ภาคที่ 1 บทที่ 142 ผีเสื้อลวง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 142 ผีเสื้อลวง (1)

 

 

ผู้ที่ปรากฎตัวขึ้นคือหญิงสาวผู้หนึ่งในชุดงดงาม นางมีดวงหน้ากลมราวกับถาดเงิน นางไม่สูงเท่าใดนัก หากแต่นัยน์ตากลับส่องประกายราวผลึกแก้ว ในมือนางมีแส้ม้าอยู่เส้นหนึ่ง

 

 

มีคนผู้หนึ่งตามหลังนางมาด้วยเช่นกัน แปลกนักที่เขาสวมชุดเกราะสีเงินส่องประกาย ในมือยกหอกเหล็กอย่างดี มองดูแล้วราวกับแม่ทัพในสมรภูมิรบ น่าแปลกที่ผู้คุมสอบอนุญาตให้เขานำของเหล่านี้เข้ามาด้วย หากแต่นัยน์ตาเขาดูไร้ชีวิตชีวาราวกับเป็นคนไร้สติผู้หนึ่ง

 

 

เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นั้นเดินช้าเดินไป แม่นางหน้ากลมจึงหันไปตวัดแส้ใส่ชายหนุ่มเกราะเงินคราหนึ่ง “เดินให้เร็วหน่อยเจ้าคนไร้ค่า ชักช้าเสียเวลาจริง”

 

 

ชายหนุ่มเกราะเงินจึงเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย ไม่ปัดป้องแส้ที่ตวัดมาแม้เพียงนิด

 

 

ยามเมื่อผู้เข้าสอบสองคนนั้นเห็นแม่นางหน้ากลมผู้นี้เข้าก็หน้าซีดขาว ทำท่าราวกับเห็นผี

 

 

“เป็นผีเสื้อลวง รีบหนีเร็วเข้า !”

 

 

ทั้งสองตั้งท่าจะวิ่งหนีไปในพลัน

 

 

หากแต่จินหลิงเอ้อร์กลับหันไปทางพวกเขาก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าให้พวกเจ้าไปหรือ ?”

 

 

ได้ยินคำนาง ทั้งสองก็หยุดฝีเท้าในทันใด

 

 

“กลับมานี่ !” จินหลิงเอ้อร์กล่าว

 

 

คนทั้งสองหันกลับมาอย่างว่าง่ายตามคำนาน มองจินหลิงเอ้อร์ตัวสั่นราวกับนางเป็นยักษ์มาร

 

 

เมื่อพานเยว่เห็นเช่นนั้น เขาก็พยายามจะย่องจากไป

 

 

จินหลิงเอ้อร์ไม่ได้หันมามองทางเขาด้วยซ้ำ นางส่งเสียงคำรามต่ำ จากนั้นชายหนุ่มเกราะเงินก็พุ่งไปด้านหน้า เงื้อหอกหมายโจมตีพานเยว่

 

 

พานเยว่ตกตะลึงไป เขารีบวิ่งกลับไปหาจินหลิงเอ้อร์ก่อนร้องขึ้นเสียงดัง “ข้ามาจากตระกูลพานแห่งเมืองป่าสน พานเยว่ขอทำความเคารพท่านผีเสื้อลวง !”

 

 

“เจ้าน่ะหรือผู้ที่ต้องการประลองกับ 4 ยอดฝีมือในเขต 1 ?” จินหลิงเอ้อร์มองพานเยว่ด้วยสายตาสงสัย

 

 

“เปล่า ไม่ใช่ข้า เป็นเขา !” พานเยว่ชี้นิ้วไปด้านหลัง เงาร่างหนึ่งปรากฏอยู่ที่ด้านหลังเขาในพลัน เป็นซูเฉินนั่นเอง

 

 

“เขาหรือ ?” จินหลิงเอ้อร์มองซูเฉิน นัยน์ตาเป็นประกาย ไม่รู้ว่าภายในใจกำลังคิดสิ่งใดอยู่

 

 

ซูเฉินเองก็จ้องมองจินหลิงเอ้อร์ จากนั้นหันไปมองพานเยว่ที่คลานอยู่แทบเท้าจินหลิงเอ้อร์ เห็นเช่นนั้นเขาก็พอเดาได้ว่าพานเยว่กำลังเอ่ยคำใด

 

 

หากแต่เขาไม่คิดเอ่ยคำแก้ตัวใดด้วยรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าตนเองสามารถเอาชนะเขาได้ทั้งสิ้น หากเขาลองแก้ตัวออกมาสักคำ คงมีแต่ที่อีกฝ่ายจะคิดว่าเขาเกรงกลัวจนทำให้มุ่งโจมตียิ่งขึ้น

 

 

ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงทำเพียงเดินเข้ามา ก่อนหยุดอยู่ไม่ห่างจากจินหลิงเอ้อร์นัก เขายกมือชี้ไปทางพานเยว่จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “คนผู้นี้เป็นของข้า”

 

 

“ได้ยินว่าเจ้าต้องการประลองกับ จีหานเยี่ยน ข้า จงติ่ง และจางเซิ่งอันด้วยตัวคนเดียวงั้นหรือ ?” หญิงสาวกอดอกถาม

 

 

“สำหรับเจ้า จริงหรือไม่จริงสำคัญด้วยหรือ ?” ซูเฉินเอ่ยถาม

 

 

คำตอบนี้ทำเอาคิ้วหญิงสาวเลิกขึ้นสูง “ข้ารู้ว่าคนผู้นี้โกหก ไม่มีผู้ใดโง่งมมากจนต้องการล่วงเกินหญิงบ้าจีหานเยี่ยนผู้นั้นหรอก แต่เจ้าพูดถูก เรื่องนั้นไม่สำคัญ ในเมื่อเจ้ากล้ามองหน้าข้าเช่นนี้แสดงว่าต้องมีความกล้าไม่น้อย ข้าต้องทดสอบเจ้าหน่อยแล้ว”

 

 

นางหันไปพูดกับผู้เข้าสอบอีกสองคน “พวกเจ้าสองคน เหตุใดจึงยังไม่จัดการมันอีก !”

 

 

นางเร่งให้ผู้อื่นออกไปต่อสู้แทนนาง

 

 

หากแต่สองคนนั้นกลับเชื่อฟังคำนางเข้าจริง พุ่งเข้าใส่ซูเฉินพร้อมกับร้องเสียงดังออกมา

 

 

ตอนที่กำลังคุยกับนาง ซูเฉินก็ได้เตรียมพร้อมต่อสู้แล้ว เขาวาดมือครั้งหนึ่ง ระเบิดเพลิงปักษาสองลูกถูกซัดเข้าใส่สองคนนั้น ตอนนี้เขาเริ่มคุ้นเคยกับระเบิดเพลิงปักษามากขึ้นเรื่อย ๆ หากมีเวลามากพอก็สามารถซัดพลังใส่ทั้งคู่ได้เรื่อย ๆ

 

 

สองคนนั้นก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ แต่เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับระเบิดเพลิงปักษา ร่างทั้งสองก็ยังปลิวไปไกล

 

 

จินหลิงเอ้อร์เห็นดังนั้นใบหน้างามก็ทะมึนลงเล็กน้อย “ดุดันไม่ใช่น้อย”

 

 

นางถอยไปหลายก้าว พร้อมกันนั้นชายหนุ่มชุดเกราะเงินก็ก้าวขึ้นมาด้านหน้า เขาตวัดหอกเหล็กในมือชี้ไปทางซูเฉิน

 

 

ซูเฉินเหลือบมองชายหนุ่มตรงหน้า จากนั้นมองจินหลิงเอ้อร์ “เจ้าใช้ผู้อื่นให้ต่อสู้แทนเจ้าอย่างเดียวเลยหรือ ?”

 

 

เขาพูดเช่นนั้นไป ทว่าก็ไม่คิดว่าจินหลิงเอ้อร์จะหัวเราะและตอบกลับมา “ถูกต้อง !”

 

 

นางดีดหน้าผากพานเยว่ครั้งหนึ่ง ร่างพานเยว่พลันสั่นเทา เขากะพริบตาหลายทีราวกับร่างถูกฟ้าผ่าใส่นับครั้งไม่ถ้วน

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน จินหลิงเอ้อร์ก็เก็บมือตนกลับมา พานเยว่ลุกขึ้นยืน นัยน์ตาหม่นแสงลง ราวกับกลายเป็นคนไร้สติ ไม่ต่างจากชายหนุ่มในชุดเกราะเงินเท่าใดนัก

 

 

จินหลิงเอ้อร์ชี้ไปทางซูเฉิน “บุกเข้าไป !”

 

 

พานเยว่หันมาทางซูเฉิน เขาแยกเขี้ยวใส่ จากนั้นหอนออกมาราวกับอสูรป่า น่าแปลกนักที่เขากลับพุ่งเข้าโจมตีซูเฉินอย่างบ้าคลั่ง

 

 

“ผีเสื้อลวงจินหลิงเอ้อร์……” ซูเฉินพึมพำเสียงเบา

 

 

ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของชื่อนี้เสียที

 

 

เช่นนั้นคู่ต่อสู้ของเขาผู้นี้ก็สามารถควบคุมผู้อื่นได้งั้นสินะ

 

 

เป็นวิชามายางั้นหรือ ?

 

 

บางครั้งผู้คนก็ตั้งฉายาให้ไม่ตรงกับความเป็นจริงได้ วิธีควบคุมคนยังมีอยู่มามาย หากแต่ที่จินหลิงเอ้อร์ใช้คือวิชามายา

 

 

นางเป็นคนในตระกูลสายเลือดชั้นสูง วิชามายาของนางแกร่งกล้ากว่าของหลีนัก สามารถสั่งให้คนทำได้ดั่งใจนึก

 

 

หากหลีมีกลยุทธ์เช่นนี้ ตอนนั้นเด็กหนุ่มคงถูกสังหารไปแล้ว

 

 

พานเยว่กำลังวิ่งพุ่งเข้ามาพร้อมกับส่งเสียงคำรามไปด้วย

 

 

เมื่อเห็นท่าทางไร้สติของอีกฝ่าย ซูเฉินก็ถอนหายใจออกมา

 

 

พานเยว่พยายามหนีเขามาโดยตลอด ลากคู่ต่อสู้มาให้ซูเฉินไม่หยุดหย่อน หากแต่สุดท้ายกลับเชิญปัญหาเข้าหาตน พานเยว่ก็คงไม่คิดมาก่อนว่าจะตนเองจะต้องหันกลับมาโจมตีใส่เขาเช่นนี้

 

 

ซูเฉินซัดพลังสายหนึ่งออกมา เสียงฟ้าคำรามดังลั่น คลื่นพลังอันรุนแรงสายหนึ่งซัดเข้าใส่พานเยว่

 

 

ตอนที่ซูเฉินซัดพลังออกมา ชายหนุ่มชุดเกราะเงินเองก็ฉวยจังหวะนั้นโยนหอกเข้าใส่ ตัวหอกกรีดผ่านอากาศราวกับมังกรผงาด บรรยากาศโดยรอบถูกทำให้ปั่นป่วน ก่อเกิดลมหมุนเวียนวนอยู่รอบตัวหอก คือทักษะต้นกำเนิดอันทรงพลังวิชาหนึ่ง ดูจากพลังแล้วอาจเทียบเท่าได้กับทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดได้เลยด้วยซ้ำ

 

 

ซูเฉินรีบถอยในพลัน เขาใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษ แต่ก็ยังไม่หยุดซัดพลังดาบอัสนีบาตออกมา ยามคมดาบปะทะกับหอกที่พุ่งเข้ามาก็เกิดเสียงดังสนั่น ซูเฉินยังคงมุ่งถอยต่อไปเพื่อออกให้ห่างระยะโจมตีของตัวหอก

 

 

พานเยว่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน กวัดแกว่งดาบในมืออย่างบ้าคลั่ง เขาเป็นคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่ได้อ่อนแอนัก หากแต่เมื่อก่อนหน้า ความกล้าหาญของเขานั้นได้สั่นคลอนอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงไม่ได้เก่งกล้าเช่นก่อนอีก

 

 

ทว่าตอนนี้เขาได้ถูกจินหลิงเอ้อร์ลวงจิตอยู่ ดังนั้นความเกรงกลัวที่เคยมีจึงหายไป ทำให้สามารถสำแดงกำลังที่แท้จริงออกมาได้ ใช้ออกด้วยวิชาดาบนกกระจอกไม่หยุด ส่งผลให้ระหว่างทางที่เขาพุ่งเข้ามาเกิดระเบิดหลายครั้งด้วยกัน วิชาดาบเคลื่อนไหวว่องไวนี้แอบซ่อนพลังทำลายล้างหมายปลิดชีพอีกฝ่ายไว้ หากซูเฉินถูกคมดาบเข้าไป ย่อมจะทำให้เขาบาดเจ็บจนเสียกำลังไปส่วนหนึ่ง

 

 

เมื่อคู่ต่อสู้ตรงหน้าสองคนโจมตีเข้ามาไม่หยุดเช่นนี้ ซูเฉินจึงต้องเริ่มเอาจริง

 

 

เงาร่างเขาเคลื่อนไหวดั่งหมอกควัน ซัดพลังคมดาบรุนแรงออกมาไม่หยุดพัก ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยเสียงฟ้าลั่น พลังปราณไหลเวียนปั่นป่วน

 

 

ดาบอัสนีบาตของซูเฉินฝึกสำเร็จมาขั้นหนึ่งแล้ว ทุกคราที่ซัดพลังออกไปจะมีเสียงฟ้าคำรามกึกก้องราวกับจะมีสายฟ้าฟาดลงมา แม้จะไม่ได้ทรงพลังมากมาย หากแต่สามารถใช้ติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง พลังดาบอัสนีบาตสิบสายก็ถูกซัดระเบิดไปกลางอากาศ พานเยว่และชายหนุ่มเกราะเงินที่กำลังพุ่งเข้าใส่ซูเฉินถูกพลังดาบอัสนีบาตซัดนับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มเกราะเงินไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด หากแต่พานเยว่กลับถูกแรงระเบิดจนบาดเจ็บหนัก

 

 

แววความประหลาดใจวาดผ่านในนัยน์ตาจินหลิงเอ้อร์เมื่อมองภาพการต่อสู้ตรงหน้า “แปลกจริง เหตุใดท่าเท้าเมื่อครู่จึงดูเหมือนก้าวย่างหมอกอสรพิษแห่งตระกูลกู่นัก และฝ่ามืออัสนีบาตพวกนั้นดูราวกับเป็นวิชาสัมบูรณ์ของจิตวิญญาณอัสนีบาตตระกูลไป๋เลยเล่า ? ชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? เหตุใดจึงสามารถควบคุมวิชาสัมบูรณ์ของสองตระกูลได้กัน ?”

 

 

หญิงสาวผู้นี้มีประสบการณ์ค่อนข้างกว้างขวาง สามารถมองก้าวย่างหมอกอสรพิษแห่งตระกูลกู่ออกได้

 

 

ซูเฉินตัวคนเดียวแต่กับต้องประมือกับคนสองคน ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่เด็กหนุ่มนั้นหาได้กลัวไม่

 

 

หากมองดูเฉย ๆ จะเห็นว่าเขาถูกทั้งสองคนกดดัน ทว่าเมื่อสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่าท่วงท่าของเขานั้นไม่รีบร้อน ถอยไปซัดดาบอัสนีบาตไปด้วย บางครั้งก็โต้กลับด้วยระเบิดเพลิงปักษา

 

 

และแม้ชายหนุ่มเกราะเงินจะทรงพลัง หากแต่จิตถูกผู้อื่นควบคุม ดังนั้นจึงขาดความสามารถในการปรับตัว พานเยว่ขาได้รับบาดเจ็บ แม้จะฟื้นความกล้าหาญกลับมาได้ แต่ก็ไร้สติปัญญา ทำให้ทักษะการต่อสู้ของเขานั้นเหนือกว่าคนอื่นเพียงเล็กน้อย

 

 

สุดท้าย แม้อีกฝ่ายจะมีสองคน ดูได้เปรียบกว่าในการต่อสู้ แต่แท้จริงแล้วพวกเขากลับกำลังพ่ายแพ้อย่างช้า ๆ ซึ่งหากการต่อสู้ดำเนินต่อไปเช่นนี้ พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้เป็นแน่

 

 

จินหลิงเอ้อร์นัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้ามีความสามารถอยู่บ้าง สามารถต่อกรกับคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงถึงสองคนได้ในเวลาเดียวกัน ไม่เพียงแต่ครอบครองทักษะต้นกำเนิดอันทรงพลัง หากแต่ยังมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมนัก โชคร้าย……”

 

 

นางเริ่มหัวเราะออกมา “โชคร้ายที่ตอนนี้เจ้าไม่ได้เผชิญหน้าอยู่กับคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงเพียงสองคน แต่เป็นสาม !”

 

 

พูดจบนางก็เหลือบมองไปทางซูเฉิน ทันใดนั้นแสงวาบประหลาดก็ส่องผ่านนัยน์ตาของนาง !