องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 520 จักรพรรดิให้ข้าตาย ข้าก็ต้องตาย
หนานกงเย่สวมใส่เสื้อคลุมสีเหลืองผลซิ่งฮวาลวยลายเล็บมังกรและเขาสวมมงกุฎมังกรสีทอง หวังเสียนเห็นแล้วยังรู้สึกเป็นกังวล
ท่านอ๋องเย่ไม่เหมือนกับท่านอ๋องตวนที่ออกไปข้างนอกจะต้องเอิกเกริก
แต่วันนี้กลับแต่งกายมาเช่นนี้ เกรงว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นจะต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่อยู่
คนในจวนของต้ากั๋วจิ้วต่างพากันแอบดูตามมุมต่างๆ
ท่านอ๋องเย่สวมชุดลวดลายมังกร
หวังเสียนเชิญหนานกงเย่เข้าไปข้างใน ทั้งสองคนเดินเข้าไปเป็นลำดับหน้าหลัง หวังเสียนต้อนรับด้วยความระมัดระวัง
หนานกงเย่เข้าไปที่ห้องโถงด้านหน้าและนั่งลง หวังเสียนสั่งให้คนนำน้ำชาเข้ามา หนานกงเย่หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาและเป่าลงบนถ้วยชา
หวังเสียนสูดลมหายใจเข้าไปและจ้องมองไปที่ชุดลวยลายมังกรของหนานกงเย่
ชุดมังกรของหนานกงเย่นั้นเป็นของที่ชินอ๋องสวมใส่ นอกเสียจากลวยลายมังกรที่ปักเข้าไป นอกจากนั้นก็คือสีไม่ค่อยเหมือนเท่าไรนัก
จักรพรรดิใช้สีทอง เขาใช้สีฟ้า
แต่ในเมืองต้าเหลียงแห่งนี้คนที่กล้าแต่งชุดลวยลายมังกรสีผลซิ่งฮวาได้ก็มีเพียงแค่เขาเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นก็เป็นจักรพรรดิ
“กั๋วจิ้วไม่อยู่หรือ?” หนานกงเย่ยกน้ำชาขึ้นดื่มหลังจากนั้นก็ถามขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
หวังเสียนตอบ “ช่วงนี้ท่านแม่มักนอนหลับไม่ดี เมื่อเช้าท่านพ่อจึงพาท่านแม่ไปที่วัดเพื่อต้องการจะไปพักอาศัยที่นั่นสักระยะหนึ่ง เพื่อขอพรให้กับท่านแม่”
“จริงหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เช่นนั้นข้าก็ขอจัดการธุระก่อน” หนานกงเย่วางถ้วยชาลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงและท้องพระคลังได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งให้กรมการคลังเพื่อเตรียมรับการบรรเทาสาธารณภัย ด้วยเหตุนี้กรมการคลังไม่รอให้กีดกันขึ้นมาจากนั้นจนถูกกักตัวไว้
ข้าไม่มีเวลาจึงได้ให้นกพิราบส่งหนังสือมาให้พระชายาเย่คิดหาวิธีหาเงินตำลึงมา และเมื่อหาเงินตำลึงครบแล้วก็ได้ส่งไปยังพื้นที่ภัยพิบัติพื้นที่ภัยพิบัติ พื้นที่ภัยพิบัติได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ไม่เพียงแต่เกิดความเสียหายอย่างหนัก แถมยังเกิดโรควัณโรคขึ้น อาการของโรคก็สาหัสอย่างมาก ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั้งก่อนหน้าและหลังนี้เกิดขึ้นเพราะเงินตำลึงจำนวนแปดล้านตำลึง”
หวังเสียนเป็นคนขี้ขลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกหวาดกลัวจนเหงื่อไหล
“ท่านอ๋องเย่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนกั๋วจิ้วอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” หวังเสียนเป็นคนเกียจคร้านและบวกกับที่เขาเป็นคนซื่อสัตย์ เขาทำหน้าที่เป็นเสียนจวิ้นอ๋องของเขามาโดยตลอด
หนานกงเย่กล่าวว่า “ประเดี๋ยวทังเหอกลับมาเขาจะนำสมุดบัญชีมาด้วย เจ้าก็ดูเสียหน่อย”
หวังเสียนตกตะลึง ใบหน้าของเขาเย็นยะเยือก
ไม่นานทังเหอก็มาถึงจวนกั๋วจิ้วและนำสมุดบัญชีมาด้วยจำนวนหนึ่ง และยังพาคนมาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อเห็นสมุดบัญชีท่านอ๋องเย่ก็โยนออกไปที่เท้าของหวังเสียน “ลองดูเสียหน่อยสิ”
หวังเสียนก้มตัวลงไปหยิบสมุดบัญชีขึ้นมาเปิดดู หวังเสียนดูอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองไปที่หนานกงเย่ “นี่เป็นความต้องการของท่านพ่อหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ทังเหอกล่าวว่า “แน่นอน คนที่กรมการคลังได้สารภาพหมดแล้ว คำให้การก็ได้รวบรวมไว้หมดแล้ว หากต้องการดูละก็ สามารถเรียกอิ่นเวยฉือที่อยู่ที่จวนศาลากลางเมืองหลวงมาสอบถามดูก็จะทราบได้”
หวังเสียนตกใจจนมือสั่น อายุก็สี่สิบแล้วแต่กลับขี้ขลาดราวกับหนู
ทังเหอมองหวังเสียนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ต้ากั๋วจิ้วเลี้ยงดูลูกชายคนนี้ ต่อไปคงไม่สามารถคาดหวังอะไรด้วยได้
ดวงตาของหนานกงเย่เฉียบแหลมและจริงจัง “ข้าไม่รู้เช่นกันว่าทำไมต้ากั๋วจิ้วต้องทำเช่นนี้? คาดว่าต้องนั้นพระสนมหรงเต๋อก็ได้เข้าวังหลวงไปแล้ว ต้ากั๋วจิ้วทำเช่นนี้เป็นเพราะไม่พอใจในจักรพรรดิหรือว่าไม่พอใจต่อภัยพิบัติ?”
“ท่านผู้สำเร็จราชการได้โปรดอย่าทรงโกรธเลยพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจะให้คนไปตามท่านพ่อกลับมาที่จวนตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” หวังเสียนรีบร้อนจนลืมเรื่องที่ต้ากั๋วจิ้วบอกก่อนจะออกไป
หวังฮวายเต๋อถูกคนกีดขวางไว้ คนที่มาก็เป็นคนขี้ขลาดกลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้น และรีบร้อนรายงานเรื่องราวก่อนจะเชิญเขากลับไป
หวังฮวายเต๋อโมโหอย่างมาก!
ฉงหยางจวิ้นจู่เหลือบมองหวังฮวายเต๋อ “กั๋วจิ้วในเมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออก เกรงว่าคงจะปิดต่อไปไม่ได้ จักรพรรดิจะต้องถลกหนังพวกเราอย่างแน่นอน นับเป็นการเสียเปล่าของท่านที่ก่อนหน้านี้ได้ทำประโยชน์เพื่อจักรพรรดิไว้โดยเสียสละไปไม่น้อย
แต่เมื่อเรื่องมาถึงตอนนี้ กลับมีจุดจบเช่นนี้”
เมื่อนึกถึงจุดจบของลูกสาวที่ต้องถูกกักขังไว้ในตำหนักเย็น ฉงหยางจวิ้นจู่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
หวังฮวายเต๋อรู้สึกโกรธจัด “ข้าจะคอยดูว่าเขาจะทำอะไรกัับข้าได้?”
เมื่อเขาพูดจบจากนั้นจึงเรียกให้คนรีบกลับจวนไปในทันที
เมื่อหนานกงเย่เห็นหวังฮวายเต๋อและฉงหยางจวิ้นจู่กลับมาจึงยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม
หวังฮวายเต๋อเข้ามาและจ้องมองหนานกงเย่อย่างโกรธแค้นและถามว่า “วันนี้ท่านผู้สำเร็จราชการมาหาถึงที่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หนานกงเย่วางถ้วยชาในมือลงและซักถามว่า “ต้ากั๋วจิ้วรู้เรื่องที่เงินตำลึงจำนวนแปดล้านตำลึงของกรมการคลังถูกยึดไว้หรือไม่?”
“เป็นอย่างไรหรือ?”
หวังฮวายเต๋อโกรธจนไม่สนใจใดๆ แล้ว หนานกงเย่พิงไปที่เก้าอี้และมองไปที่หวังฮวายเต๋อ จากนั้นจึงลุกขึ้นและกล่าวว่า “ในเมื่อต้ากั๋วจิ้วก็ยอมรับแล้ว เช่นนั้นก็คุมตัวไปที่คุกเถอะ”
“ว่าอย่างไรนะ?” หวังฮวายเต๋อได้ยินที่เขาบอกว่าจะควบคุมตัวก็ยิ่งโกรธจัด
“หนานกงเย่เจ้ารังแกคนอื่น ข้าเป็นลุงของเจ้านะ” หวังฮวายเต๋อชี้ไปที่หนานกงเย่ด้วยความโกรธ
หนานกงเย่ปัดถ้วยชาบนโต๊ะลงทั้งหมด ถ้วยชาตกลงเสียงดังบาดหูและแตกละเอียด
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็เงียบลงราวกับหากมีเข็มตกลงก็ยังได้ยิน
หนานกงเย่เหล่ตาเล็กน้อย “จักรพรรดิและขุนนางมีความต่างกัน ท่านอย่าลืมไปว่าแซ่ของเมืองต้าเหลียงคืออะไร?”
“อะไรนะ?” หวังฮวายเต๋อตกตะลึงและจ้องมองหนานกงเย่อย่างไม่ตอบโต้
ฉงหยางจวิ้นจู่ก็ตกใจไม่น้อย จากนั้นจึงรีบดึงมือของหวังฮวายเต๋อ “กั๋วจิ้วอย่าประมาทเลย”
ขณะนี้หวังฮวายเต๋อได้เริ่มสงบลงแล้ว เขากุมมือของฉงหยางจวิ้นจู่ไว้แน่นและบีบไว้ จากนั้นจึงมองไปที่ฉงหยางจวิ้นจู่ “ข้ารู้ จักรพรรดิให้ข้าตายข้าก็ต้องตาย”
“กั๋วจิ้ว!” ฉงหยางจวิ้นจู่ร้องไห้ออกมา หวังฮวายเต๋อปล่อยมือจากนั้นจึงมองไปที่หนานกงเย่ด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง
หนานกงเย่พูดขึ้นมาอย่างไม่ลังเล “ตรวจสอบและปิดล่อมจวนกั๋วจิ้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ใครก็ไม่สามารถเข้ามาได้”
“ขอรับ”
ทังเหอรีบไปจัดการ ต้ากั๋วจิ้วหวังฮวายเต๋อก็ถูกคุมตัวไป
หนานกงเย่หันหลังออกไป ฉงหยางจวิ้นจู่ร้องไห้ออกมา
หวังเสียนรีบตามออกไปเพื่อขัดขวางหนานกงเย่ “ท่านอ๋องเย่”
หนานกงเย่หันหลังมาเหลือบมองหวังเสียนและหันกลับไปโดยไม่พูดอะไร
หวังเสียนยืนอยู่ที่ประตูและสะดุดลง
หวังฮวายเต๋อถูกคุมขัง คนที่กรมการคลังก็ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดทั้งหมด เพียงแค่วันเดียวในเมืองหลวงก็โกลาหล ขุนนางทั้งเล็กทั้งน้อยต่างก็ตกอยู่ในอันตราย
กรมการคลังมีหน้าที่ดูแลการดำรงชีพของราษฎร ที่ดินของประชาชน ทะเบียนบ้าน ภาษี รายได้และรายจ่ายทางการคลัง เป็นที่รับผิดชอบด้านการเงินการคลัง และยังเป็นที่ที่มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด
ประชาชนทั้งหมดต่างก็ไม่สามารถตัดขาดจากกรมการคลังได้
หนานกงเย่จัดระเบียบของกรมการคลังใหม่อีกครั้ง ตรวจสอบกรมการคลังเพียงกรมเดียว แทบจะพลิกเมืองหลวงทั้งเมือง
ท่านราชครูจวินต้องเข้าวังไปพบจักรพรรดิเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ฉีเฟยอวิ๋นเข้าวังไปพอดีกับได้พบท่านราชครูจวินเข้า
ท่านราชครูจวินไปถงพระที่นั่งบำรุงฤทัยเพื่อพบจักรพรรดิ ฉีเฟยอวิ๋นก็อยู่ที่นั่น
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ที่นั่นมาหนึ่งชั่วยามแล้ว เสี่ยวสวีจื่อออกมาดูอยู่หลายครั้งและเมื่อเห็นว่าฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ที่หน้าพระที่นั่งบำรุงฤทัยก็รู้สึกร้อนใจ
ถึงอย่างไรจักรพรรดิก็ไม่ให้เข้าพบนะ
“พระชายาเย่ ขณะนี้ฝ่าบาทยังทำงานไม่เสร็จเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกำลังตรวจฏีกาอยู่ ท่านว่าหรือควรไปพบพระพันปีก่อนดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เสี่ยวสวีจื่อรู้สึกเอ็นดูฉีเฟยอวิ๋น อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ต้องมายืนอยู่เช่นนี้ หากเป็นคนอื่นก็เป็นไปไม่ได้!
พระชายาเย่มีพระคุณต่อเสี่ยวสวีจื่อ เสี่ยวสวีจื่อจำได้ดี
ฉีเฟยอวิ๋นส่ายหน้า “กงกงเข้าไปเถอะ อย่าทำเพื่อข้าเลย ข้าไม่เป็นไร”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ยอมไป แต่กลับทำให้เสี่ยวสวีจื่อรีบร้อนใจอย่างมาก!