บทที่ 207
หอเทพศาสตรา
ทั้งลู่จุ้นและกู๋จื่อเช่านั้นมีวรยุทธ์เพียงขั้นเทพยุทธ์ พวกเขาต้านทานเหล่าเทพอสูรได้ไม่เกินสามกระบวนก็เสียท่า ลู่จุ้นถูกชายร่างสูงจับเอาไว้ ส่วนกู๋จื่อเช่าที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบใช้เคล็ดวิชาเงาซ่อนเร้นกำบังกายหลบหนีไป
“คิดหนีงั้นเรอะ!” กลุ่มชายฉกรรจ์สบถถ้อยคำหยาบคายออกมาด้วยความเจ็บใจ พวกเขาพยายามตามหากู๋จื่อเช่าแต่ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ก่อนที่ฉางเซี่ยจะปรามเอาไว้
“ปล่อยมันไป! กะอีแค่หนูตัวเล็กๆ ไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหรอก” ฉางเซี่ยชายร่างท้วม สะบัดมือพลางพูดขึ้น
“ตะ แต่ว่า ถ้ามันหนีไปบอกเถ้าแก่หอหยูเย่ พวกเราจะแย่เอานะขอรับ”
ในฐานะคู่แข่งคนสำคัญ ตั้งแต่ที่หอการค้าหยูเย่เริ่มสร้างชื่อในหวางตู้ หอเทพศาสตราก็คอยจับตามองอยู่ไม่ห่าง ดังนั้นความเคลื่อนไหวต่างๆที่เกี่ยวกับหอการค้าหยูเย่ก็ไม่เคยหลุดรอดสายตาของหอเทพศาสตรา พวกเขารู้แม้กระทั่งเรื่องที่ลี่ตันบุตรชายของลี่เฉินผู้มีวรยุทธ์สูงเสียท่าให้กับเย่เย่ ดังนั้นฉางเซี่ยจึงพอเดาระดับวรยุทธ์ของเย่เย่ได้คร่าวๆ
แต่ความทะนงตนของฉางเซี่ยนั้นยากหาผู้ใดเปรียบ เขาชายตามองไปที่สีหน้าเป็นกังวลของเหล่าสมุน ก่อนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เหอะ! มีท่านผู้นั้นหนุนหลังอยู่ พวกเจ้าจะกลัวอะไรอีก? ต่อให้เย่เย่มาที่นี่จริง เขาก็ไม่กล้าแตะตัวข้าแม้แต่กระเบียดนิ้วเดียวเลยจะบอกให้ อีกอย่างกว่าเขาจะมาถึงเราก็ได้สิ่งที่เราต้องการแล้ว!”
เหล่าลูกสมุนมองหน้ากันไปมา ก่อนจะมีท่าทีที่ผ่อนคลายลง
“จริงด้วย! ท่านพูดถูก”
“พวกข้าก็แค่กังวล ใช่ว่าจะกลัวเย่เย่ที่ไหน”
หลังจากที่พวกเขาคุยโวโอ้อวดกันเสร็จสรรพ ก็ได้พานักโทษไปขังในคุกใต้ดินในส่วนลึกสุดของสวนหย่อม
เมื่อมาถึงคุกใต้ดิน ลู่จุ้นก็พบว่ามันแทบไม่ต่างอะไรกับคุกของราชทัณฑ์เลยแม้แต่น้อย เครื่องทรมานเรียงรายกันอย่างครบครัน ราวกับว่าพวกเขาเตรียมการมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
“น่าสนุกใช่ไหมล่ะ? ของพวกนี้ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะเลยนะ!” ฉางเซี่ยที่เห็นสีหน้าขมขื่นของลู่จุ้นก็อดหยอกเย้าไม่ได้
เขาดีดนิ้วเรียกชายฉกรรจ์เข้ามามัดมือมัดเท้าลู่จุ้นเอาไว้ ก่อนใช้เหล็กร้อนแนบไปที่กลางอกของลู่จุ้นอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
ซู่วววววววววววว
“อ๊ากก” ลู่จุ้นกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานแสนสาหัส น้ำหูน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่ขาดสาย ด้วยวรยุทธ์ขั้นเทพยุทธ์ทำให้เขาไม่สามารถใช้กำลังภายในลดทอนความเจ็บปวดได้แม้แต่เสี้ยวเดียว แต่ประสบการณ์จากคุกราชทัณฑ์ทำให้เขาพอที่จะกล้ำกลืนฝืนทนมันได้บ้าง
“เป็นไงบ้างล่ะ หือ? รสชาติของเหล็กร้อน หอมกรุ่นจากเตาดีใช่ไหมล่ะ?” ฉางเซี่ยหัวร่อ พลางใช้มือข้างหนึ่งบีบหน้าของ ลู่จุ้น
ลู่จุ้นไม่มีทีท่าว่าจะตอบกลับแต่อย่างใด ด้วยความเจ็บปวดเขาจึงได้แต่หายใจเข้าออกอย่างถี่ๆ
ฉางเซี่ยเห็นดังนั้นจึงไม่คิดจะปิดบังอะไรอีกต่อไป เขาเผยธาตุแท้ออกมาให้ลู่จุ้นได้ประจักษ์
“เจ้าไม่สงสัยบ้างเลยรึไง ว่าทำไมข้าถึงรู้เรื่องหอการค้า หยูเย่มากมายถึงขนาดนี้? ตั้งแต่ที่เจ้าเย่เข้ามาที่หวางตู้ แย่งลูกค้าจากพวกเราไปมากมาย ทำให้ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นเสี้ยนหนามที่คอยยอกคอยตำจิตใจของข้าทุกเมื่อเชื่อวัน พวกลูกค้าที่เหลืออยู่ก็แค่ต้องการรักษาไมตรีกับท่านผู้นั้นเอาไว้! เมื่อฟังเช่นนี้แล้วเจ้ายังไม่คิดอีกหรือว่าเจ้ามีส่วนต้องรับผิดชอบ!”
ระหว่างที่ฉางเซี่ยร่ายยาวสุภาษิต นัยน์ตาของเขาก็แสดงความเกลียดชังที่มีต่อหอหยูเย่อย่างไม่ซ่อนเร้น
ลู่จุ้นเห็นท่าทีที่วิปริตของอดีตคนสนิท ก็หัวร่อออกมาอย่างประชดประชัน “ฮ่าฮ่าฮ่า อย่างนี้นี่เองข้าเข้าใจล่ะ เพราะฉะนั้นเจ้าก็เลยใช้วิธีสกปรกจับข้ามาเป็นตัวประกันสินะ? ฝันไปเถอะ! คนอย่างข้าไม่มีค่าอะไรให้ท่านเย่ใส่ใจหรอก”
แม้น้ำเสียงจะแข็งกร้าว แต่สีหน้าและดวงตากลับแฝงไปด้วยความหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนว่าฟ้าจะลิขิตให้เขาอายุสั้น ถึงแม้จะเสียใจแต่ก็ไม่เสียดาย ต่อให้โลกนี้ไม่มีเย่เย่อยู่ อย่างไรซะวันหนึ่งด้วยฐานะในอดีตของเขาก็ต้องทำให้เขาพานพบก็จุดจบที่น่าเวทนาอยู่ดี
ฉางเซี่ยแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย ใช้มือบีบบังคับหน้าของ ลู่จุ้น จ้องมองดวงตาทะลุไปถึงจิตใจ ก่อนพูดขึ้นด้วยความสะใจ
“เรื่องนั้นข้ารู้ดี ยังไงซะสำหรับเจ้าเย่แล้ว เจ้าก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งให้เข้าใช้งานเท่านั้นแหละ!”
เมื่อลู่จุ้นได้ยินดังนั้น คำถามมากมายก็ผุดขึ้นในหัวของเขา
“งั้นรึ? งั้นเจ้าจับตัวข้ามีจุดประสงค์อะไร? เพื่อความสะใจหรือไง? คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเจ้านี่จะชั่วช้าสามานย์ได้ถึงเพียงนี้!”
ครั้งนี้ฉางเซี่ยไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป เขาเปิดเผยแผนการที่แท้จริงของเขาออกมา
“คิดไม่ถึงว่าจะมีแต่ข้าที่สงสัยในเรื่องนี้ ผู้คนแดนประจิมไม่เอะใจบ้างรึไงว่าเจ้าเย่มันเอาสินค้าล้ำค่ามากมายขนาดนั้นมาจากไหน? ในที่สุดความจริงก็จะถูกเปิดเผยแล้ว! เอาล่ะ ในฐานะสมาชิกหอการค้าหยูเย่เพียงหนึ่งเดียว บอกให้ข้าชื่นใจสักหน่อยซิ!”
สาเหตุที่หอการค้าหยูเย่เป็นที่นิยมในหวางตู้ได้ในระยะเวลาอันสั้น นอกจากใบหน้าอันหล่อเหลา เสน่ห์ที่ดึงดูดเกินห้ามใจของเย่เย่แล้วนั้น ประสิทธิภาพสินค้าที่เหนือจินตนาการคือปัจจัยหลัก นอกจากเกราะแสงอาทิตย์ที่นำออกมาโฆษณาในช่วงแรกแล้ว ยาวิเศษต่างๆก็มีคุณภาพสูงกว่าร้านสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป อีกทั้งยังมีสินค้าแปลกประหลาดมากมายที่ไม่คุ้นหูผู้คนในยุทธภพที่สร้างแรงกระเพื่อมได้เป็นอย่างดี ไม่แปลกเลยที่หอการค้าหยูเย่จะเป็นที่เพ่งเล็งของหอเทพศาสตราและหอการค้าอื่นๆที่ได้รับผลกระทบ
ครั้งหนึ่งหอเทพศาสตราได้ลงทุนลงแรงกับการสืบเสาะหาเบาะแสของแหล่งที่มาของสินค้าเหล่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่เคยได้ข้อมูลที่เป็นชิ้นเป็นอันกลับมาเลย ดังนั้นฉางเซี่ยจึงเบนเข็มมาหาลู่จุ้นเพื่อเค้นความจริงจากปากเขา
“ข้า ข้าไม่รู้! ต่อให้ข้ารู้ข้าก็จะไม่บอกเจ้าแม้ครึ่งประโยค จะฆ่าจะแกงก็เชิญ”
เมื่อพูดจบเขาก็ปิดปากเงียบและหลับตาลงไม่แสดงท่าทีใดๆอีก เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่าสินค้าพวกนั้นมาจากไหน ทุกครั้งที่เย่เย่ออกจากประตูร้านไป เขาจะกลับมาพร้อมกับสินค้าจำนวนมาก ลู่จุ้นมีหน้าที่เพียงแค่ตรวจสอบและจัดวางสินค้าเพียงเท่านั้น แม้ลู่จุ้นจะแอบสงสัยอยู่บ้าง แต่เขาก็คิดเพียงแค่ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเท่านั้น และไม่เคยเอ่ยปากถามกับเย่เย่โดยตรง
อย่างไรก็ตามฉางเซี่ยไม่เชื่อคำพูดของลู่จุ้น เขาจุ่มแท่งเหล็กเข้าไปในเตาหลอม ก่อนจะยีมันลงที่อกซ้ำรอยแผลเดิมของลู่จุ้น
ซู่วววววววววว
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก! ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่รู้! ฆ่าข้าเถอะ!”
“ปากแข็งนักนะ! ไม่ยอมพูดใช่ไหม!?”
ฉางเซี่ยทรมานลู่จุ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเวลาล่วงเลยไปหลายชั่วยาม
ในอีกด้านหนึ่ง กู๋จื่อเช่าที่หลบหนีออกมาได้ เขาก็รีบดิ่งตรงไปหาเย่เย่เพื่อแจ้งข่าวในทันที แม้คำเตือนของเย่เย่จะวนเวียนอยู่ในหัว แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะเปิดประตูเข้าไปเผชิญหน้ากับเย่เย่
“ท่านเย่ ท่านเย่! อยู่รึเปล่า ข้ากู๋จื่อเช่ามีเรื่องวานให้ท่านช่วย! ได้โปรดรับฟังข้าด้วยเถอะ”
เสียงของกู๋จื่อเช่าดังเสียจนทำลายสมาธิของเย่เย่ที่กำลังนั่งขัดสมาธิเดินพลังอยู่ เย่เย่เบิกตาขึ้นด้วยความหงุดหงิดก่อนพบว่าคนที่มาก่อกวนเขาก็คือกู๋จื่อเช่าเจ้าเก่า
“โหวกเหวกโวยวายอะไรกัน? ถ้าเหตุผลของเจ้าฟังไม่ขึ้นล่ะก็ ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
ด้วยสายตาที่เย็นชาของเย่เย่ ทำให้กู๋จื่อเช่าเสียวสันหลังวาบ เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากอย่างไม่ขาดสาย ขาทั้งสองข้างแข็งทื่อ ความคิดทุกอย่างปั่นป่วนไปหมด มีเพียงสัญชาตญาณที่บอกให้เขาหนีไปให้ไกลเท่านั้น…