจอมยุทธ์พรรคธารสวรรค์

“ยู่จิน! เจ้าออกมาหาข้าด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าข้าจะลอบโจมตีฐานที่มั่นของเจ้าน่ะ?” กู๋หยุนเฟิงข่มกลับ เหล่าผู้คนสกุลกู๋ที่ออกมาพร้อมกับเขาก็กุมอาวุธแน่น ด้วยสายตาที่มุ่งมั่นแน่วแน่ พร้อมตายเพื่อวงศ์ตระกูล

กู๋หลิงต้นเหตุความแค้นระหว่างสกุลกู๋และพรรคธารสวรรค์ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะรู้สึกผิดและเอาแต่ก่นด่าตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ภายในใจ เขาเองก็พร้อมจะรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“จริงอยู่ที่สกุลกู๋ของข้าผิดต่อประมุขพรรค แต่การที่เจ้านำคนมาข่มเหงรังแกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เช่นนี้ ช่างไร้มโนธรรมสิ้นดี! ข้า กู๋หยุนเฟิงในฐานะผู้ปกครองแห่งอู๋เจิ้น ขอประณามพรรคธารสวรรค์ของเจ้า!”

ยู่จินได้ยินกู๋หยุนเฟิงพูดดังนั้น เขาเพียงหันหน้ามาสบตาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ตอบกลับแต่อย่างใด ท่าทีของยู่จินแสดงให้เห็นว่าเขายังคงยืนกรานเช่นเดิม ตราบใดที่คนของเขาส่งข่าวการตาย

ของกู๋จื่อเช่ากลับมา พรรคธารสวรรค์ก็พร้อมจะดำเนินตามแผนการต่อในทันที

กุ๋หยุนเฟิงเมื่อเห็นท่าทีไม่แยแสของฝ่ายตรงข้าม เขาก็ฉุนเฉียวในทันที

“ที่นี่อู๋เจิ้น ไม่ใช่ที่ที่คนอย่างเจ้าจะมาทำอะไรได้ตามอำเภอใจ! หากเรื่องนี้ถึงหูประมุขอารามสวรรค์เมื่อใด พรรคธารสวรรค์ของเจ้าจะเหลือเพียงชื่อ!”

วีรกรรมของประมุขอารามสวรรค์เป็นที่เลื่องลือในยุทธภพ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก กู๋หยุนเฟิงจึงงัดอุบายนี้ออกมาเพื่อเขียนเสือให้วัวกลัว

แต่ทว่าอุบายนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับคนที่มีความแค้นเสียดกระดูกอย่างยู่จิน

“ประมุขอารามวิถีสวรรค์? นี่เจ้าคิดว่าเขาเป็นเทพเจ้าหรือไง? คิดว่าเขารู้ทุกอย่างงั้นสิ? ต่อให้เขารู้แล้วยังไงล่ะ? ตอนนี้ทั้งราชสำนัก ทั้งแปดนิกายต่างจับตามองเขาอยู่ เจ้าคิดรึว่าเขาจะมาช่วยเจ้าได้? คนที่เอาแต่หวังพึ่งคนอื่นอย่างเจ้านี่มันน่าสมเพชสิ้นดี!” ยู่จินตอบกลับด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ผู้นำตระกูลกู๋แห่งอู๋เจิ้น ใจปลาซิวชะมัด”

“ถ้าข้าเป็นคนสกุลกู๋ มีผู้นำแบบนี้ข้ายอมตายเป็นปุ๋ยให้วัชพืชดูท่าจะมีเกียรติกว่า ฮ่าฮ่าฮ่า”

บรรดาศิษย์พรรคต่างรู้ทันอุบายตื้นๆของกู๋หยุนเฟิง พวกเขาจึงหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกสมเพชเวทนา

ความอัปยศนี้ทำให้กู๋หยุนเฟิงโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างผิดรูป ก่อนที่จะสะบัดชายผ้าคลุมและเดินกลับเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยความเจ็บใจ

ถึงแม้ลึกๆแล้วเขาจะหวังพึ่งประมุขอารามวิถีสวรรค์ก็จริง แต่จากใจจริงแล้วเขากลับหวังให้กู๋จื่อเช่ากลับมาพร้อมกับดาบประกายเพลิงโดยเร็ว

ในอีกด้านหนึ่งเมื่อลู่จุ้นได้ล่วงรู้เรื่องราวทั้งหมดของกู๋จื่อเช่า เขาก็ตบบ่าผู้ที่เปรียบเสมือนน้องชายด้วยความเห็นอกเห็นใจ ครั้งหนึ่งตัวเขาเองก็มีภาระใหญ่หลวงที่ต้องฝ่าฟันมาไม่แพ้กัน

วันหนึ่งเขาจึงตัดสินใจ ลางานและพากู๋จื่อเช่าไปยังหอเทพศาสตรา หอค้าอาวุธที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของหวางตู้ โดยไม่ได้บอกให้เย่เย่ทราบ

ก่อนก่อตั้งหอการค้าหยูเย่สาขาหวางตู้ หอเทพศาสตรานั้นเคยเป็นหอค้าอาวุธที่มีชื่อเสียงเลื่องลือที่สุดในเมืองหลวง ทั้งราชสำนักและเหล่าลูกขุนมูลนายทั้งหลายต่างเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ แม้อาวุธของมันจะไม่ได้วิเศษวิโสเมื่อเทียบกับอาวุธที่แลกออกมาจากระบบ แต่มันก็ดีกว่าโรงหลอมเหล็กทั่วๆไปในเมืองหลวงเป็นสิบเท่าพันเท่า

ในสมัยเด็กลู่จุ้นเองก็เคยมีความผูกพันกับ ฉางเซี่ย ผู้จัดการหอเทพศาสตรามาก่อน เขาจึงกะจะใช้ฐานะของ หวงจิ้งเฟิงต่อราคาอาวุธให้กับกู๋จื่อเช่าสักหน่อย

“ขอบคุณท่านพี่ลู่ บุญคุณในครั้งนี้ กู๋จื่อเช่าจะไม่มีวันลืม!” กู่จื่อเช่ายิ้มกว้าง ประสานมือขอบคุณลู่จุ้นยกใหญ่ แม้จะผิดหวังที่ไม่ได้ดาบประกายเพลิงตามสัญญาที่ให้ไว้กับตระกูล แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก

ด้วยประวัติศาสตร์อยู่คู่เมืองหลวงมาอย่างยาวนานของหอเทพศาสตรา และมีพ่อค้าทรงอิทธิพลมากมายหนุนหลังอยู่ ทำให้ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของพวกเขายังไม่เป็นสองรองใคร แม้หอการค้าหยูเย่จะเริ่มมีอิทธิพล แต่ก็ไม่ได้ทำให้หอเทพศาสตราล้มละลายแต่อย่างใด แม้จำนวนลูกค้าจะลดลงไปหลายส่วนเมื่อเทียบกับในอดีตก็ตาม

เมื่อลู่จุ้นและกู๋จื่อเช่ามาถึง ฉางเซี่ย ชายวัยกลางคน รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์ ก็ออกมาต้อนรับในทันที

“อย่าบอกนะว่าเจ้าคือ ลู่จุ้น! ไม่ได้เจอกันตั้งนาน โตขึ้นขนาดนี้แล้วรึเนี่ย ข้าแทบจำไม่ได้แน่ะ” เพื่อรักษาสัมพันธภาพกับสกุลเหวิน ฉางเซี่ยจึงปฏิบัติกับลู่จุ้นด้วยดีเสมอมา

ในทีแรกลู่จุ้นนั้นคาดว่าท่าทีของฉางเซี่ยจะเปลี่ยนไป หลังสกุลเหวินสิ้นอำนาจ แต่เมื่อเขาได้เห็นท่าทีที่เป็นมิตรของชายร่างท้วม เขาก็วางใจ

“ท่านฉาง ข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าว ได้โปรดอภัย!” ลู่จุ้นผสานมือซ้ายขวา กล่าวขอโทษต่อฉางเซี่ย ก่อนอธิบายจุดประสงค์ที่มาในวันนี้

“ท่านฉาง กล่าวตามตรงวันนี้ข้ามาเนื่องจากมีกิจธุระ น้องชายของข้ากู๋จื่อเช่า ต้องการซื้ออาวุธที่เหมาะสมกับวรยุทธ์ชั้นเทพอสูร ไม่ทราบว่าท่านพอจะชี้แนะได้หรือไม่?”

หลังจากฟังคำของลู่จุ้น ฉางเซี่ยก็งุนงงเล็กน้อย ก่อนถามกลับอย่างอดไม่ได้ “น้องลู่ ที่เจ้าว่ามาไม่ใช่ว่าข้าจะทำให้ไม่ได้ แต่พักนี้ได้ยินมาว่าเจ้าทำงานที่หอการค้าหยูเย่นี่น่า? เหตุใดเจ้าจึงนำแขกมาหาข้ากันล่ะ?”

ได้ยินดังนั้นดวงตาของลู่จุ้นก็แฝงไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดว่าฉางเซี่ยที่ไม่ได้พบหน้าคร่าตากันมาหลายปีดีดักจะรู้เรื่องมากมายเกี่ยวกับเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่เก็บมาคิดให้มากความก่อนตอบคำถามของชายอ้วนอย่างตรงไปตรงมา

“นั่นน่ะเป็นเพราะความเข้าใจผิดเล็กๆน้อยๆ ทำให้เถ้าแก่ตัดสินใจไม่ทำการค้าขายใดๆกับน้องชายข้า ดังนั้นข้าจึงพามาหาท่าน”

กู๋จื่อเช่าก้าวเท้าขึ้นมา ก่อนเสริมขึ้น “ข้ากู๋จื่อเช่า ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ข้าต้องการอาวุธที่เหมาะกับระดับเทพอสูรโดยเร็ว ได้โปรดชี้แนะ!”

ฉางเซี่ยเห็นแววตามุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวของทั้งสอง ก็เกาคางอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนพูดขึ้น

“เมื่อเทียบกับบุญคุณของสกุลเหวินแล้ว เรื่องแค่นี้จิ๊บจ๊อย จิ๊บจ๊อย! ข้าจัดการให้เจ้าเอง” ฉางเซี่ยพูดพลางเดินนำทั้งสองเข้าไปยังสวนหย่อมหลังหอเทพศาสตรา

“ขอบคุณท่านฉาง!” ทั้งสองกล่าวขอบคุณด้วยความปีติยินดี

แม้ลู่จุ้นจะคิดว่า สามแสนตั๋วทองของกู๋จื่อเช่านั้นจะไม่เพียงพอสำหรับอาวุธระดับสูง แต่เขาก็มั่นใจว่าฉางเซี่ยจะเห็นแก่บุญคุณเก่าของหวงจิ้งเฟิง

แต่ในขณะที่พวกเขาย่างกรายเข้าไปในส่วนลึก กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ตีกรอบพวกเขาเอาไว้ ทันใดนั้นเองทั้งสองก็รับรู้ได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ

“ท่านฉาง ท่านคิดจะทำอะไร?” ลู่จุ้นถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ

ฉางเซี่ยที่หันหลังให้ ก็หันกลับมาแสยะยิ้มให้ด้วยความเจ้าเล่ห์ ราวกับท่าทีก่อนหน้าเป็นแค่เรื่องโกหก

“คิดจะทำอะไรงั้นรึ? เหอะ! นี่เจ้าคิดจริงๆรึว่าข้าจะช่วยเจ้าฟรีๆน่ะ บุญคุณของสกุลเหวินน่ะมันเป็นแค่เรื่องในอดีตเท่านั้น”

ได้ยินดังนั้นลู่จุ้นก็กำมือนั่น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ กู๋จื่อเช่าก็เช่นเดียวกันเขากวาดสายตามองใบหน้าของผู้คนที่ไร้ยางอายด้วยสายตาที่เปี่ยมโทสะ

“ข้าไม่คิดเลยว่าหอเทพศาสตราที่เลื่องชื่อจะตกต่ำจนถึงกับต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าเยี่ยงนี้” ลู่จุ้นมองใบหน้าที่ชั่วร้ายของ ฉางเซี่ย ก่อนกล่าววาจาด้วยถ้อยคำเสียดสี

“ขอบคุณที่ชม” ฉางเซี่ยผู้มากเล่ห์ยิ้มตอบ ก่อนขยิบตาให้สัญญาณกับกลุ่มชายฉกรรจ์

เหล่าชายร่างใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนพุ่งใส่สองจอมยุทธ์เยาว์วัย โดยพร้อมเพรียงกันอย่างไร้ความปรานี ด้วยความที่หอเทพศาสตราเป็นมหาอำนาจที่มีเหล่าพ่อค้า และผู้ทรงอิทธิพลหนุนหลัง เหล่าจอมยุทธ์ที่รับใช้หอค้าอาวุธนี้จึงมีวรยุทธ์ขั้นต่ำอยู่ในระดับเทพอสูร ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในครานี้ แม้แต่อำนาจฟ้าดินก็ยากจะช่วยเหลือพวกเขาได้…