บทที่ 141 ไล่ล่าข้ามเขต
พานเยว่วิ่งหนีไปด้วยความตื่นตระหนก ความหยิ่งยโสที่เคยมีพลันเลือนหายไป กลายเป็นความหวาดกลัว
บนร่างเขามีกลิ่นประหลาดติดอยู่ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจกำจัดมันออกไปได้
ซูเฉินชิงป้ายหยกเขาไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจหลบหนีออกจากสนามสอบได้ ส่วนกลิ่นบนร่างของเขา หากซูเฉินหรือข่งเชินตามมาก็จะพบตัวเขาได้ในทันที จากนั้นพวกมันจะทำเช่นไรกับเขาก็ไม่อาจรู้ได้!
เจ้าบัดซบสองตัวนั่น!
พานเยว่ใกล้เสียสติเต็มทน
เขากรีดร้องอยู่ภายในใจ สองขายังคงวิ่งต่อไม่หยุดหย่อน หากแต่ขาที่บาดเจ็บกลับทำให้ไม่อาจวิ่งเร็วกว่านี้ได้
พานเยว่โซซัดโซเซผ่านที่ราบอันแห้งแล้งมาได้ เขาหวังเพียงให้ซูเฉินกับข่งเชินต่อสู้ติดพันอีกสักพัก เพื่อที่เขาจะได้มีจังหวะหลบหนี
แต่ไม่นาน พานเยว่ก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ด้านหลังตน
เงาที่คุ้นตากำลังคืบคลานมาจากที่ไกล
ซูเฉิน !
แม้อีกฝ่ายจะสวมหน้ากากอยู่ พานเยว่ก็สามารถจดจำอีกฝ่ายได้
เห็นดังนั้นเขาก็หวาดกลัวสุดขีด สับฝีเท้าวิ่งหนีสุดชีวิตในพลัน
ซูเฉินไล่ตามเขามาไม่ช้าไม่เร็วนัก
พิษในร่างเขายังไม่สลายไปจนหมด ตอนนี้จึงไม่อาจเพิ่มความเร็วได้ชั่วคราว หากแต่ก็ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด หากเด็กหนุ่มไล่ล่าพานเยว่ด้วยความเร็วเช่นนี้ต่อไป อย่างไรก็ต้องไล่ตามทัน
คืนนั้นแสงจันทร์ส่องสว่างยิ่งนัก ทำให้สามารถมองเห็นเงาร่างของพานเยว่ได้อย่างชัดเจนในยามค่ำคืน ซูเฉินเห็นถึงขนาดว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพน่าสมเพชถึงเพียงไหน
เขาไล่ตามพานเยว่ต่อไป
เด็กหนุ่มอาจปล่อยข่งเชินไปได้ แต่กับพานเยว่เขาไม่อาจทำเช่นนั้น
พานเยว่จำเป็นต้องตายเท่านั้น !
ไม่ว่าพานเยว่จะพยายามเร่งความเร็วสักเพียงไหน ระยะห่างระหว่างเขาและซูเฉินกลับลดลงเรื่อย ๆ
พานเยว่ตกตะลึงนัก สุดท้ายก็ตะโกนดังลั่นออกมา “ช่วยข้าด้วย ! ช่วยข้า ! มีคนจะสังหารข้า !”
หลังจากคำพูดเหล่านี้ถูกตะโกนออกไป เงาดำสามเงาก็พุ่งออกมาจากภายในป่า
พานเยว่ตะโกน “ข้าเป็นศิษย์ตระกูลพานแห่งเมืองป่าสน ผู้ที่ไล่หลังข้าอยู่ต้องการสังหารข้า ! เขาชิงเอาป้ายหยกข้าไปแล้ว ข้าไม่มีคะแนนให้พวกเจ้า หากวันนี้ข้ารอด ข้าจะมอบทุกอย่างที่เจ้าต้องการให้ !”
คนทั้งสามมองมายังพานเยว่ เมื่อไม่สามารถจับสัมผัสป้ายหยกบนร่างได้ ทั้งสามจึงกระโดดผ่านพานเยว่ไป พุ่งเข้าใส่ซูเฉิน
ซูเฉินเอ่ยขึ้นเสียงดัง “คนผู้นี้สังหารคนไปแล้วมากกว่าสิบคน”
“ไม่ เป็นเขาต่างหาก เป็นเขาที่สังหารคน !” พานเยว่ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
คนสามคนมองหน้ากันไปมาด้วยความกังขาอยู่ชั่วขณะ หากแต่พริบตาต่อมากลับพุ่งไปทางซูเฉิน ดูท่าพวกเขาเลือกเชื่อคำพานเยว่
หรือไม่ก็อาจจะต้องการชิงเอาคะแนนเสียมากกว่า
บัดซบเอ๊ย !
ซูเฉินพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงในตอนที่คนสามคนพุ่งเข้ามา
“ไสหัวออกไป !” ปักษาเพลิงพุ่งออกมาจากฝ่ามือซูเฉิน กระแทกเข้ากับเกราะของหนึ่งในคนที่พุ่งเข้ามา ส่งผลให้ร่างนั้นกระเด็นลงกระแทกกับพื้น ส่วนอีกสองคนที่โจมตีจากด้านซ้ายและขวา เด็กหนุ่มก็ได้ใช้มีดสั้นจ้วงแทงไปหลายครั้ง ส่งคมดาบสีฟ้าซัดออกไปยังศัตรูทั้งสอง
คู่ต่อสู้อีกสองคนฝีมือไม่ธรรมดา สามารถโต้กลับทุกการโจมตีของเขาได้ ซูเฉินไม่ต้องการให้การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลานาน ดังนั้นจึงโยนขวดเหล้าออกไปสองขวด แรงระเบิดส่งผลให้สองคนนั้นกระเด็นไปไกล
หลังจากชิงคะแนนจากสองคนนั้นแล้ว เขาก็ไล่ล่าคนต่อ
พานเยว่พุ่งเข้าไปในป่า ร้องเสียงหลงออกมาสุดกำลัง “มีคนอยากสังหารข้า เขาจะสังหารข้า !”
น้ำเสียงโหยหวนของพานเยว่ดึงความสนใจจากคนอีกสองคน ทั้งคู่พุ่งไปทางซูเฉินอย่างพร้อมเพรียงกัน
ซูเฉินเดือดดาลนัก “พวกเจ้าไสหัวออกไปให้พ้น !”
เขาเงื้อมือขึ้น ส่งเพลิงปักษาสองลูกเข้าใส่คนที่กำลังขวางทางเบื้องหน้า ทั้งคู่ถูกพลังระเบิดเข้าอย่างจัง ร่วงลงไปในทันที
ซูเฉินชิงคะแนนของทั้งสองมา จากนั้นทำการไล่ตามคนต่อ
ยามชีวิตตกอยู่ในอันตราย คนเราจะมีพละกำลังมากขึ้นผิดปกติ พานเยว่เองก็เป็นเช่นนั้น
ขาเขาบาดเจ็บ หากแต่ก็ไม่ทำให้ความเร็วเขาลดช้าลงเลย ทั้งยังเสาะหากลยุทธ์ด้วยการวิ่งหนีเข้าไปยังทิศที่มีผู้คนเกาะกลุ่มอยู่มาก พอวิ่งเข้าไปใกล้ก็ตะโกนโห่ร้องว่า “ข้าไม่เหลือคะแนนใด คนที่ไล่ตามข้ามาเอาคะแนนข้าไปจนสิ้น” หรือไม่ก็ “มีมือสังหารบ้าคลั่งไล่ตามข้าอยู่” ไม่ว่าจะเป็นคำลวงใด เขาก็พร้อมจะตะโกนมันออกมาเพื่อรักษาชีวิตตน
ผู้เข้าสอบคนแล้วคนเล่าถูกเสียงตะโกนของพานเยว่ดึงมา ต่างพากันพุ่งเข้าไปขวางซูเฉินไว้
ซูเฉินไร้พลังในการโต้เถียงอธิบายตน เขาทำใจแข็ง จากนั้นเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น
เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะเสียเวลาเอ่ยคำใดกับคู่ต่อสู้คนอื่น ๆ อีก แต่ละคนถูกเพลิงปักษาซัดใส่จนสิ้นท่า จากนั้นซูเฉินก็จะชิงคะแนนพวกเขาไป
หากพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งหน่อย เขาจะใช้ระเบิดเพลิงปักษาซัดไปพร้อมกับโยนขวดเหล้าหลายขวดใส่ ซึ่งแรงระเบิดหลายครั้งนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะการจัดการผู้ที่ต้องการขวางทางเขา !
ซูเฉินนั้นราวกับคชสารตกมัน ทำลายล้างทุกสิ่งอย่างระหว่างทางที่ไล่ตามพานเยว่
การต่อสู้อันต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้เขาใช้พลังต้นกำเนิดไปไม่น้อย
หากแต่ซูเฉินมีหินพลังต้นกำเนิดระดับสูงที่สามารถใช้ฟื้นพลังต้นกำเนิดอยู่เพียงพอ
หลังจากส่งร่างผู้เข้าสอบอีกสองคนกระเด็นไปไกล ซูเฉินก็แอบดึงหินพลังต้นกำเนิดระดับสูงออกมาดูดซับพลังต้นกำเนิดภายในหินเข้าร่าง พลังต้นกำเนิดที่ใช้ไปเมื่อครู่หวนคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาเก็บหินพลังต้นกำเนิด จากนั้นไล่ล่าพานเยว่ราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
คนหนึ่งไล่ล่า อีกคนหลบหนี เป็นเช่นนี้ไปทั้งคืน
ในคืนนั้น พานเยว่หนีซูเฉินที่ไล่ล่าตามมาอย่างไม่ลดละไปไกล ลวงผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ มาช่วยให้ตนสามารถหลีกหนีปีศาจที่ไล่ตามมาได้ ผู้เข้าสอบคนแล้วคนเล่าตกหลุมพรางจากคำพูดของพานเยว่ ก่อนที่สุดท้ายจะถูกซูเฉินชิงเอาคะแนนไปทุกครา
คะแนนของซูเฉินจึงพุ่งทะยานขึ้นราวกับคลื่นที่โหมซัดแรง
การกระทำของทั้งซูเฉินและพานเยว่ดึงดูดความสนใจจากผู้มีฐานะสูงส่งที่นั่งอยู่บนยอดหอสูง ภาพการไล่ล่าทำให้พวกเขาถึงกับนิ่งเงียบไป
เดิมทีซูเฉินอยู่ที่อันดับ 56 หลังจากแยกกับหวังโต้วซานแล้ว อันดับก็ไม่ลดลงอีก กลับเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งแทน
ไม่เพียงเท่านั้น ตอนนี้เขากำลังพยายามไล่สังหารคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ทั้งยังเอาชนะผู้คนที่ดาหน้ากันเข้ามาราวกับผ่าลำไผ่ เห็นคนก็ประจันหน้า เห็นสัตว์อสูรก็สังหาร ไม่อาจมีผู้ใดหยุดยั้งได้แม้เพียงชั่วลมหายใจ
ไม่ใช่เพราะซูเฉินเก่งกาจถึงขนาดไม่มีผู้ใดในเขตสามารถโค่นลงได้ หากแต่เป็นเพราะเขามีขวดเหล้าระเบิด กับระเบิดเพลิงปักษาที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งต่างหาก
ส่วนอีกหนึ่งเหตุผล มันก็เป็นเพราะเหล่าผู้เข้าสอบที่มีฝีมือทั้งหลาย หลังจากผ่านไปทั้งวัน พวกเขาก็พากันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการต่อสู้ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเชี่ยวชาญการต่อสู้ยามค่ำคืน ไม่เช่นนั้นช่วงเวลาค่ำคืนก็คือช่วงพักเอาแรง พักร่างกาย และเป็นช่วงเวลาเอาไว้ใช้ฟื้นฟูพลังต้นกำเนิดในร่าง
ทว่าซูเฉินนั้นมีหินพลังต้นกำเนิดจึงไม่ต้องพักผ่อน อีกทั้งเขายังเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ยามค่ำคืน ดังนั้นจึงไม่อาจมีผู้ใดเทียบเขาได้ ทำให้เด็กหนุ่มสามารถมุ่งหน้าเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องหยุดพัก
เวลาเพียงคืนเดียว เขาก็สามารถเอาชนะผู้เข้าสอบได้เกือบ 100 คน ทำให้คนผู้อื่นตกตะลึงยิ่งนัก ไม่อาจรู้ได้ว่าผู้มีฝีมือท่านนี้โผล่ขึ้นมาจากที่ใด
ชีพจรจากป้ายหยกที่ตอนนี้มีคะแนนอยู่หลายคะแนนเต้นแรงอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ยามผู้อื่นเห็น พวกเขาก็ต่างหลีกหนีไปไกลด้วยหวาดกลัว
ดังนั้นคนอื่น ๆ จึงไม่กล้าบุกเข้าโจมตีซูเฉินอย่างไม่ดูทิศทางลมอีกต่อไป
หากแต่ซูเฉินไม่ใส่ใจใครอีกต่อไป ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นผู้ใด หากเขาเห็นมีคนโผล่มา ระเบิดเพลิงปักษาก็จะพุ่งออกไปในทันที
การไล่ล่ายังคงดำเนินต่อไป ท้องฟ้าค่อย ๆ ส่องสว่างขึ้น คะแนนของซูเฉินกระโดดขึ้นจาก 112 คะแนนนับเป็นอันดับที่ 56 พุ่งสูงเป็น 345 คะแนนซึ่งอยู่ที่อันดับ 12
ที่สนามสอบแห่งนี้มีกฎที่ห้ามไม่ให้ผู้เข้าสอบล่วงรู้อันดับของตนเองก่อนการสอบจะเสร็จสิ้น หากแต่ดูจากคะแนนของซูเฉินในปัจจุบัน เขาก็พอจะคาดเดาได้ว่าลำดับตนเองคงอยู่ต้น ๆ เป็นแน่
เขาไม่รู้ว่ากำลังมีกี่สายตาที่จับจ้องท่าทีของเขาอยู่ แต่ถึงจะรู้ก็คงไม่มีอันใดแตกต่างนัก
ฟิ้ว! ฟึ่บ!
เงาร่างสองเงา เงาหนึ่งด้านหน้า เงาหนึ่งด้านหลัง ดีดตัวออกมาจากภายในป่ากว้าง จากธารน้ำ จากหุบเขา เงาแล้วเงาเล่า พยายามรบราฆ่าฟันอีกฝ่ายอย่างเต็มที่
ในที่สุดพระอาทิตย์ก็ขึ้นฉายแสงไล่ความมืดมิดยามค่ำคืนออกไป
ยามเมื่อแสงแรกแห่งวันใหม่ส่องลงที่สนามสอบ ซูเฉินก็รู้ในพลันว่าเวลาหนึ่งคืนได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว หากแต่พานเยว่กลับยังวิ่งหนีไม่หยุดหย่อนราวกับกระต่ายตัวหนึ่ง
“หยุดไล่ตามข้าได้แล้ว !” พานเยว่ตะโกนขึ้นราวคนเสียสติ “บัดซบเอ๊ย ยังไม่พออีกหรือไง !?”
เขาใกล้จะทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมาเต็มทน
เจ้าคนเสียสติผู้นี้มาจากที่ใดกัน เหตุใดจึงไล่ตามไม่หยุดเช่นนี้ ? มีคนพุ่งเข้าไปจัดการคนผู้นี้ตั้งหลายสิบคน แต่กลับไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้เลย !
พานเยว่คล้ายกับจะหมดหวัง
เขาจำต้องหายอดฝีมือมารักษาชีวิตเขาแล้ว
ในตอนนั้นเอง มีคนอีกสองคนกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
พานเยว่ร้องเสียงโหยหวนออกมา “บอกข้าที ที่นี่มีใครเป็นยอดฝีมือ ?”
คำถามที่จู่ ๆ โพล่งขึ้นมาทำให้สองคนนั้นชะงักไป จากนั้นพวกเขาก็พลันตอบออกไปตามสัญชาตญาณ “สกุณาเหมันต์จีหานเยี่ยนคือผู้ที่มีฝีมือสูงส่งที่สุดในแถบนี้ ยังมีอสูรโลหิตจงติ่ง ผีเสื้อลวงจินหลิงเอ้อร์ โอ้ แล้วยังมีคันศรไม้จางเซิ่งอันอีกคนที่เก่งกาจ”
พริบตาต่อมา พานเยว่โก่งคอตะโกนเสียงดังออกมา “สกุณาเหมันต์จีหานเยี่ยน อสูรโลหิตจงติ่ง ผีเสื้อลวงจินหลิงเอ้อร์ คันศรไม้จางเซิ่งอัน พวกเจ้าอยู่ที่ใด ? มีคนต้องการท้าประลองกับพวกเจ้า !”
เสียงของเขาดังไกลไปทั่วทุกทิศทาง
คนสองคนเมื่อครู่เดิมทีคิดจะหาประโยชน์จากอีกฝ่าย แต่เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกขนลุกซู ไม่กล้าโจมตีผู้ที่กำลังวิ่งหนีตายอยู่ กลับเป็นฝ่ายวิ่งหนีไปไกลแทน
นี่มันเรื่องน่าขันอันใดกัน ? เป็นผู้ใดกล้าท้าประลองกับยอดฝีมือทั้ง 4 ของเขต 1 ในคราเดียวเช่นนี้ ? พวกเขาคงไม่อาจล่วงเกินคนผู้นั้นได้แน่
ในตอนนั้นเองที่น้ำเสียงสบายอารมณ์ดังแว่วมาตามลม
“นี่ ผู้ใดช่างโอหัง กล้าท้าประลองคนสี่คนในคราเดียวกัน ? ขอแม่นางผู้ดียมโฉมหน่อยเป็นไร”
สายลมหอมกรุ่นสายหนึ่งพัดแผ่วเบาเข้ามา