ไห่กงกงยิ้ม “เป็นเพราะว่าพระมเหสีหวามีความรักต่อจักรพรรดิองค์ก่อน”
“แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เป็นเพราะจักรพรรดิองค์ก่อนก็มีความรักต่อพระมเหสีหวาก่อน จักรพรรดิองด์ก่อนมีพระสนมจำนวนมาก แต่พระองค์ก็โปรดปรานพระมเหสีอย่างไม่ต้องสงสัย
หากไม่ใช่เช่นนั้นจะกล้าทำให้พระมเหสีแสดงความหยิ่งผยองต่อหน้าข้าได้อย่างไร
เพียงแต่พระมเหสีหวาก็เป็นคนที่ห่วงใยเช่นกัน นางรู้ว่าหากไม่เป็นเพราะความใจกว้างของข้า นางก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
ในวังหลวงแห่งนี้จำเป็นต้องมีเล่ห์เหลี่ยมและจำเป็นต้องมีคนที่จงรักภักดีไม่คิดคดทรยศหักหลัง และยังจำเป็นต้องปิดตาข้างเดียวทำเป็นเสแสร้งแกล้งไม่รู้ไม่เห็นอะไร
คนข้างกายของจักรพรรดิทั้งสองคนนั้นนะ……ไม่เคยทำให้คนอื่นวางใจได้เลย หากไม่หาใครมาเฝ้าดูเขาไว้ ข้าไม่สามารถวางใจลงได้ ท่านอ๋องเย่ก็ไม่อาจวางใจได้!”
ไห่กงกงมองออกไป “พระพันปีพ่ะย่ะค่ะ แต่นิสัยของพระสนมหรงเต๋อและบวกกับอายุของพระองค์นั้น เรื่องนี้สามารถทำได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“ทำได้หรือไม่ได้ก็ต้องขึ้นอยู่กับความโชคดี มู่เหมียนมีนิสัยรุนแรงมาตั้งแต่เล็ก ข้าคิดว่านางเหมาะสมที่สุดของท่านอ๋องเย่ แต่น่าเสียดายกลับถูกคนนั้นแย่งชิงไป แต่เมื่อมองดูตอนนี้ท่านอ๋องเย่ก็นับว่ามีความสุขเช่นกัน
ถึงตอนนี้ท่านอ๋องตวนก็สามารถทำให้วางใจลงได้ เหลือก็เพียงแต่จักรพรรดิ เช่นนั้นก็เหลือเพียงให้มู่เหมียนเข้าวังหลวง”
“พระพันปี……แต่ในใจของพระสนมหรงเต๋อไม่ใช่……”
“แม้ว่านางจะอายุยังน้อย ยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจอะไรได้มาก เพียงแค่โวยวายไปเท่านั้น หากเฉินอวิ๋นชูมีใจต่อนางบ้างก็ยังพอพูดได้ แต่นางไม่ชอบไม่ใช่หรือ?
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับจักรพรรดิ
ตอนนี้ลองดูไปก่อน หากไม่ได้ก็ค่อยคิดแผนการใหม่!”
ขณะนี้ที่หน้าประตูตำหนักหรงเต๋อมีคนรออยู่ และได้รับราชโองการก่อนหน้านี้แล้ว
จักรพรรดิอวี้ตี้เหลือบมองคนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นและก้าวเข้าไปในตำหนักหรงเต๋อ
วันนี้มู่เหมียนรู้สึกไม่ค่อยสบายและกำลังออกอาการตัวร้อน ปวดหัวกระสับกระส่ายและรู้สึกอึดอัด จักรพรรดิอวี้ตี้เดินเข้าไปข้างในก็เห็นใบหน้าของมู่เหมียนแดงและหอบ
“เป็นอะไรไปหรือ?” จักรพรรดิอวี้ตี้เดินไปที่เตียงของมู่เหมียน นางกำนัลจึงรีบกราบทูลรายงาน
“กราบบังคมทูลฝ่าบาท พระสนมเต๋อป่วยด้วยอาการหนาวสั่น จึงไม่สามารถให้หมอหลวงรักษาได้”
“ไร้สาระ ไปตามหมอหลวงมา” จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งลงที่ข้างเตียงและรู้สึกผิดต่อมู่เหมียน
เมื่อเข้าวังหลวงมาก็เหมือนกับนกในกรง นิสัยของนางถูกบีบบังคับ จึงไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในวังหลวง
มู่เหมียนลืมตาขึ้นมองใบหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้ แม้ว่าจะรู้สึกไม่สบายอย่างมาก แต่ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน
นางหันหลังให้กับจักรพรรดิอวี้ตี้ จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกขบขัน “อารมณ์ของเจ้าไม่ธรรมดาเลยเชียว แถมยังไม่ไว้หน้าข้าอีกด้วย”
“เชอะ!”
มู่เหมียนไม่กลัว
จักรพรรดิอวี้ตี้ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงเฝ้ามอง
เมื่อหมอหลวงเข้ามาก็รีบทำการรักษา ใครจะไปรู้ว่ามู่เหมียนจะแสดงนิสัยออกมา โดยนางไม่ยอมลุกจากเตียงและทุบตีหมอหลวงแต่ไม่โดน จากนั้นจึงทุบตีจักรพรรดิอวี้ตี้
จักรพรรดิอวี้ตี้ทำสีหน้าบูดบึ้งและหันหน้าไป
ขณะนี้มู่เหมียนนั่งคุกเข่าลงและตกใจจนหอบลงมาจากเตียง จากนั้นจึงก้มหน้าลง
จักรพรรดิอวี้ตี้นั่งอยู่แต่ขยับตัวเล็กน้อยและมีสีหน้าที่เคร่งขรึมมาก “บังอาจ ข้าให้เกียรติกับเจ้าเช่นนี้”
จักรพรรดิอวี้ตี้ลุกขึ้น “ส่งคนมาที่นี่และนำตัวไปตำหนักเย็น!”
กว่าจะรู้เรื่องของมู่เหมียนก็เป็นเวลาเช้าตรู่เสียแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นเพิ่งจะลุกจากที่นอนและกำลังใส่เสื้อผ้า อาอวี่ก็รีบเข้ามาที่หน้าประตูและรายงานว่า “ท่านอ๋องขอรับ ในวังเกิดเรื่องขึ้นแล้วขอรับ”
หนานกงเย่กำลังจัดแต่งเสื้อผ้าให้กับฉีเฟยอวิ๋น เงยหน้าขึ้นมองที่ประตู “ใครเกิดเรื่องขึ้นหรือ?”
“เป็นพระสนมหรงเต๋อขอรับ!”
เมื่ออาอวี่ได้รับข่าวก็รีบมารายงาน หากเป็นคนอื่นคงไม่รีบร้อนเช่นนี้
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ประตูก่อนจะถามว่า “เรื่องเป็นอย่างไรหรือ?”
“ได้ยินมาว่าทำให้จักรพรรดิโมโห ส่วนรายละเอียดนั้นไม่ชัดเจนขอรับ”
“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหนหรือ?”
“อยู่ที่ตำหนักเย็นขอรับ!”
“ตำหนักเย็น?”
เมื่อพูดถึงตำหนักเย็น ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก “เรื่องใหญ่ขนาดไหนกันหรือถึงต้องนำไปที่ตำหนักเย็น?”
อาอวี่ก็รู้สึกลำบากใจ “ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรขอรับ แต่ได้ยินมาว่าตอนที่นำตัวไปนั้นยังป่วยอยู่เลยขอรับ”
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมองหนานกงเย่ “ท่านอ๋องเพคะ เมื่อวานท่านอ๋องพูดอะไรกับจักรพรรดิหรือเพคะ?”
“ข้าจะพูดอะไรกับพระองค์ได้? ต่อให้พูดก็ไม่เกี่ยวกับมู่เหมียน พระองค์ไม่ใช่คนแบบนั้น ต้องเป็นเพราะมู่เหมียนทำอะไรที่เป็นการยั่วยุพระองค์ จึงทำให้พระองค์โมโห”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างไม่เข้าใจ “จักรพรรดิก็นับว่าเป็นคนใจกว้าง แม้ว่าโดยปกติพระองค์จะใจแคบอยู่ แต่ก็นับว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับมู่เหมียน ไม่น่าจะไม่พอใจขนาดนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นเรื่องอื่นหรือไม่ที่ทำให้ต้องทำเช่นนี้ เมื่อคืนข้าและท่านอ๋องเพิ่งจะเข้าวังไป วันนี้กลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น”
หนานกงเย่หัวเราะขบขัน “ปากร้ายไม่เบา บอกว่าพระองค์เป็นคนใจกว้าง แต่ก็พูดว่าใจแคบ ดูเหมือนว่าอวิ๋นอวิ๋นจะไม่พอใจตั้งนานแล้ว”
“หม่อมฉันไม่ได้พูดนะเพคะ ท่านอ๋องพูดเอง” ฉีเฟยอวิ๋นไม่พอใจจริงๆ คนอย่างจักรพรรดิอวี้ตี้ใครจะชอบ กลับไปกลับมาผิดปกติ เกรงว่าขนาดตัวของพระองค์เองกำลังทำอะไรกำลังพูดอะไรก็ยังไม่รู้ หนึ่งวินาทีก่อนหน้าพูดอย่างหนึ่ง วินาทีหลังจากนั้นท่านก็คิดจริงจัง แต่เขากลับเสียใจที่พูดไป
ฉีเฟยอวิ๋นมองออกว่าจักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ใช่คนดีอะไร
หนานกงเย่กลับรู้สึกขบขัน “ใช่ อวิ๋นอวิ๋นพูดถูก ข้าพูดเอง ได้หรือยัง?”
“อืม แบบนี้ค่อยยังชั่ว ท่านอ๋องเพคะ วันนี้ท่านไปจัดการเรื่องของต้ากั๋วจิ้วหรือเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นยังคงให้ความสนใจกับเรื่องนี้ อย่างไรเสียความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ไม่ธรรมดา หากต้องทำการตรวจสอบอย่างจริงจังก็คงไม่ง่ายเช่นนั้นเช่นนั้นหรอก
“ต้องตรวจสอบอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้ที่เกิดเรื่องขึ้นกับมู่เหมียน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเรื่องหนึ่ง”
“ท่านอ๋องเพคะ ให้หม่อมฉันไปตรวจสอบต้ากั๋วจิ้วแล้วท่านเข้าวังไปดูเรื่องมู่เหมียนดีหรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นไม่ต้องการเข้าวังหลวง แต่เธอรู้อย่างชัดเจนว่าหากไม่เข้าวังไปตรวจดูเรื่องนี้คงไม่อาจวางใจลงได้
“เรื่องของมู่เหมียนให้อวิ๋นอวิ๋นไปดูจะดีกว่า ข้าจะไปตรวจสอบเรื่องต้ากั๋วจิ้ว” หนานกงเย่ตัดสินใจจากนั้นจับใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นและจูบลงไปบนปากของเธอ เมื่อคืนทั้งสองคนยังสนุกไม่เสร็จแต่เธอก็หลับไปเสียก่อน ใจของท่านอ๋องจึงรู้สึกทุรนทุรายและไม่พอใจ และคืนนี้ก็ต้องการจะเข้านอนเร็วเพื่อเป็นการชดเชย
เมื่อปล่อยฉีเฟยอวิ๋นออก หนานกงเย่ก็กล่าวว่า “ข้าจองไว้ก่อน คืนนี้จะกลับมาชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด
อวิ๋นอวิ๋นรีบกลับมาและพักผ่อนให้มากๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายอ่อนแรง”
เมื่อพูดจบหนานกงเย่ก็หันหลังเดินออกไปและทิ้งให้ฉีเฟยอวิ๋นต้องนั่งหน้าแดงด้วยความโกรธอยู่ในห้องเพียงคนเดียว
ไร้ยางอาย ช่างไร้ยางอายเสียจริง!
กลางวันแสกๆ ยังกล้าพูดเช่นนี้ ไม่กลัวฟ้าจะผ่าเอาหรืออย่างไร
ฉีเฟยอวิ๋นทำการจัดเตรียมเพื่อเข้าวังหลวง
หนานกงเย่ออกไปและทังเหอก็รีบเดินไป “ท่านอ๋องขอรับ!”
“ข้าจะไปจวนต้ากั๋วจิ้ว เจ้าไปที่กรมการคลังและนำรายการบัญชีในกรมการคลังมาให้ข้าทั้งหมด หากมีคนขัดขวางสามารถฆ่าได้ทันที หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”
“ข้าน้อยจะทำให้สำเร็จเรียบร้อยขอรับ ท่านอ๋องวางใจได้ขอรับ” ทังเหอรอวันนี้มานาน ต้ากั๋วจิ้วมีความหยิ่งผยองและทะนงตัวอย่างไม่หวั่นเกรงใครใดๆ หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะเข้ามาพัวพันกับจวนท่านอ๋องเย่ แต่หากท่านอ๋องยื่นมือออกมาจัดการเรื่องนี้ ก็สามารถหยุดการพูดของประชาชนนับร้อยพันเอาได้
เมื่อหนานกงเย่มาถึงหน้าจวนของต้ากั๋วจิ้วจึงได้สั่งให้คนเข้าไปเคาะประตู คนของจวนต้ากั๋วจิ้วออกมาและรีบเชิญให้หนานกงเย่เข้าไปข้างใน
แต่คนที่ออกมาพบหน้านั้นไม่ใช่ต้ากั๋วจิ้ว แต่กลับเป็นคุณชายใหญ่ของต้ากั๋วจิ้ว เสียนจวิ้นอ๋อง หวังเสียน
เมื่อเห็นหนานกงเย่ หวังเสียนก็ยกมือขึ้นมาเพื่อต้อนรับ ทั้งสองถึงแม้ว่าจะอายุเท่ากัน แต่สถานะของหนานกงเย่นั้นสูงส่ง เขาเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ฉะนั้นจึงมีสถานะสูงส่งเช่นนี้ เขาจึงต้องเป็นฝ่ายเดินเข้ามาแสดงความเคารพ
“หวังเสียนยินดีต้อนรับท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และท่านผู้สำเร็จราชการโปรดอภัยให้ด้วยที่ไม่ได้ไปรับด้วยตัวเอง”
หนานกงเย่ก้มหน้าเล็กน้อย “เสียนจวิ้นอ๋องไม่ต้องเกรงใจหรอก ลุกขึ้นเถอะ!”
หวังเสียนขอบคุณจากนั้นจึงลุกขึ้นยืน