เธอเดินออกมา ออกัสก็มานั่งที่โซฟา แล้วหยิบขวดเหล้าขวดนึงออกมาจากตู้เหล้า แล้วยืนอยู่ที่หน้าต่างก็ได้เห็นร่างของเธอค่อยๆเดินจากไปไกล จนกระทั่งหายลับไป
ผู้หญิงใจโหด….
ดีกรีของบรั่นดีนั้นสูงมาก เขาดื่มไปขวดนึงเต็มๆ หลายวันที่เธอไม่อยู่ เขาก็ไม่เคยนอนหลับได้ดีเลย ใช้แอลกอฮอล์ทำให้ชาแล้วหลับไปก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเหมือนกัน
เหล้าหมดขวด เขานอนแผ่อยู่บนโซฟา เวลานี้เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น เขากลับหลับลึกไปแล้วเลยไม่ได้ยิน
ไม่ได้ยินเสียงตอบรับ คนที่มาเลยเปิดประตูเข้าไปเอง คนที่เดินเข้ามาก็คือหยาดฝน
เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่ยาวลงมาถึงข้อเท้า ส่วนเอวคาดเข็มขัด ใส่รองเท้าส้นสูง มองเขาที่อยู่บนโซฟา
กลิ่นเหล้าในห้องอพาร์ทเม้นท์แรงมาก ทำให้เธอดมจนแสบจมูก ขมวดคิ้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาดื่มไปเท่าไหร่กันแน่
ไปที่ห้องครัว เธอต้มซุปกินเพื่อสร่างเมามาวางไว้ที่หน้าของเขา แต่ไม่ว่าจะเรียกเขายังไงเขาก็ไม่ตื่น หยาดฝนถอนหายใจเบาๆ ประคองร่างของเขาขึ้น “ดื่มสักนิด”
ออกัสไม่ได้ดื่มแล้วก็ไม่ได้ลืมตา แต่ยื่นมือออกมากอดเอวบางของเธอ คางมาอยู่ส่วนไหล่ของเธอ “อย่าไป อยู่เป็นเพื่อนผม…..”
เกิดอาการใจอ่อน หยาดฝนตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ พูดด้วยเสียงเบาว่า “ฉันไม่ไป….”
“อื้ม….” เขาตอบรับ ร่างของเขาถึงผ่อนคลายลง แล้วพูดพึมพำว่า “เชอร์รีน เชอร์….”
ทันใดนั้น ร่างของหยาดฝนเหมือนถูกฟ้าผ่า ชื่อของเชอร์รีนเหมือนผ่าลงกลางใจของเธอ ทั้งคม ทั้งบาด
ท่าของเธอค้างไว้อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ขยับ ชั่วครู่มุมปากจึงยิ้มอย่างขื่นขม
“เธอเจ็บ ฉันก็เจ็บด้วย จะเจ็บ ก็เจ็บไปด้วยกัน เด็กเป็นของคุณและก็เป็นของผมด้วย เจ็บไปด้วยกัน….”
เขาหลับได้อย่างไม่สบายใจนัก คิ้วขมวด เสียงที่ทุ้มลึกนั้นถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปาก
ทุกๆครั้งที่ได้ยิน ใจของหยาดฝนก็เจ็บปวดเพิ่มขึ้น ความรู้สึกที่ลึกซึ้งของเขา ความจริงใจเหล่านั้นที่ได้ทะลักออกมามันไม่ได้เป็นความรู้สึกที่มีต่อเธอ
เขาอยู่ในท่านั้นไม่ได้ขยับ และเธอนั่งอยู่บนพรมก็ไม่ได้ขยับเหมือนกัน ในห้องนั้นเงียบ บรรยากาศไหลไปอย่างเงียบสงบ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ อาจจะชั่วโมงนึงหรือสองชั่วโมง เขาได้ตื่นขึ้น ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
สิ่งที่เข้ามาสัมผัสในม่านตาเป็นคอที่ขาวผ่องของผู้หญิง แต่กลิ่นที่จมูกได้สัมผัสนั้นกลับไม่ใช่ของเชอร์รีน ออกัสหรี่ตามอง ผลักผู้หญิงคนนั้นออก
ในขณะที่เธอไม่ได้ระวัง หยาดฝนถูกเขาผลักล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้น
เขาคิ้วขมวดและมีความตกใจ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ยังไม่สร่างเหล้า หัวของเขาค่อนข้างมึน ออกัสสะบัด
หัว มือที่เรียวงามนั้นมาอยู่ที่ระหว่างคิ้ว เขาค่อยๆคลึงมัน
“ฉันมาเยี่ยม คิดไม่ถึงเลยว่าคุณจะดื่มเหล้ามากมายขนาดนั้น” เหมือนว่าเธอเป็นภัยพิบัติอันใหญ่หลวง ท่าทางของเขาทำร้ายเธออีกครั้ง ยันร่างตัวเอง หยาดฝนลุกขึ้นยืน
“อืม….” ออกัสมุมปากของเขาฉีกขึ้น และพูดขึ้นว่า “จะไปไหม? ผมจะไปที่ที่นึง….”
“ฉันจะไปกับคุณ!” เธอพูด
เขากลับปฎิเสธอย่างไม่ลังเลและไม่ชักช้าว่า “ผมไปคนเดียวก็ได้ คุณกลับบ้านตระกูลสิริไพบูรณ์เถอะ”
สิ่งที่เขาต้องการคือให้ความเมา ต้องการที่จะผ่อนคลาย หลังจากผ่อนคลายแล้ว สิ่งที่ควรจะทำต่อยังคงจะทำต่อไป….
หยาดฝนหัวเราะเยาะ “การพบเจอกันระหว่างฉันกับคุณเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ขนาดคำพูดห่วงใยยังไม่มี รีบไล่ฉันไปอย่างนี้เลยหรอ?”
“เปล่า ผมมีธุระ รีบทำเวลา สถานที่นั้นไม่เหมาะที่จะให้คุณไป…”
“สถานที่ไหน?” หยาดฝนย้อนถาม “ไม่มีสถานที่ไหนที่ไม่เหมาะสมที่จะไป นี่คงหลีกไม่พ้นเป็นข้ออ้างของคุณ”
ได้ยินดังนั้น นัยน์ตาของออกัสก็เปลี่ยนเป็นดำดิ่งเหมือนน้ำหมึกสีดำ “จะไปจริงๆหรอ?”
“จะไป….” หยาดฝนตอบอย่างห้าวหาญ เธอจะไปก็คือจะไป ต้องไปให้ได้ เธออยากรู้ว่ามันคือสถานที่ไหนกันแน่!
……
เพียงแค่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือสถานที่ที่เขาพาเธอมาจะเป็นที่…..
อืม สถานที่ที่เขาพาเธอมาเป็นบ้านของเชอร์รีน เขากำลังขอให้กนกอรยกโทษให้ และเธอก็ยืนอยู่ด้านข้าง…..
นี่มันเป็นสภาพการณ์แบบไหนกัน?
ช่วงเที่ยงดื่มเหล้าก็เยอะ เหล้ายังไม่สร่าง ก็ลืมตาขึ้นมา สถานที่แรกที่อยากมากลับเป็นที่นี่ เขาไม่แยแสเลยใช่ไหมว่ามันจะบาดลึกแผลใจของเธอไม่พอ?
ไม่เคยมีตอนไหนเหมือนอย่างนี้มาก่อนเลย หยาดฝนรู้สึกทั้งเจ็บทั้งปวดหัวใจและเกิดอาการสิ้นหวัง
กนกอรยังคงปิดใจให้เขา เมื่อประตูเปิด หลังจากได้เห็นหน้าของคนทั้งสองอีกก็ตบหน้าเขาหนักๆ
สีหน้าของออกัสไม่ได้แปรเปลี่ยน และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าอับอาย เขาก็ใส่ชุดสูทยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น
หยาดฝนไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แต่ก่อนเขามีสง่าราศี มีเกียรติ มีความหยิ่งยโส
ในใจเหมือนถูกของอะไรมากระทำอย่างรุนแรง มือของหยาดฝนมาตกอยู่ที่แขนของเขาแล้วกระฉาก “พอได้แล้ว!”
“ผมจะอยู่ที่นี่อีกนาน คุณกลับไปเถอะ…” เขาเอามือของเธอออก ออกัสเอ่ยปากพูดด้วยเสียงเย็นชา
“อีกนาน? อีกนานนี่คือนานถึงเมื่อไหร่” เปลวไฟความรู้สึกที่รุนแรงนั้นได้แผดเผาในใจของหยาดฝน เหมือนว่ามันเผาทำร้ายสติปัญญาของเธอไปหมด “ทำไมคุณทำอย่างนี้? คุณไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนี้เลยนะ คนที่ทำให้พ่อเธอตายไม่ใช่คุณนะ!”
เธอไม่ชอบที่เขามีท่าทางอย่างนี้ เขาไม่ได้เป็นคนที่ก้มหัวพูดจาให้ใคร
“แต่ว่าเป็นสิงหา….” เขาพูด
“ดังนั้นเป็นพี่ใหญ่ที่ทำให้เขาตาย ไม่ใช่คุณ คุณไม่มีความผิด ไม่มีความจำเป็นที่จะก้มหัวพูดจาอย่างนี้!”
หลังจากที่ออกัสชายตามองเธอ ถึงพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า “ผมรักเขา ไม่เคยก้มหัวพูดจาอย่างนี้ กับความรักแล้วมันไม่มีคำว่าหยิ่งหรือทะนงตัวหรอก”
แต่ว่าหยาดฝนกลับยิ้มเยาะอย่างขื่นขม ความเจ็บปวดที่ได้ขาดสลายนั้นได้เพิ่มขึ้นแล้วได้แพร่เข้ามา ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดเขาก็เพื่อเชอร์รีน เขายอมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างของตัวเอง?
เธอไม่ยอม ใจนั้นไม่ยอม!
……
“หม่ามี๊ หนูจะกินคุณปู่เคเอฟซี!” ซารางวิ่งออกมาจากในห้อง ในลานบ้านนั้นเชอร์รีนกำลังซักผ้าอยู่
“สองวันก่อนเพิ่งจะกินไปเองไม่ใช่หรอ?” เธอไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา บิดหัวก๊อก เสื้อที่อยู่ในนั้นส่วนใหญ่เป็นของซาราง
เธอทำปากเบ้ขึ้น ขาน้อยๆเดินเข้ามาข้างหน้าแล้วยืนอยู่ที่บนพื้นหินอ่อน “ในโทรทัศน์มีโฆษณาใหม่ของคุณปู่เคเอฟซี ขาไก่ทอดดูเหมือนใหญ่ขึ้นมากๆ!”
เชอร์รีนไม่สนคำพูดเธอ กำลังซักผ้าที่อยู่ในกะลามัง เธอขยี้ที่ปกคอเสื้อ
“หม่ามี๊!” ซารางไม่ยอม มือขาวน้อยๆนั้นจับที่ชายเสื้อของเชอร์รีน “เมื่อวานเราก็นอน วันนี้เราก็นอน พรุ่งนี้เราก็ต้องนอนอีกเหมือนกัน ทำไมเมื่อวานเรากินคุณปู่เคเอฟซีไปแล้ว วันนี้จะกินอีกไม่ได้?”
“ทำไมเหตุผลของลูกมันเยอะอย่างนี้ ก๋วยเตี๋ยวลูกกินเสร็จแล้วหรือยัง?”
“หนูไม่อยากกินก๋วยเตี๋ยว หนูอยากกินคุณปู่เคเอฟซี” เธอเบ้ปากขึ้นพลางกลืนน้ำลาย เหมือนว่าอยากที่จะกินมาก
ในขณะนั้นเอง เสียงทุ้มที่คุ้นเคยนั้นก็ดังขึ้น “ซาราง”
หันกลับมา ซารางก็รีบกระโดดลงจากบนพื้นหินอ่อน วิ่งไปข้างหน้าพลางยิ้ม เปียห้างม้าสะบัดไปมา “แดดดี๊!”