หลังจากทุกคนออกมาจากจวนท่านแม่ทัพใหญ่ ซูจิ่นซีก็ไร้จุดหมายจะไป มู่หรงฉีเสนอว่าให้ไปที่จวนฉีอ๋องของเขาก่อน
มู่หรงฉีสั่งให้พ่อบ้านจัดเตรียมที่พักให้ซูจิ่นซีและอู๋จุน ทั้งยังเลือกคนให้ไปรับใช้พวกเขาด้วยตนเอง
หลังรับประทานอาหารเที่ยง ซูจิ่นซีไม่มีเรื่องอันใดให้จัดการอีก นางจึงพยายามฝึกฝนพลังภายในของตนพร้อมทั้งเรียนรู้กระบวนท่าเบื้องต้นที่อู๋จุนสอน
บึงดอกบัวหลังจวนฉีอ๋องมีทิวทัศน์สวยงามและเลื่องชื่อที่สุดในเมืองเย่หลิน
เพิ่งผ่านต้นฤดูร้อน ใบบัวแตกหน่อแผ่กิ่งก้านสาขามากมาย ทั้งยังมีดอกบัวตูมโผล่พ้นจากน้ำและตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางใบบัว ดอกบัวตูมที่กำลังเบ่งบานภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง ดูสะดุดตาและงดงามยิ่งกว่าดอกพุดตานเสียอีก
แมลงปอจำนวนหนึ่งบินล้อดอกบัวตูม เสริมให้ทิวทัศน์ที่อยู่เบื้องหน้าสดใสมากขึ้น
ที่ริมสระบัว มู่หรงฉีในชุดสีขาว ใบหน้างดงามดั่งภาพวาด เขากำลังนั่งอยู่ข้างสวนหินและเล่นหมากล้อมอยู่เพียงลำพังกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว
บนยอดภูเขาในสวนหิน อู๋จุนกำลังนอนหลับโดยหนุนมือสองข้างต่างหมอน บนใบหน้ามีหนังสือวางปิดบัง
ครู่หนึ่ง แมลงปอตัวหนึ่งบินเข้ามาเกาะบริเวณไรผมของอู๋จุน ทำให้เขาสะดุ้งตื่น หนังสือที่ปิดอยู่บนใบหน้าตกลงไปในสระบัวจนเกิดคลื่นเล็กน้อย ทำลายความเงียบสงบของสระบัวในทันที
“บัดซบ จะนอนหลับให้สบายเสียหน่อย”
อู๋จุนพูดพลางลุกขึ้น เดิมทีคิดจะบอกให้มู่หรงฉีจัดการกับแมลงปอในบึงดอกบัวให้สาแก่ใจ ทว่าเห็นใบหน้ามู่หรงฉีเรียบเฉยและท่าทางสงบเยือกเย็น ท่าทีของเขาจึงสงบลง
ผู้อื่นมองไม่ออก ทว่าเขาเข้าใจเป็นอย่างดี
หลังกลับมาที่จวนฉีอ๋อง แม้ใบหน้าของมู่หรงฉีจะดูปกติราวกับไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง ทว่าภายในใจกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
อู๋จุนชำเลืองตามองมู่หรงฉี จากนั้นก็เหาะไปยังข้างกายมู่หรงฉี พลางหยิบเม็ดหมากล้อมขึ้นมาหนึ่งเม็ดและโยนลงไปบนกระดานหมาก ก่อนจะพูดว่า “พอได้แล้ว ยังเล่นอยู่ได้! เล่นหมากล้อมต่อสู้กับตนเองจะสนุกได้อย่างไร? เช่นนั้นข้าจะต่อสู้เป็นเพื่อนเจ้าสักครั้ง จะได้ออกกำลังกาย ดูสิว่าเวลาที่ผ่านมา เจ้าพัฒนาฝีมือไปถึงขั้นใดแล้ว หรือฝีมือของข้ารุดหน้าไปถึงขั้นใด? ”
“อย่ามายุ่ง! ”
มู่หรงฉีสีหน้าเรียบเฉย หยิบเม็ดหมากล้อมของอู๋จุนออกจากกระดาน และโยนออกไปด้านข้าง
อู๋จุนไม่ได้โกรธเคือง เขารีบเข้าไปนั่งตรงข้ามมู่หรงฉี
“จะว่าไป เจ้าฉี ทารกในพระครรภ์ของจงกุ้ยเฟยเป็นบุตรของเจ้าหรือไม่? ”
มู่หรงฉีที่กำลังจะวางเม็ดหมากล้อมพลันหยุดชะงัก เขาเงยหน้ามองอู๋จุน จากนั้นก็วางหมากลงบนกระดานโดยไม่พูดอันใด
“ไม่พูด นับว่าเจ้ายอมรับใช่หรือไม่? ” อู๋จุนแสดงท่าทีเหน็บแนม “จะว่าไป พวกเจ้าสองคนไปทำเรื่องอย่างว่าตั้งแต่เมื่อไร? ”
หลังสิ้นเสียงพูดของอู๋จุน มู่หรงฉีโบกมือหนึ่งครั้ง เม็ดหมากล้อมพุ่งไปที่ใบหน้าอู๋จุนทันที
“เจ้าจะพูดอันใด ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”
อู๋จุนเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว เขาโบกแขนเสื้อขึ้นรับเม็ดหมากที่ลอยมาอย่างง่ายดาย จากนั้นก็เหาะขึ้นบนอากาศราวกับนกนางแอ่นถลาลมและค่อยๆ ร่อนลงมานอนบนพื้น
ใบหน้าของเขายังคงแย้มยิ้ม “ไม่พูดก็ไม่พูดสิ โกรธเคืองถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ข้าเพียงรู้สึกแปลกใจเท่านั้น อย่างไรเสีย หลายปีมานี้ แม้ผู้อื่นไม่รู้ ทว่าข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? เจ้าไม่สามารถปล่อยวางสตรีผู้นั้นได้เลย”
มู่หรงฉีเงยหน้ามองอู๋จุนด้วยท่าทีจริงจัง “ตัดใจได้หรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง ทำอย่างไรก็อีกเรื่อง ไม่ว่ากรณีใด นางก็เป็นสตรีของเสด็จพ่อ ข้าจะทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมเช่นนั้นได้อย่างไร? ”
เมื่อกล่าวถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของมู่หรงฉียิ่งขุ่นเคืองมากขึ้น เขาโยนเม็ดหมากล้อมในมือทิ้งและลุกขึ้นทันที
อู๋จุนเห็นมู่หรงฉีโกรธเข้าจริงๆ จึงรีบเดินไปขวางทางมู่หรงฉี “ดูเจ้าโกรธเคืองเช่นนี้ ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย เจ้าโกรธเคืองข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ”
มู่หรงฉียังคงมองอู๋จุนด้วยท่าทีจริงจัง “เป็นข้าเองที่คบมิตรโดยไม่ระวัง หากเจ้ารังเกียจที่อยู่ในจวนข้าแล้วไม่สบายใจ เจ้าสามารถกลับไปยังหุบเขาเทพโอสถของเจ้าได้ จวนฉีอ๋องของข้าคับแคบ ไม่สามารถดูแลท่านจุนผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้า”
มู่หรงฉีพูดพลางเดินหนีอู๋จุนทันที
“บัดซบ นี่เป็นคำพูดไล่แขกหรือ? ” อู๋จุนขมวดคิ้วมุ่น เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “ไม่ใช่สิ นี่มันเสร็จงานฆ่าโคถึกชัดๆ ยามนั้นที่ต้องการให้ข้าอยู่ที่แคว้นจงหนิงเพื่อคุ้มครองแม่นางพิษน้อย เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดเช่นนี้”
น่าเสียดาย มู่หรงฉีเดินไปไกลแล้ว และไม่สนใจในคำพูดของอู๋จุนแม้แต่น้อย
อู๋จุนฉุนเฉียว เขายืนกระทืบเท้าเดินวนไปวนมาที่เดิมอยู่หลายครั้ง
“บัดซบ ใช้งานข้าเสร็จแล้วก็ถีบหัวส่ง ฝันไปเถิด! ข้าไม่ไปไหน ข้าไม่มีทางไปไหน! ข้าจะอยู่ข้างกายแม่นางพิษน้อย เจ้าคิดว่าข้าต้องการอยู่จวนซอมซ่อของเจ้าหรือ? หากไม่ใช่เพราะแม่นางพิษน้อย ข้าก็ไม่อยากอยู่จวนเก่าพุพังของเจ้าหรอก”
อู๋จุนพูดพลางใช้เท้าถีบกระดานหมากรุกจนลอยกระเด็นไปไกล จากนั้นก็เหาะไปทางเรือนพักของซูจิ่นซี
บ่าวรับใช้ในจวนฉีอ๋องที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่จากระยะไกล ต่างขมวดคิ้วมุ่น
ท่านอ๋องกับเจ้าหุบเขาอู๋มีปากเสียงกันอีกแล้ว ช่างเป็นคู่รักคู่แค้นเสียจริง!
อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้ดีว่าการทะเลาะกันของเจ้าหุบเขาอู๋และท่านอ๋อง แม้จะดูใหญ่โต ทว่าเป็นเพียงลมกระเพื่อมแรงเท่านั้น
ในอีกไม่กี่ชั่วยาม เจ้าหุบเขาอู๋ก็ยังอยู่ภายในจวน มีกิน มีดื่มตามสมควร คิดพูดสิ่งใดก็พูดออกมาตามอำเภอใจ
ทว่าท่านอ๋องกลับไม่เอ่ยอันใดสักคำ
ผลสุดท้าย ผ่านไปไม่กี่ชั่วยาม อู๋จุนกับมู่หรงฉีก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
เวลาพลบค่ำหลังอาหารเย็น มู่หรงฉีกลับเข้าไปในห้องบรรทมของตน และหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างเงียบงันเพียงลำพัง
อู๋จุนว่างมากจนไม่มีอันใดทำ เขาเดินไปเดินมา ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดจึงเดินไปทางห้องบรรทมของมู่หรงฉี
มู่หรงฉีได้ยินเสียงจึงขมวดคิ้วมุ่น เขาหันไปอีกด้านหนึ่งและตั้งใจอ่านหนังสือต่อ ทำทีไม่สนใจอู๋จุน
อู๋จุนแย้มยิ้ม ใบหน้าสดใสดั่งดอกไม้บาน ก่อนจะเข้าไปในห้องบรรทมของมู่หรงฉีทางหน้าต่าง
จากนั้นจึงนอนเอนกายอยู่บนเตียงด้วยอิริยาบถเย้ายวนกวนโทสะ
หากอู๋จุนไม่ใช่บุรุษ ด้วยอิริยาบถเช่นนี้ รูปร่างเช่นนี้ เสื้อสีแดงที่ดูฉูดฉาด ทุกคนต้องคิดว่าเป็นแม่นางผู้หนึ่งที่นอนอยู่อย่างแน่นอน
“เจ้าฉี ดูอันใดอยู่? พวกเรามาสนทนากันดีหรือไม่? ”
มู่หรงฉีเงยหน้าขึ้นมองหน้าอู๋จุนเล็กน้อย คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วยิ่งขมวดมุ่นขึ้นไปอีก
เขาหันหลังให้อู๋จุน และอ่านหนังสือต่อ
น้ำเสียงเรียบเฉยพลันดังขึ้น “ข้าปกติดี ท่านเจ้าสำนักอู๋อย่าลดตัวลงมากระทำเช่นนี้ และอย่าใกล้ชิดกันมากเกินไป! ”
ทันใดนั้น ร่างของอู๋จุนก็แข็งทื่อเหมือนปลาเค็มตากแห้ง ใบหน้าภายใต้หน้ากากเย็นชากระตุกอย่างรุนแรง เขาลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกไปข้างนอก
“บัดซบ เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร? ”
อู๋จุนเดินไปได้เพียงสองก้าว ไม่รู้ว่าเขาคิดอันใดจึงรีบหันหลังกลับมาและเดินไปยังข้างกายมู่หรงฉี เขาเหลือบตามองหนังสือในมือมู่หรงฉีและใช้ลำตัวกระแทกไปที่ตัวของมู่หรงฉีแผ่วเบา
“จะว่าไป เจ้าฉี ข้าอัดอั้นมาหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว เจ้าก็ถามให้ข้าสักคำเถิด! ”
มู่หรงฉีอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่เงยหน้าขึ้นมอง
“มีคำพูดมากมายต้องถามให้น้อย มีคำพูดน้อยต้องเลือกที่จะถาม สิ่งที่ไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม! ”
อู๋จุนแย้มยิ้มเหมือนเช่นเคย “ข้าเพียงต้องการถามเกี่ยวกับชาติกำเนิดของแม่นางพิษน้อย เจ้าวางแผนจะบอกนางเมื่อไร? ”