บทที่ 140 ถอนพิษ
ซูเฉินและข่งเชินต่อสู้พัวพันกันอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง
ระเบิดเพลิงปักษาปะทะกับ 5 ไอพิษ ก้าวย่างหมอกอสรพิษกับก้าวย่างพันเงา ดาบอัสนีบาตกับดาบนกกระจอก นัยน์ตาวิญญาณกับการโจมตีไร้ลักษณ์ วิชากายาเวหาเวียนกับวิชากายาประจำตระกูลข่ง
ช่างเป็นการยากที่จะตัดสินว่าระหว่างทั้ง 2 ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ กลุ่มหมอกสีดำกับประกายไฟสีแดงจากการระเบิดพลัดกันปรากฏขึ้นมาเป็นช่วง ๆ
ยิ่งต่อสู้กันไปนานเท่าไหร่ข่งเชินก็ยิ่งตกใจและรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้น เขาจ้องมองไปที่ซูเฉินด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อในขณะที่เขาตะโกนลั่น “เจ้าไม่ได้มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงด้วยซ้ำ เจ้ามีความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?”
ซูเฉินส่งเสียง เหอะ ออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อดูจากการไม่ตอบสนองของอีกฝ่ายแล้ว ข่งเชินจึงสรุปสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเขา แล้วพูดขึ้นเสียงดังว่า “เจ้าถูกข้าวางยาไปแล้ว แต่กลับยังกล้าที่จะสู้กับข้าแทนที่จะไปหาที่ถอนพิษ ? เมื่อยามที่พิษแล่นเข้าสู่หัวใจของเจ้ามันก็คงจะสายเกินไป ข้าไม่ใช่ผู้ที่ฆ่าเจ้า แต่เจ้าเป็นผู้ที่แส่หาความตายเอง”
ในที่สุดซูเฉินก็เปิดปากของเขา “ไม่ใช่ว่านี่คือ 1 ใน ‘อุบัติเหตุ’ ที่มักจะเกิดขึ้นในระหว่างการต่อสู้ของมังกรซ่อนเร้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกหรือ ? ผู้ที่ได้ช่วยชีวิตเอาไว้เมื่อครู่ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘อุบัติเหตุ’ นี้นับ 10 กว่าครั้ง ข้าคิดว่าคงจะมีบางส่วนที่เกิดจากมือของเจ้าด้วยเช่นกัน ? แล้วยังไง ? เจ้าไม่สามารถจัดการข้าได้ง่าย ๆ อย่างที่หวังก็เลยหาทางออกด้วยการเผยความเมตตาในใจของเจ้า ? หรือบางทีเจ้าจะไม่สามารถทนบาดแผลนั้นได้แล้วกันแน่ ?”
“ไอ้เวรนี่ รนหาที่ตาย !” ข่งเชินคำรามด้วยความโกรธ
ริ้วพิษลอยออกมาจากฝ่ามือของเขา ข่งเชินเปิดใช้งานทักษะพิษที่เขาครอบครองจนถึงขีดสุด
ใบหน้าของซูเฉินเริ่มซีดเซียวขึ้นเรื่อย ๆ ลมหายใจของเขาก็เริ่มที่จะติดขัดมากขึ้นเช่นกัน
ข่งเชินมีความสุขมาก ในเวลานี้อาการบาดเจ็บของเขาเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ระเบิดเพลิงปักษาของซูเฉินนั้นทรงพลังอย่างน่าตกใจและยังสามารถไล่ตามเป้าหมายได้ จนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากมัน ทุกครั้งที่ซูเฉินใช้ทักษะนี้ ข่งเชินก็จะถูกบังคับให้ทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับมัน แม้ว่าจะเป็นเพียงแรงกระแทก แต่มันก็ยังสร้างความเสียหายที่ร้ายแรงให้กับเขา แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้สำคัญอะไรกับข่งเชินอีกต่อไป เมื่อเขาได้เห็นรูปลักษณ์ของซูเฉินในตอนนี้ พิษในร่างกายของอีกฝ่ายกำลังสะสมผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขารู้สึกว่าซูเฉินใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
ในการต่อสู้ครั้งนี้ ชัยชนะเป็นของข้า !
ข่งเชินคิดเช่นนั้น
ทันใดนั้นซูเฉินก็ได้เหวี่ยงมือบังคับให้ข่งเชินถอยหนีไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและเผยให้เห็นยิ้มที่ดูลึกลับ “เจ้าคิดว่าพิษของเจ้าจะใช้ได้ผลกับข้าจริง ๆ ?”
ข่งเชินตกตะลึง
ข่งเชินเฝ้าดู ซูเฉินเอาชี้นิ้วแทงลงไปในหน้าอกของตัวเอง
การแทงครั้งนี้ทำให้เลือดสีดำพุ่งสาดออกมาจากหน้าอกของซูเฉิน มันทิ้งสารสีดำที่ดูเปียกชื้นและส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเอาไว้ในอากาศ
ข่งเชินตกตะลึงกับการกระทำของอย่างมากซูเฉิน “เจ้าบังคับให้พิษของข้าออกมา ?”
ซูเฉินยิ้ม “มันก็ไม่ได้ไม่ยากอะไร”
มันไม่ยากเลยจริง ๆ
ซูเฉินได้เริ่มสังเกตเห็นพิษตั้งแต่ตอนที่มันเข้าสู่ร่างกายของเขาแล้ว หากเขาสามารถมองเห็นต้นวารีเยือกแข็งกับผงชะงักเลือดได้ แน่นอนว่าเขาก็ย่อมสามารถมองเห็นพิษได้เช่นกัน
พิษที่ข่งเชินใช้นั้นประกอบไปด้วย 2 สิ่ง หนึ่งคือสารพิษ ส่วนอีกหนึ่งคือสสารต้นกำเนิด
สสารต้นกำเนิดรูปแบบเฉพาะนี้ ทำให้เด็กหนุ่มสามารถควบคุมพิษให้โจมตีและสร้างความเสียหายแก่ร่างกายมนุษย์ได้
ในระหว่างการต่อสู้ซูเฉินไม่สามารถทดสอบได้ว่ายาสมุนไพรชนิดใดที่สามารถถอนพิษนี้ได้บ้าง แต่เนื่องจากการมีอยู่สสารต้นกำเนิดพิษนั่น เขาจึงสามารถใช้พลังต้นกำเนิดถอนพิษออกไปได้
ซูเฉินค้นพบอย่างรวดเร็วว่าสสารต้นกำเนิดพิษนี้ไม่ได้แข็งแกร่ง ทว่ามันเจ้าเล่ห์มากราวกับว่ามีสติปัญญาเป็นของตัวเอง ในขณะที่เขาส่งพลังต้นกำเนิดของตนไปปราบเจ้าสสารต้นกำเนิดพิษนี้ มันก็พยายามหลบหนีอย่างแข็งขัน เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงชะตากรรมของการถูกกลืนหายไป
และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมการขับพิษนี้จึงเป็นเรื่องยาก
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ซูเฉินค้นพบสิ่งนี้ เขาก็ตัดสินใจทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม แทนที่จะพยายามขับไล่พิษออกไปอย่างสุดกำลัง เด็กหนุ่มกลับชักนำพลังต้นกำเนิดของตนผ่านเส้นพลังต้นกำเนิดแปดเส้นของเขา และจงใจปล่อยมันเอาไว้เช่นเดิม 1 เส้น
ด้วยการทำเช่นนี้ซ้ำหลาย ๆ ครั้ง ทำให้ซูเฉินสามารถรวบรวมพิษมาไว้ในจุด ๆ เดียวได้ แน่นอนว่ามันดูเรียบง่ายแต่จริง ๆ แล้วมันไม่ง่ายเลย มันมีรายละเอียดมากมายที่เขาต้องใส่ใจเป็นพิเศษ หากดวงตาของซูเฉินไม่มีความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่างๆในระดับกล้องจุลทรรศน์ มันก็คงจะเป็นไม่ได้ที่เขาจะทำมันได้สำเร็จ
เมื่อพิษส่วนใหญ่มารวมตัวกันอยู่ในตำแหน่งเดียวกันแล้ว ซูเฉินก็ใช้นิ้วของเขาทะลวงเข้าไป ณ จุดนั้น และขับพิษรวมจำนวนมากออกมา
แม้ว่าจะมีบางน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขา แต่หลังจากพิษส่วนใหญ่ได้ถูกขับออกไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็ไม่ใช่อะไรที่ซูเฉินจะต้องไปกังวล
ข่งเชินตกตะลึงตาค้างไปชั่วขณะ เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าซูเฉินจะมีกลยุทธ์เช่นนี้อยู่ด้วย
เมื่อปราศจากพิษที่คอยกัดกร่อนร่างกาย ท่าทางของซูเฉินก็ดูมีกำลังวังชามากขึ้น “ที่นี้ เจ้ายังมีกลยุทธ์อะไรเหลืออยู่อีกไหม ?”
ซูเฉินพุ่งตรงเข้าไปในหมอกพิษที่ข่งเชินปล่อยออกมาในทันทีที่เขาพูดจบ
ข่งเชินตกใจกลัวจนวิญญาณของเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง “หยุด ! เจ้าชนะแล้ว ! การต่อสู้นี้เจ้าชนะแล้ว !”
คำตอบกลับที่ข่งเชินได้รับคือฝ่ามือที่ฟาดเข้ามาอย่างดุร้ายของซูเฉิน พร้อมกับเสียงฟ้าร้องคำรามก้อง ราวกับสายฟ้ามากมายกำลังรวมกันฟาดลงมาที่เขา แรงปะทะตรงเข้าสู่ร่างกายของข่งเชินอย่างถนัดถนี่และส่งร่างเขากระเด็นออกไป
ข่งเชินกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก เขาไม่สามารถลุกกลับขึ้นมายืนได้ในทันที และเมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามาใกล้ เขาก็ตื่นตระหนก พยายามที่จะหลบหนีด้วยกำลังที่เหลืออยู่ พลางตะโกนกรีดร้องว่า “อย่าฆ่าข้า ! ข้าไม่ได้เป็นเช่นเจ้าบ้านั่น ข้าไม่ได้ฆ่าคนเพื่อความสนุก !”
“หืม ? เจ้ารู้ว่ามันฆ่าคนเพื่อความสนุก แต่เจ้าก็ยังเลือกที่จะช่วยมัน ?” ซูเฉินยังคงเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างช้า ๆ
“ขะ ข้าแค่ต้องการข้ารับใช้เพิ่ม ! การฆ่าคนเป็นบาปของมันไม่ใช่ของข้า ข้าก็แค่ดูแลผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้นเอง !”
แค่นั้น ? นั่นคือวิธีคิดของมัน ? ซูเฉินหยุดก้าวเท้าลง เขามองไปที่อีกฝ่ายเงียบ ๆ
ข่งเชินไม่สามารถคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้เลย เขาจึงได้แต่เขาจ้องมองไปที่ซูเฉินด้วยความหวาดกลัว โดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะหนีไป
ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงนิ่งอยู่เป็นเวลานาน
สุดท้ายซูเฉินพูดขึ้น “นี่คือตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่ล้ำค่า ผู้ปกป้องมนุษยชาติ ผู้ที่มีความชอบธรรมสะท้อนอยู่ในทุกท่วงท่า ? ผู้ที่คอยปกป้องมนุษยชาติให้ห่างไกลจากอันตรายที่เข้ามาคุกคามความอยู่รอดของมนุษย์ ? วันนี้ข้าได้เห็นและสัมผัสแล้ว และในที่สุดข้าก็เข้าใจถึงธาตุแท้ของพวกมัน !”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดเสียงดัง แต่ทุกคำก็เต็มไปด้วยความหนักแน่นพอที่จะทำให้ใจของข่งเชินสั่นไหว
ซูเฉินเดินเข้าไปหยุดลงที่ด้านข้างของข่งเชิน เขาเหยียบหน้าอกของอีกฝ่ายและพูดว่า
“ตระกูลสายเลือดชั้นสูงอย่างเจ้าทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียน แต่วางใจเถิด เพราะข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ยังมีใครบางคนที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าเจ้าที่ข้าต้องไปจัดการ ทว่าข้าก็ไม่คิดทีจะปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ เช่นกัน ในเมื่อเจ้าเข้ามายุ่มย่ามกับธุระของข้า เช่นนั้นก็มาให้ข้าช่วยสั่งสอนบทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เจ้าเถอะ”
ข่งเชินหลับตาปี๋อย่างหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเขา อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดที่ข่งเชินคาดเดาก็ไม่ได้เกิดขึ้น และเมื่อเขาลืมตาก็เห็นว่าซูเฉินกำลังเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษอยู่ แผ่นกระดาษถูกแปะเอาไว้บนตัวของข่งเชินก่อนที่ซูเฉินจะส่งเขากลับไปยังจุดเริ่มต้นนอกสนามสอบ ด้วยการทำลายป้ายหยกของเขา
ในชั่วพริบตาข่งเชินก็ก็ถูกส่งออกมา และกลับไปยังลานกว้างที่หน้าทางเข้าสนามสอบ
นอกจากเขาแล้ว มันก็มีผู้เข้าสอบจำนวนมากที่ถูกไล่ออกจากสนามเช่นกัน ที่รวมตัวกันอยู่ในสถานที่แห่งนี้
ข่งเชินทั้งประหลาดใจและโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน ไอ้เจ้าสารเลวกล้าทำลายป้ายหยกของเขา จนทำให้เขาต้องเสียโอกาสในการเข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นจริง ๆ
นี่คือบทเรียนที่มันพูดถึง ?
ไอ้เวรนั่น มันดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว ! เจ้าคิดว่าข้าไม่มีปัญญาที่จะหาสถาบันอื่นเข้างั้นรึ ? ฮึ่ม เจ้ากล้ายั่วยุตระกูลข่งของข้า ข้าจะให้เจ้าได้เจอดีแน่ !
ขณะที่ข่งเชินกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นเขาก็พบว่าผู้คนรอบข้างกำลังชี้มาที่เขาและกระซิบกระซาบราวกับกำลังปรึกษาหารืออะไรบางอย่างกันอยู่
ข่งเชินงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ก้มศีรษะลงไปและพบกับกระดาษที่ติดอยู่บนตัวของเขา
นี่คือ…
ข่งเชินรู้สึกได้ถึงคลื่นแห่งความไม่สบายใจบางอย่างที่ซัดสาดเข้ามา
เขาดึงกระดาษออกมาดูและแทบจะลมจับหลังจากอ่านมันจบ
บนกระดาษได้เขียนวิธีการที่ซูเฉินใช้ขับ 5 ไอพิษของเขาไว้อย่างละเอียดหมดจด ทั้งคุณสมบัติ คุณลักษณะเฉพาะของ 5 ไอพิษ รวมไปถึงปัจจัยหลายประการที่ต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษเมื่อพวกเขาต้องการจะถอนพิษชนิดนี้
สาเหตุที่ตะขาบพิษข่งเชินได้ฉายาว่าตะขาบพิษ ส่วนใหญ่มันก็เป็นเพราะพิษของเขา
และตอนนี้ 5 ไอพิษของเขาไม่มีพิษมีภัยอีกต่อไป แทบจะเรียกได้ว่าความแข็งแกร่งและความได้เปรียบส่วนใหญ่ของข่งเชินได้สูญสิ้นแล้ว อย่างนี้เขายังจะสามารถเรียกตัวเองว่าตะขาบพิษได้อย่างไรกัน ?
ข่งเชินอยากจะร้องไห้ ช่างเป็นการลงมือที่โหดร้ายเกินไปแล้ว เช่นนี้ในอนาคตข้างหน้าเขาจะยังสามารถทำสิ่งใดได้อีก ?
ไม่สิ มันไม่ใช่แค่เขา สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อตระกูลข่งทั้งตระกูล พวกเขายังจะสามารถทำสิ่งใดต่อได้อีก ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ข่งเชินก็เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว และตะโกนขึ้นราวกับคนเสียสติ “อย่ามอง ! อย่ามองนะ ! ลืมทุกอย่างที่พวกเจ้าเห็นไปซะ !”
แต่เขาก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ คนเหล่านี้จะลืมสิ่งที่พวกเขาเห็นไปได้อย่างไรกัน ? ผู้ชมโดยรอบต่างก็หัวเราะเยาะเขา และเก็บเอาวิธีถอนพิษเข้าไปไว้ส่วนลึกในความทรงจำ
นับจากนี้เป็นต้นไป พิษของตระกูลข่งจะกลายเป็นพิษไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถทำร้ายผู้ใดได้อีก
ในเวลาเดียวกัน ที่ไหนสักแห่งท่ามกลางซากปรักหักพัง ซูเฉินจ้องมองไปยังทิศทางที่พานเยว่หลบหนีไป และกลับมาสวมหน้ากากอีกครั้ง
หน้ากากเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปีศาจ สะท้อนให้เห็นถึงสภาพอารมณ์ในปัจจุบันของซูเฉินได้เป็นอย่างดี
พานเยว่ต้องตาย !