หากจงเนี่ยไม่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ เขาจะมีที่ยืนในราชสำนักแคว้นหนานหลีหรือ?
ซูจิ่นซีพูดด้วยท่าทีเยือกเย็นในยามนี้ เหมือนเป็นการสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับมู่หรงเฟิงโดยไม่หวาดกลัว ทั้งที่เผชิญหน้ากับอันตราย ทว่าแท้จริงแล้ว นางกำลังเตือนสติมู่หรงเฟิง ขณะเดียวกันก็จงใจกล่าวกระทบหนามที่แทงใจเขา
ในสถานการณ์วิกฤติที่เป็นตายเท่ากัน ไม่คิดว่าซูจิ่นซียังมีใจสนทนาเรื่องทั่วไปราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น อู๋จุนร้อนใจจนแทบเป็นบ้าอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นอู๋จุนก็ได้ยินซูจิ่นซีกล่าวกับมู่หรงเฟิงด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ท่านอ๋องยังทรงจำได้หรือไม่ กระหม่อมเคยเดิมพันกับท่านอ๋องก่อนหน้านี้ โดยใช้หุบเขาเทพโอสถเป็นเดิมพัน หากกระหม่อมชนะ ท่านอ๋องจะตกรางวัลให้กระหม่อมอย่างงาม”
“ยังจำได้! ”
มู่หรงเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดยาว
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เช่นนั้น ท่านอ๋องพอพระทัยกับผลลัพธ์ที่กระหม่อมเปิดเผยออกมาหรือไม่? ”
แววตาคมกริบของมู่หรงเฟิงจ้องมองซูจิ่นซีครู่หนึ่ง และพูดว่า “เจ้าต้องการขอสิ่งใดจากข้า? ”
รอยยิ้มมุมปากของซูจิ่นซีล้ำลึกมากขึ้น นางวางถ้วยชาที่อยู่ในมือลงและคำนับมู่หรงเฟิง ก่อนจะเอ่ยว่า “กระหม่อมตัวคนเดียว เกิดมาโดยไม่มีสิ่งใดติดตัว ตายไปก็ไม่มีเรื่องใดต้องอาวรณ์ จึงไม่มีอันใดให้ร้องขอ เพียงต้องการมีชีวิตยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น ผ่านวันนี้ก็ยังมีวันพรุ่งนี้”
แววตาของมู่หรงเฟิงปรากฏความเย็นชา เขาค่อยๆ หรี่ตาจ้องมองใบหน้าซูจิ่นซี
สถานการณ์โดยรอบพลันตึงเครียด อู๋จุนกับมู่หรงฉีเริ่มเป็นกังวลแทนซูจิ่นซี พวกเขากำลังจะก้าวเข้าไปแก้สถานการณ์ให้นาง ทว่ามู่หรงเฟิงกลับหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า… ” เขาลุกขึ้นยืนและกล่าวเสริมว่า “เจ้าเป็นคนฉลาดเฉลียว! ” จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกทันที
ซูจิ่นซีรีบคำนับขอบคุณ “กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋อง! ”
มู่หรงฉีกับอู๋จุนรู้สึกสับสนคลุมเครือ ไม่เข้าใจว่าซูจิ่นซีกับมู่หรงเฟิงสนทนาเรื่องอันใดกันแน่ ทั้งไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกล่าวขอบคุณมู่หรงเฟิงในเรื่องใด
ครู่หนึ่ง รอจนกระทั่งมู่หรงเฟิงเดินออกไปจากจวนท่านแม่ทัพแล้ว ทันใดนั้น คนในชุดเกราะก็เดินเข้ามาและมอบหีบสีแดงให้ซูจิ่นซี เขาเป็นองครักษ์ประจำตำหนักของท่านมหาอุปราช
“คุณชายซู สิ่งนี้คือของกำนัลจากท่านอ๋องของพวกเรา! ”
ซูจิ่นซีรับหีบนั้นมาเปิดดู รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งปรากฏชัดเจนมากขึ้น
“กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋อง บุญคุณในครั้งนี้กระหม่อมจะจดจำไว้ในใจชั่วชีวิต”
รอจนองครักษ์เดินออกไปแล้ว อู๋จุนจึงเดินมายังข้างกายซูจิ่นซี เขาชำเลืองมองหีบในมือซูจิ่นซีด้วยความสงสัย “แม่นางพิษน้อย พี่จุนขอดูหน่อย มู่หรงเฟิงให้ของขวัญอันใดเจ้ากันแน่? ”
ซูจิ่นซีเพียงยกยิ้มเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดอันใดและไม่ยอมส่งให้อู๋จุนดู
จงเนี่ยกระชากเสียงเย็นชา “ใกล้เข้าพบยมบาลแล้ว คิดประทานรางวัลอันใดก็ไร้ประโยชน์ ทหาร คุมตัวออกไป! ”
เหล่าองครักษ์ถือกระบี่ครบมือต่างมีแววตาขึงขัง พวกเขาเดินเข้ามาใกล้อีกครั้ง แส้ยาวในมืออู๋จุนตวัดขึ้นบนอากาศและพุ่งเข้าจู่โจมพวกเขาทันที
“ช้าก่อน! ” ซูจิ่นซีเอ่ยเสียงดัง นางเปิดหีบที่อยู่ในมือ พลางหยิบป้ายคำสั่งสีทองชิ้นหนึ่งออกมาชูขึ้นสูง ก่อนจะพูดว่า “จงเนี่ย ท่านเป็นทหารมาทั้งชีวิต กองทัพสกุลจงผ่านความเป็นความตายในสงครามมานับไม่ถ้วน สิ่งนี้พวกท่านยังคงจำได้กระมัง? ”
จงเนี่ยมองป้ายคำสั่งในมือซูจิ่นซี สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เขายืนนิ่งไม่ขยับและไม่พูดอันใด
องครักษ์ที่กำลังต่อสู้กับอู๋จุน รวมถึงพลธนูที่ยืนล้อมรอบบนกำแพง เมื่อเห็นป้ายคำสั่งในมือซูจิ่นซี ต่างก็ทิ้งอาวุธในมือทั้งหมดและคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความเคารพ
มู่หรงฉีเห็นป้ายคำสั่งในมือซูจิ่นซี มุมปากพลันเผยรอยยิ้มชื่นชม เขาสะบัดแขนเสื้อและคุกเข่าพูดว่า “เห็นป้ายคำสั่งขนนกทองคำดั่งพบอดีตฮ่องเต้ หลานคำนับเสด็จปู่ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น หมื่นปี”
เสียงของมู่หรงฉีดั่งฝันร้าย จงเนี่ยที่ยืนตกตะลึงพลันได้สติ เขาหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
ซูจิ่นซีโบกป้ายคำสั่งไปทางจงเนี่ยและพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่อำนาจล้นฟ้า ตำแหน่งสูงส่ง หรือกระทั่งป้ายคำสั่งขนนกทองคำ ท่านเองยังไม่รู้จัก? ”
จงเนี่ยกัดฟันกรอดด้วยท่าทีไม่ยอมรับ ทว่ายังต้องคุกเข่าลงกับพื้น “อดีตฮ่องเต้ ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่น หมื่นปี”
ป้ายคำสั่งขนนกทองคำของแคว้นหนานหลี เป็นสิ่งของที่ตกทอดมาจากจักรวรรดิต้าฉิน และอยู่ในมือของฮ่องเต้องค์แรกแห่งแคว้นหนานหลีมาโดยตลอด
ในปีนั้น อดีตฮ่องเต้ได้สร้างแว่นแคว้นขึ้น พระองค์เคยร่วมเป็นร่วมตายติดอยู่ในเหวลึกถึงสามวันสามคืน ถูกเผ่าทางเหนือโอบล้อม กองทัพทั้งหมดเกือบต้องจบชีวิต สถานการณ์วิกฤติอย่างมาก และในปีนั้น มู่หรงเฟิงที่มีอายุเพียงเก้าชันษา พยายามปลุกขวัญกำลังใจเหล่านักรบอีกครั้ง จนบุกตะลุยฝ่าวงล้อมออกมาได้สำเร็จ ทั้งยังได้ช่วยชีวิตอดีตฮ่องเต้ ดังนั้นอดีตฮ่องเต้จึงได้พระราชทานป้ายคำสั่งขนนกทองคำให้มู่หรงเฟิง
เห็นป้ายคำสั่งขนนกทองคำดั่งพบอดีตฮ่องเต้ เปรียบเสมือนป้ายคำสั่งชี้เป็นชี้ตาย สามารถประทานอภัยโทษ และสามารถตัดสินเรื่องราวสำคัญที่มีผลกระทบต่อแคว้นหนานหลีได้
ในปีนั้น หลังจากก่อตั้งแว่นแคว้นสำเร็จ อดีตฮ่องเต้ได้มีพระบัญชาลงมาพร้อมกับพระราชทานป้ายคำสั่งขนนกทองคำให้มู่หรงเฟิงต่อหน้าขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์
ด้วยเหตุผลนี้ แม้จงเนี่ยจะมีความทะเยอทะยานและควบคุมอำนาจทางทหารไว้ในมือตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ทว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาลังเล ไม่กล้าเคลื่อนไหวผิดปกติ
สิ่งนี้ไม่เพียงเป็นป้ายคำสั่งธรรมดาเท่านั้น ทว่าเป็นสิ่งที่แสดงถึงความจงรักภักดี และความศรัทธาของเหล่านักรบผู้กล้าแห่งแคว้นหนานหลีที่ร่วมเป็นร่วมตายกับอดีตฮ่องเต้ ซึ่งไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้
ในจิตใจของเขา ป้ายคำสั่งขนนกทองคำเปรียบเสมือนตัวแทนของอดีตฮ่องเต้
หลายปีมานี้ ป้ายคำสั่งขนนกทองคำไม่เคยปรากฏตัว จงเนี่ยคิดว่ามู่หรงเฟิงคงทำป้ายคำสั่งขนนกทองคำสูญหายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าวันนี้ ป้ายคำสั่งขนนกทองคำจะปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า อีกทั้งมู่หรงเฟิงยังมอบป้ายคำสั่งขนนกทองคำให้เจ้าเด็กน้อยผู้นี้โดยไม่มีท่าทีลังเลหรือนึกเสียดายแม้แต่น้อย
เขาคิดจะทำอันใด?
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
จงเนี่ยจิตใจสับสน เขาอดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้ ซูจิ่นซีชูป้ายคำสั่งขนนกทองคำขึ้นสูง ก่อนจะเดินออกจากจวนท่านแม่ทัพใหญ่พร้อมกับอู๋จุนและมู่หรงฉีด้วยท่าทีเด็ดเดี่ยว
องครักษ์และทหารที่พบเห็นตลอดทางต่างก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นป้ายคำสั่งขนนกทองคำ ยิ่งไม่กล้าถืออาวุธเข้ามาขัดขวาง
รอจนซูจิ่นซีกับทุกคนเดินลับสายตาไปจากหน้าประตูใหญ่ของจวนท่านแม่ทัพแล้ว จงเนี่ยจึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า แววตายิ่งปรากฏความเย็นชาดุดัน
‘โครม’ โต๊ะไม้พยูงชั้นดีแกะสลักลวดลายดอกไม้ถูกฝ่ามือของเขาซัดจนแตกเป็นสองท่อน
“มู่หรงเฟิง เจ้ามันร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่งนัก”
ครู่หนึ่ง หัวหน้าองครักษ์ก็เดินมายังข้างกายจงเนี่ยและพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ เช่นนั้นข้าน้อยพาพวกเราจำนวนหนึ่งไปจัดการเจ้าเด็กสองคนนั้นอย่างเงียบๆ โดยไม่ให้พวกเขารู้ตัวแล้วก็… ”
เขาพูดพลางแสดงท่าทางยกมือปาดไปที่ลำคอ
สีหน้าจงเนี่ยยิ่งปรากฏความดุดันขึงขัง
“หึ เจ้าคิดว่าวิธีการตื้นเขินเช่นนี้ ข้าจะคิดไม่ได้หรือ? เจ้าเด็กผู้นั้นมีป้ายคำสั่งขนนกทองคำอยู่ในมือ ทุกคนล้วนเห็นกับตา ในเมื่อมู่หรงเฟิงมอบป้ายคำสั่งขนนกทองคำให้เขา แน่นอนว่าต้องป่าวประกาศข่าวนี้ออกไปว่าป้ายคำสั่งขนนกทองคำอยู่ในมือของเจ้าเด็กผู้นั้น ไม่นานนัก เจ้าเด็กนั่นจะกลายเป็นจุดสนใจ ตอนนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าข้ามีความแค้นกับพวกเขา? หากพวกเขาเป็นอันใดไป แม้ไม่ใช่การกระทำของข้า ผู้อื่นก็ต้องคิดว่าเป็นฝีมือของข้าแน่นอน”
องครักษ์เข้าใจในความหมาย จึงขมวดคิ้วพูดว่า “ขอรับ ขอรับ ขอรับ ข้าน้อยเบาปัญญา ไม่ได้นึกถึงจุดนี้ เช่นนั้นท่านแม่ทัพใหญ่คิดจะทำอย่างไรต่อไป? ”
จงเนี่ยขมวดคิ้วเคร่งเครียด
ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “เวลานี้ข้ายังคิดไม่ตก มู่หรงเฟิงมอบป้ายคำสั่งขนนกทองคำให้เจ้าเด็กนั่น เขามีเจตนาอื่นใดแอบแฝงกันแน่”