ส่วนที่ 5 ตอนที่ 19-1 สนทนาลับในห้องหนังสือ

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

บนขาของนกเหยี่ยวมีจดหมายผูกไว้ แฝงกลิ่นดอกลั่วเหมยโชยมาสายหนึ่ง 

 

 

           เซี่ยฟางหวาแก้จดหมายออก ค่อยๆ เปิดอ่าน พบว่าบนกระดาษวาดเส้นทึบแนวนอนไว้สองเส้น วงกลมหนึ่งวงล้อมรอบสองเส้นทึบนั้นเอาไว้อีกที นอกวงวาดสัญลักษณ์ ‘X’ เอาไว้หลายตัว 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเข้าใจโดยพลัน วางจดหมายลง ก่อนเดินไปหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ จากนั้นก็จับพู่กันวาดเส้นทึบแนวนอนขึ้นมาสองเส้นเช่นกัน พร้อมทั้งวาดลูกศรด้วย ทิศทางที่หัวลูกศรชี้ไปยังวาดเส้นทึบแนวตั้งที่จัดอยู่ในประเภทเสาหนึ่งเส้น หลังวาดเสร็จแล้ว ก็นำจดหมายผูกเข้ากับขานกเหยี่ยว ก่อนปล่อยมันบินออกไป 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องคอยมองอยู่ด้านข้างตลอดเวลา กระทั่งเหยี่ยวบินออกไปแล้ว จึงถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “หวาเอ๋อร์ เป็นจดหมายของเจิงเอ๋อร์หรือ” 

 

 

           “ท่านแม่ เป็นจดหมายของเขา” เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           “พวกเจ้าใช้สัญลักษณ์ใดกัน ข้ามองแล้วไม่เข้าใจ” พระชายาอิงชินอ๋องพลิกมองจดหมายของฉินเจิง ทว่าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อดมิได้ที่จะถามขึ้น 

 

 

           “ในอาณาเขตสิงหยางที่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางตั้งอยู่ทั้งหมดนั้นมีแม่น้ำสองสาย แม่น้ำสองสายนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้กับทิศเหนือของสิงหยาง ไหลเข้าสู่ทะเลบูรพา ทว่ามิได้บรรจบกัน ก่อเป็นแม่น้ำขนานสองสาย เขาจึงเลือกใช้เส้นทึบสองเส้นแทนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง สาเหตุที่วาดวงกลมเอาไว้คือ ล้อมเอาไว้ก่อน ยังไม่ต้องทำให้มันแตกตื่น ส่วนสัญลักษณ์ ‘X’ ด้านนอกพวกนี้คือสังหาร หรือก็คือกำจัดสายสอดแนมทั้งหมดที่อยู่นอกสิงหยางกับสายสอดแนมเป่ยฉี” เซี่ยฟางหวายิ้มตอบ  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องกระจ่างแจ้ง 

 

 

           “ส่วนจดหมายที่ข้าตอบเขาคือ เส้นทึบแนวนอนสองเส้นแทนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ลูกศรหมายถึงคนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางใกล้เข้าเมืองมาแล้ว ส่วนเส้นทึบแนวตั้งแทนเสาหลัก หรือก็คือหมายถึงวังหลวง”  

 

 

เซี่ยฟางหวาอธิบาย “ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเข้าเมือง โอรสสวรรค์ทรงเรียกเข้าเฝ้า ย่อมเป็นเรื่องแน่นอน ถ้าเขาส่งคนไปตรวจสอบ ก็จะทราบเรื่องงานสมรสระหว่างจวนองค์หญิงใหญ่กับตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง” 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเข้าใจแล้ว เอ่ยติดตลกว่า “พวกเจ้าสองคนมีจิตใจเชื่อมโยงกันโดยแท้ หากเป็นข้าที่เห็นจดหมายสองฉบับนี้ คงไม่เข้าใจอันใดทั้งนั้น” 

 

 

           “ตอนนี้มีเรื่องน่ากังวลมากมาย คนไม่น้อยกำลังจับตามองฉินเจิงกับข้า นกเหยี่ยวเองก็ใช่ว่าจะปลอดภัยมาก หากตกอยู่ในมือคนอื่นก็จะทำให้ไขปริศนามิได้เช่นกัน” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า ถอนหายใจออกมา “หนานฉินสงบสุขมาหลายปี สถานการณ์ตอนนี้ถูกตีแตก บรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ควรระมัดระวังทุกสิ่ง” พูดจบ นางก็ถามต่อ “เจ้ารู้แล้วใช่ไหมว่าไทเฮากับฝ่าบาทก็จะเสด็จมาชมดอกไม้ที่จวนวันพรุ่งนี้ด้วย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า “ตอนที่เสี่ยวเฉวียนจื่อมาถึง ซื่อฮว่าได้สืบข่าวมาแล้ว จึงมารายงานกับข้า” 

 

 

           “ฝ่าบาทกับไทเฮาเสด็จมาที่จวน ใช่มีเป้าหมายอื่นหรือไม่” พระชายาอิงชินอ๋องแปลกใจ  

 

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยตอบ “ฝ่าบาทน่าจะเดาเป้าหมายที่ข้าคิดจัดงานชมบุปผา แต่มิทราบเจตนาแน่ชัด จึงอาศัยว่ามาชมดอกไม้กับไทเฮาวันพรุ่งนี้เพื่อสอบถามข้า” 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องถามทันที “หวาเอ๋อร์ ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน เหตุใดเจ้าถึงจัดงานชมบุปผาวันพรุ่งนี้” 

 

 

           “ประการแรกเพื่อดึงสายตาทุกคนมาที่งานชมบุปผา มิให้จับตามองร่องรอยการเดินทางของฉินเจิง เพื่อเลี่ยงมิให้มีคนไปรบกวนเขาระหว่างทำภารกิจ ประการที่สองอาศัยจังหวะนี้เป็นข้ออ้างเชิญท่านอาสะใภ้หกมาที่จวน ข้ามีเรื่องต้องปรึกษากับนาง ประการที่สามก็คือ ราชวงศ์เป็นกลุ่มหนึ่ง เรือนหลังหลากจวนก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ฮูหยินก็มีกลุ่มของฮูหยิน คุณหนูก็มีกลุ่มของคุณหนู ข้าอยากอาศัยโอกาสนี้ดูว่า จะใช้ประโยชน์เพื่อช่วยบ้านเมืองทางอ้อมอย่างไร สลายกำลังของตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง” เซี่ยฟางหวาตอบ  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องกระจ่างแจ้ง ยกมือกดหน้าผากนาง “โชคดีที่เจ้าเป็นบุตรีในตระกูล” 

 

 

           “ท่านแม่กำลังชมข้าใช่ไหม” เซี่ยฟางหวาหลุดยิ้ม 

 

 

           “แน่นอนว่ากำลังชมเจ้า” พระชายาอิงชินอ๋องแย่งงานในมือนางมาแทน “ข้าทำเองดีกว่า เจ้าอย่าหักโหมเลย ไม่ว่าใครเห็นแล้วล้วนบอกว่าเจ้าผอมเกินไป ต้องบำรุงร่างกายชดเชย” พูดจบก็กล่าวต่อ “จะว่าไปแล้ว ลวดลายบนผ้าผืนนี้ดูแล้วงดงามนัก หากไม่สังเกตยังมองไม่ออกว่ามีความลับซ่อนอยู่ ทำเป็นเสื้อตัวในก็น่าเสียดาย หากสวมใส่ภายนอก ต้องงดงามมากเป็นแน่” 

 

 

           “ผ้าแบบนี้มิอาจสวมใส่ไปไหนมาไหนได้ วางทิ้งไว้ก็น่าเสียดายเช่นกัน มิสู้ทำเป็นเสื้อตัวในให้ฉินเจิง วันหน้านำมาใช้กำจัดตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว  

 

 

           “ก็จริง” พระชายาอิงชินอ๋องพยักหน้า 

 

 

           “ท่านแม่ ท่านไปทำธุระเถิด ข้าจะเย็บเสื้อผ้าช้าๆ ไม่หักโหมก็พอแล้ว งานชมบุปผาวันพรุ่งนี้ ในเมื่อ 

 

 

ฝ่าบาทกับไทเฮาเสด็จมาด้วย ก็ยังมีสิ่งที่ต้องเตรียมอีกมาก” เซี่ยฟางหวากล่าวอีก  

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องได้ยินเช่นนั้นก็วางเข็มกับด้ายลง “ก็ได้ เช่นนั้นเจ้าอย่าหักโหม” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องไม่มัวอยู่นาน ออกมาจากเรือนลั่วเหมย 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมาอีกครั้ง หลังเย็บเสื้อตัวในเสร็จแล้วตัวหนึ่ง ฟ้าก็มืดมิดลงพอดี นางจึงเก็บผ้าส่วนที่เหลือเอาไว้ก่อน 

 

 

           หนึ่งคืนผ่านไปอย่างเงียบสงบ 

 

 

           เช้าวันที่สอง จวนอิงชินอ๋องคึกคักตั้งแต่เช้า พระชายาอิงชินอ๋องกำกับบรรดาเด็กรับใช้ให้ทยอยนำกระถางดอกไม้จากห้องเพาะดอกไม้ไปวางไว้ที่ศาลาริมน้ำภายในจวน จวนทั้งหลังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมดอกไม้ชั่วขณะ 

 

 

           เซี่ยฟางหวานอนหลับสนิททั้งคืน ตื่นมาเช้านี้จึงสดชื่นอย่างยิ่ง หลังแต่งกายเรียบร้อยแล้ว ก็นำพวกซื่อฮว่ากับซื่อม่อแปดคนไปช่วยงานพระชายาอิงชินอ๋อง และให้อวี้จั๋วกับหลินชีเฝ้าเรือนลั่วเหมย 

 

 

           ครั้นนางมาถึงศาลาริมน้ำ หลูเสวี่ยอิ๋งก็มาถึงก่อนนางแล้ว 

 

 

           เห็นนางมาถึง หลูเสวี่ยอิ๋งก็ก้าวขึ้นมา ยิ้มพลางควงแขนนาง “ท่านแม่แบ่งโต๊ะแยกฮูหยิน คุณหนู และเหล่าแขกบุรุษ ใช้ม่านมุกกั้นเอาไว้” 

 

 

           “ยังมีแขกบุรุษด้วย” เซี่ยฟางหวามองสำรวจแวบหนึ่ง  

 

 

           “ฝ่าบาทก็เสด็จมาด้วย ท่านแม่จึงเชิญพวกคุณชายมาร่วมด้วยเสียเลย” หลูเสวี่ยอิ๋งยิ้มตอบ  

 

 

           เซี่ยฟางหวานึกขึ้นได้ว่าฉินอวี้ก็มาด้วยเช่นกัน มิอาจมีแค่บรรดาแขกสตรีแล้วทิ้งเขาเอาไว้เพียงลำพัง จึงยิ้มบอกว่า “ก็จริง” 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเดินเข้ามา กล่าวกับทั้งสองคน “พวกเจ้าไม่ต้องคอยรับแขก เข้าไปอยู่ในเรือนไม้อุ่นที่ศาลาเถอะ เมื่อแขกมาถึงแล้ว พวกเจ้าคอยอยู่รับรองก็พอ” หยุดชั่วครู่แล้วกล่าวอีก “ไทเฮากับเหล่าฮูหยินข้ารู้จักดี ฝ่าบาทกับเหล่าคุณชายมีคุณชายใหญ่คอยต้อนรับ พวกเจ้าสองพี่น้องคอยต้อนรับเหล่าคุณหนูก็พอ” 

 

 

           “ตอนนี้ยังเช้าอยู่ พวกเราเองก็ช่วยท่านแม่เตรียมงานด้วย” หลูเสวี่ยอิ๋งกล่าว “น้องสะใภ้ร่างกายไม่แข็งแรง ให้นางไปพักก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวข้าค่อยตามไป” 

 

 

           “ไม่มีอันใดต้องช่วย พวกเจ้าเข้าไปเถอะ ไม่ต้องถึงมือพวกเจ้าหรอก” พระชายาอิงชินอ๋องโบกมือ  

 

 

           หลูเสวี่ยอิ๋งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าวกับเซี่ยฟางหวา “การได้เป็นลูกสะใภ้ของท่านแม่นับว่ามีวาสนา พวกเรากินดื่มเที่ยวเล่นก็พอแล้ว นี่เป็นวาสนาที่สะสมมากี่ชาติกัน” 

 

 

           “เห็นด้วย” เซี่ยฟางหวายิ้มพลางพยักหน้า 

 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องเองก็ยิ้มขำ ก่อนเอ่ยเร่ง “พวกเจ้ารีบไปได้แล้ว” 

 

 

           ทั้งสองคนพยักหน้า ก่อนเข้าไปในเรือนไม้อุ่นที่ศาลาด้วยกัน 

 

 

           ทั้งสองเพิ่งจะนั่งลง ชุนหลันก็นำทางฮูหยินหมิงกับเซี่ยอีจากเรือนหกเข้ามา 

 

 

           เซี่ยฟางหวากับหลูเสวี่ยอิ๋งลุกขึ้นทำความเคารพฮูหยินหมิงทันใด 

 

 

           ฮูหยินหมิงยิ้มพลางโบกมือปราม “อีเอ๋อร์รบเร้าจะออกมาตั้งแต่เช้าตรู่ พวกเราจึงมาถึงไว” 

 

 

           “ท่านแม่บอกว่ามาเร็วเกินไป จวนอิงชินอ๋องยังเตรียมงานไม่เสร็จดี เกะกะเปล่าๆ” เซี่ยอีเดินเข้ามา ก่อนสอดมือคล้องแขนเซี่ยฟางหวา ทำปากจู๋ว่า “ข้าจึงบอกท่านแม่ว่า พวกเราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน มาก่อนล่วงหน้าจะได้ช่วยงานได้ นางจึงแล้วแต่ข้า ยอมมาก่อนเวลา” 

 

 

           “ข้าว่าด้านนอกพระชายาเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ไหนเลยต้องให้พวกเราช่วยเหลือ” ฮูหยินหมิงมองค้อนเซี่ยอีแวบหนึ่ง 

 

 

           “ข้ารับรองว่าจะไม่ทำตัวเกะกะ” เซี่ยอียิ้มร่า  

 

 

           “พวกเจ้ามาก่อนก็ดี จะได้อยู่พูดคุยกับข้าและพี่สะใภ้” เซี่ยฟางหวายิ้มกล่าว  

 

 

           หลูเสวี่ยอิ๋งก็ยิ้มพลางพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว พระชายาไม่ต้องให้พวกเราช่วยเพื่อเพิ่มความยุ่งยาก จึงมีแค่พวกเราสองคนที่มานั่งว่างอยู่ตรงนี้” 

 

 

           “พระชายาประคบประหงมลูกสะใภ้เป็นที่เลื่องชื่อ” ฮูหยินหมิงยิ้ม “ได้ออกเรือนเข้าจวนอิงชินอ๋องถือเป็นวาสนา ตอนที่พวกเจ้ายังไม่แต่งเข้าจวนมา ไม่รู้ว่ามีคุณหนูมากน้อยเท่าไรอยากแต่งเข้าจวนอิงชินอ๋อง” 

 

 

           เซี่ยฟางหวากับหลูเสวี่ยอิ๋งหัวเราะขึ้นมา 

 

 

           ทั้งสี่นั่งลง ซื่อฮว่ากับซื่อม่อนำน้ำชาเข้ามาต้อนรับ ทั้งสี่คนพูดคุยกัน 

 

 

           ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยอีก็กระตุกแขนเสื้อหลูเสวี่ยอิ๋ง “พี่เสวี่ยอิ๋ง ได้ยินว่าดอกจื่อจิงในสวนจื่อจิงงดงามมาก ข้ายังไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้าพาข้าไปชมได้หรือไม่” 

 

 

           “ได้สิ” หลูเสวี่ยอิ๋งตอบตกลงโดยไม่ลังเล 

 

 

           “เยี่ยมไปเลย” เซี่ยอีเห็นหลูเสวี่ยอิ๋งตอบตกลงแล้วก็ดีใจขึ้นมา หันไปหาฮูหยินหมิง “ท่านแม่ ท่านดูสิ พี่เสวี่ยอิ๋งตอบตกลงแล้ว ข้าไปได้ใช่ไหม” 

 

 

           “เป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่เรียบร้อยแม้แต่น้อย น่าขายหน้า” ฮูหยินหมิงถลึงตามองเซี่ยอีแวบหนึ่ง 

 

 

           หลูเสวี่ยอิ๋งเอ่ยขึ้นทันใด “ข้าชอบน้องอีที่มีนิสัยร่าเริงเช่นนี้ เมื่อก่อนข้าก็เหมือนกับนาง” พูดจบก็กล่าวเชิญฮูหยินหมิงด้วย “ฮูหยินก็ไปชมด้วยเถิด สวนจื่อจิงย่อมไปเยี่ยมชมได้” 

 

 

           ฮูหยินหมิงโบกมือปัด “ข้าไม่ไปดีกว่า เมื่อก่อนตอนมาที่จวน เคยเห็นแล้ว” 

 

 

           “เช่นนั้น…” หลูเสวี่ยอิ๋งมองไปยังเซี่ยฟางหวา 

 

 

           “ในเมื่อน้องอีอยากชมดอกจื่อจิง พี่สะใภ้ก็พาน้องอีไปเถิด ข้าจะอยู่คุยกับท่านอาสะใภ้หก จะได้ถือโอกาสรอพวกเยี่ยนหลันมาด้วยเช่นกัน” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ  

 

 

           “ก็ดีเหมือนกัน” หลูเสวี่ยอิ๋งพยักหน้า 

 

 

           เซี่ยอียิ้มพลางควงแขนหลูเสวี่ยอิ๋ง แลบลิ้นใส่ฮูหยินหมิง ก่อนออกจากเรือนไม้อุ่นด้วยความดีใจ 

 

 

           ฮูหยินหมิงบริภาษติดตลก “เจ้าเด็กบ้าคนนี้ ปีศาจก่อกวนน้อย” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาก็ยิ้มขำเช่นกัน พบว่าหลูเสวี่ยอิ๋งกับเซี่ยอีออกไปแล้ว นางจึงกล่าวกับฮูหยินหมิง “ท่านอาหก ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับท่าน เราไปคุยกันด้านในดีกว่า” 

 

 

           “ได้” ฮูหยินหมิงพยักหน้า 

 

 

           เซี่ยฟางหวาลุกขึ้นเดินไปยังด้านใน ฮูหยินหมิงก็ลุกขึ้น เดินตามนางเข้าไป