บทที่ 452 สองรุ่น
เมื่อได้ยินเสียงฟ้าร้องคำราม ลูเซียนก็มองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว แสงอาทิตย์อ่อนๆ ของรุ่งอรุณยามเช้าสะท้อนแสงเลือนๆ ของเม็ดฝนโปรยปราย

เมื่อปิดวงเวทและอุปกรณ์เล่นแร่แปรธาตุ ลูเซียนเดินเข้าไปใกล้กับหน้าต่างพร้อมกับถ้วยน้ำชาในมือแล้วก็ผลักหน้าต่างเปิดออก อากาศสดชื่นชื้นๆ ก็ปะทะเข้ากับหน้าของเขา

ช่างเป็นวันที่สดใส

เมื่อหวนคิดถึงบทความที่ชื่อ ‘การเล่นแร่แปรธาตุสมัยใหม่’ ที่เขาเพิ่งเขียนเสร็จ ซึ่งอันที่จริงเป็นการรวบรวมบทความมากกว่าสิบบทความ ลูเซียนก็หายใจรับอากาศเย็นๆ ที่สดชื่นเข้าปอดไปหลายครั้ง แล้วเขาก็พูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ยุคแห่งการระเบิดหัวมาถึงแล้วสินะ”

พวกเขากำลังก้าวย่างเข้าสู่อาณาจักรที่แปลกประหลาดและพิลึกพิลั่นเหนือจินตนาการ แตกต่างจากฌานหยั่งรู้ของมนุษย์โดยสิ้นเชิง คำถามที่มาจาก ‘แมว’ ตัวนั้นจะก่อให้เกิดการระดมสมองจากจอมเวททุกคน

ในอาณาจักรแห่งสนามแม่เหล็กไฟฟ้า บรรดาแม่เหล็กกำลังพังทลาย กระแสไฟฟ้ากำลังสลายไป สายฟ้าของไฟอาร์กรวมตัวเข้ากับสายฟ้า และสายฟ้าดังกล่าวก็ผ่าลงบนพื้นดินและเกราะป้องกันของหอคอยเวทมนตร์

“นี่คือจุดจบหรือขอรับ… อาจารย์?” บาเร็ตมองออกไปนอกหน้าต่างที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง แล้วเขาก็เห็นรอยแตกสีดำมากมายปรากฏบนเกราะป้องกันเวทมนตร์

ทันใดนั้น กระแสไฟฟ้าบนท้องฟ้าก็ควบรวมตัวกันและกลายเป็นงูไฟฟ้าขนาดยักษ์ มันเลื้อยขึ้นไปจนถึงยอดบนสุดของหอคอยเวทมนตร์และอ้าปากกว้าง ขณะที่สายฟ้าบนท้องฟ้าถูกงูยักษ์ดูดซับพลัง ตัวของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นจนถึงขีดจำกัด

เจ้างูยักษ์ระเบิดออกอย่างรุนแรง ประกายไฟสีขาวเงินกระจัดกระจายไปทั่วมิติอวกาศ ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าก็กลายเป็นคลื่นที่มองเห็นได้ชัดในทั้งอวกาศ ไม่ต่างจากคลื่นยักษ์ในมหาสมุทร

คลื่นยักษ์เริ่มก่อตัวจากตรงกลาง และดูเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่รูปร่างของคลื่นก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม ภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้คงอยู่เพียงชั่วครู่ไม่ถึงวินาที ก่อนที่บาเร็ตจะตระหนักได้ว่าภาพที่เห็นตรงหน้าคืออะไร คลื่นยักษ์ไฟฟ้านั้นก็สลายไปไม่เหลืออะไรเลย

การพังทลายของคลื่นเสร็จสุดลง และอาณาจักรแห่งคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอดมาได้ อย่างไรก็ตาม หลักฐานการทำลายล้างที่ทรงพลังคงเหลือให้เห็นอยู่ทุกทิศทุกทาง เหลือกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กอยู่เพียงไม่ถึงร้อยละสิบ และยังมีหลุมดำที่น่าขนลุกจำนวนหนึ่งลอยอยู่ในอากาศ

เสียงถอนหายใจยาวก็ตามมา

“อาจารย์…” บาเร็ตรู้สึกกังวลใจอย่างยิ่ง เขารู้ดีว่ามิติพิเศษของผู้วิเศษชั้นตำนานเป็นภาพสะท้อนของโลกแห่งปัญญาของเขา เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมิติพิเศษนั้น บาเร็ตก็รู้ว่าโลกแห่งปัญญาของอาจารย์ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดขีด

บรูคซึ่งสวมวิกและแว่นตากรอบสีทอง เดินลงมาจากบันได ใบหน้าของเขาแดงจัดผิดปกติ เขาส่ายศีรษะ และกล่าวว่า “ไม่มีทางที่ข้าจะผนวกสมมติฐานควอนตัมแสงเข้ากับทฤษฎีคลื่นได้เลย”

“แล้วผล…” บาเร็ตเผลอถามออกไป

บรูคตอบด้วยเสียงที่ไร้ชีวิตชีวา “ถึงข้าจะเตรียมใจไว้แล้ว ผลการทดลองที่สอดคล้องกับสมมติฐานอย่างสมบูรณ์แบบก็ยังคงเป็นเรื่องยากเกินกว่าข้าจะรับได้ โลกแห่งปัญญาของข้าจึงสั่นไหว ข้าพยายามทำความเข้าใจสมมติฐานจากมุมมองอื่นแล้ว หวังจะผนวกเข้ากับทฤษฎีคลื่นเพื่อสร้างโลกแห่งปัญญาขึ้นใหม่ แต่ข้าก็หาจุดเปลี่ยนไม่ได้”

บาเร็ตไม่ได้ไร้เดียงสาอีกต่อไป แต่เขาก็ยังรู้สึกหวาดผวาอย่างหนัก “อาจารย์ขอรับ โลกแห่งปัญญาของท่าน…”

เขาไม่อาจพูดคำนั้นออกมา

“พังยับเยินและถูกปิดผนึก” บรูคกุมขมับ เปิดเผยให้รู้ว่าถึงความเหนื่อยและความสิ้นหวังของเขา

บาเร็ตเข้าใจกระบวนการนี้ดี แต่เขาก็ยังไม่อยากเชื่อ เขาตกตะลึงและเศร้าใจเสียยิ่งกว่าบรูค “อาจารย์ขอรับ… ท่านไม่อาจพัฒนาได้อีกแล้วหรือขอรับ?”

“ใช่” เมื่อเปรียบเทียบกับบาเร็ต บรูคดูเหมือนจะค่อนข้างใจเย็นยิ่งกว่า เขาส่ายศีรษะเหมือนไม่อยากเชื่อตัวเอง แล้วจึงเอ่ยออกมา “ข้าควรต้องขอบใจ สามปีก่อนที่ข้าเห็นสมมติฐานควอนตัมแสงครั้งแรก หากไม่มีเงื่อนไขการทดลองที่จำกัด ข้าคงทำการทดลองไปแล้วในตอนนั้น หากเป็นแบบนั้น โลกแห่งปัญญาของข้าคงสูญสลายอย่างสมบูรณ์แบบ และอาณาจักรแห่งสนามแม่เหล็กไฟฟ้าคงพังทลายลงพร้อมกับอัลลินครึ่งเมือง แต่ยังโชคดีที่เตรียมใจไว้ก่อนและผลการทดลองในปีที่ผ่านมา ข้าเลยรอดตายมาได้”

การล่มสลายของโลกแห่งปัญญาที่ถูกปิดผนึกไปครึ่งหนึ่งของผู้วิเศษชั้นตำนานอาจมีพลังรุนแรงมากพอที่จะส่งผลกระทบต่อโลกวัตถุจริงๆ

ดังนั้น บรูคจึงไม่ได้เสียอกเสียใจเกินเหตุ หากอาณาจักรของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าล่มสลายไปจริงๆ นครอัลลินครึ่งเมืองคงถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพัง อันที่จริง อัลลินเป็นเมืองที่ได้รับการคุ้มครองจากเวทมนตร์ป้องกันที่ทรงพลังที่สุดในโลก และหากเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ เช่น เรนทาโตหรืออัลโต้ เมืองทั้งเมืองรวมถึงเมืองและพื้นที่โดยรอบคงถูกทำลายจากระเบิดของพายุแม่เหล็กไฟฟ้าไม่เหลือซาก

“เจ้าชั่วอีวานส์!” บาเร็ตระเบิดอารมณ์ออกมา แม้เขาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่ความผิดของอีวานส์ เขาก็ไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้

บรูคโบกมือ หน้าของเขาเปลี่ยนจากสีแดงจัดเป็นซีดขาว “หากเข้ายังยืนยันในความเชื่อที่ไร้สาระ ข้าจะสู้กับเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายแต่… แต่ทว่า ผลการทดลองก็พิสูจน์สมมติฐานของเขาแล้ว ซึ่งหมายความว่าข้าคิดผิด และข้าเป็นฝ่ายที่ยึดติดกับความเชื่อผิดๆ มากเกินไป จริงๆ แล้ว ข้าควรต้องเกลียดโลกนี้ที่ไม่เป็นไปตามที่ข้าฝันไว้หรือ?”

แม้ว่าโลกแห่งปัญญาของเขาจะแตกสลายและปิดผนึก บรูคก็ยังคงรักษาอากัปกิริยาสุขุมไว้ได้

บรูคแตกต่างจากเฟอร์นันโดโดยสิ้นเชิง ซึ่งความรู้สึกและอารมณ์จะรุนแรงอยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีสองเรื่องที่ทั้งสองมีเหมือนกัน กล่าวคือ ความเคารพนับถือในสิ่งที่ไม่รู้ และแรงปรารถนาในอาร์คานาศาสตร์

“แต่…” บาเร็ตก็ยังคงยอมรับความจริงไม่ได้อยู่ดี คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอย่างขมขื่น ราวกับว่าเขาเป็นคนที่สูญสิ้นความหวังทั้งหมดที่จะเจริญก้าวหน้าในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเสียเอง

บรูคเดินไปยังหน้าต่างในห้องนั่งเล่นขณะมือประสานแน่นไขว้หลัง “นี่ไม่ใช่เรื่องแน่เสียทีเดียว บาเร็ต สำหรับข้า แม้จะสิ้นหวังจริงๆ แต่ก็ยังพอมีหวังบ้าง ในความพ่ายแพ้ย่อยยับครั้งนี้ ก็ยังพอมีโอกาส”

“…?” บาเร็ตยังไม่เข้าใจ

บรูคยกมือขวาขึ้นแล้วก็แบมือออกมา “เราไม่รู้ว่าพระเจ้าแห่งสัจธรรมมีอยู่จริงหรือไม่ แต่ยกเว้นสำหรับเขา มีเพียงสี่คนเท่านั้นที่จะพัฒนาถึงระดับของอัลเทอร์นาได้จากระดับตำนานในประวัติศาสตร์ ก็มีเจ้าแห่งนรก เจตจำนงแห่งอเวจี สิ่งชีวิตปริศนาในโลกแห่งวิญญาณ และโป๊บ ว่ากันว่าสามคนแรกเกิดมาพร้อมกับพลังนี้ เหมือนกับพระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน”

“แต่อาจารย์ โป๊บคนก่อนก็ไม่ได้มีพลังถึงระดับนี้นี่ขอรับ?” บาเร็ตถาม

บรูคไอเบาๆ ก่อนจะตอบ “สำหรับข้า โป๊บเป็นเพียงสัญลักษณ์ สัญลักษณ์ของ ‘พระวจนะแห่งพระเจ้าแห่งสัจธรรมบนโลกนี้’ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง โป๊บใช้พลังของพระเจ้าแห่งสัจธรรมจึงมีพลังอีกระดับ ดังนั้น ชื่อผู้ครองตำแหน่งไม่มีความหมาย โป๊บที่ผ่านมาทุกคนและคนปัจจุบันก็นับเป็นคนๆ เดียวกัน”

“ก็จริงขอรับ” บาเร็ตพยักหน้า

บรูคมองไปยังอาณาจักรที่ถูกทำลายไปเสียครึ่งอาณาจักรของเขาแล้วก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “…จากระดับตำนานไปถึงขั้นมนุษย์ครึ่งเทพเป็นการเดินทางที่ยากเย็นแสนเข็ญ ในอดีตที่ผ่านมาหลายพันปี มีเพียงโป๊บที่สามารถดึงพลังจากพระเจ้าแห่งสัจธรรมได้สำเร็จ อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่มากกมาย ทั้งราชาแห่งตะวัน และอาจารย์ของข้าก็ยังไปไม่ได้ไกลไปกว่านี้ แม้ว่าเขาจะเริ่มออกตามหาชิ้นส่วนที่แตกสลายของอัลเทอร์นาและสิ่งมีชีวิตปริศนาในโลกแห่งวิญญาณ ข้าไม่หวังว่าการค้นพบจะช่วยอะไรได้เท่าไร”

“ฉะนั้นแล้ว” บรูคก็หยุดเล็กน้อยและสรุปความคิดออกมา “การหยุดอยู่ในระดับนี้ก็ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินและน่าปวดหัวอะไรนัก”

บาเร็ตถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้ว่าอาจารย์ของเขาพูดถูก แม้ว่าโลกแห่งปัญญาของท่านบรูคจะแตกสลายและปิดผนึกลง เขาก็ยังเป็นผู้วิเศษที่มีพลังสูงสุดของชั้นตำนาน ซึ่งพลังของเขาเป็นรองเพียงมนุษย์ครึ่งเทพสามคนที่ไม่เคยปรากฏตัวออกมา และแม้ว่าหากโลกแห่งปัญญาของเขาไม่เสียหายแต่อย่างใด เขาก็อาจไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อยู่ดี

“แน่นอนว่านี่เป็นความสิ้นหวัง แต่ก็ยังพอมีโอกาสอยู่…” เสียงของบรูคเบาลง “ในการทดลอง ข้าเห็นจุดบกพร่องที่สาหัสของทฤษฎีคลื่นของแสง หากข้ามองเห็นเหตุผลว่านี่คือทวิภาวะในคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ข้าก็อาจสร้างโลกแห่งปัญญาขึ้นมาได้ใหม่และแม้กระทั่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ต่อไป”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายจากปากอาจารย์และเห็นว่าอาจารย์ของเขายังมีความทะเยอทะยานเหมือนเดิมและมองความพ่ายแพ้ย่อยยับครั้งนี้ในแง่บวก บาเร็ตก็เรียกความเคารพศรัทธาที่เขามีตั้งแต่สมัยเข้าเป็นลูกศิษย์ของบรูคแรกๆ กลับมาได้ ผ่านมาหลายปี ความเคารพศรัทธายังคงอยู่เสมอ บรูคยังเอ่ยถึงราชาแห่งตะวันและท่านดักลาสในฐานะตัวอย่างของอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ แต่ในความคิดของบาเร็ตและจอมเวทของสภาเวทมนตร์จำนวนมาก บรูคก็ยังเป็นอัจฉริยะที่มีพลังและอัจฉริยภาพไม่ด้อยไปกว่าทั้งสองคน

บรูครื้อถอนระบบเวทมนตร์โบราณและสร้างอาณาจักรแม่เหล็กไฟฟ้าที่ยิ่งใหญ่ เขาได้รับตำแหน่งมหาจอมเวทก่อนอายุห้าสิบปีแล้วจึงเลื่อนขั้นขึ้นเป็นชั้นตำนาน ตอนที่อายุแปดสิบปี ไม่มีใครตั้งแง่สงสัยในอัจฉริยภาพของเขา

“อาจารย์ขอรับ ท่านจะเผยแพร่ผลการทดลองหรือไม่ขอรับ?” บาเร็ตถาม

บรูคพยักหน้า “เผยแพร่สิ”

“แต่…” บาเร็ตกลัวว่าจะเกิดเหตุหัวระเบิดครั้งใหญ่

บรูคถอนหายใจ “ข้าเป็นผู้ก่อตั้งทฤษฎีคลื่นแห่งแสง และก็เป็นหนึ่งในคนที่ทำให้มันสมบูรณ์ โลกแห่งปัญญาของข้าจึงแตกสลายและปิดผนึก แม้จะเตรียมตัวมาถึงสามปีก็ตาม จอมเวทคนอื่นๆ คงไม่บาดเจ็บรุนแรงขนาดข้า หลังจากผ่านมาสามปีนี้ ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด โลกแห่งปัญญาของพวกเขาก็แค่เสียหายรุนแรง”

“แต่ยังมีคนที่ดึงดันหัวรั้นสุดโต่งอยู่นะขอรับ…” บาเร็ตยังคงลังเล

เสียงของบรูคเยือกเย็นลง “สามปีมาแล้ว หากหัวของพวกเขายังจะระเบิดอยู่อีก ต่อให้ให้เวลาอีกสามปี หรือแม้แต่สามสิบปีก็คงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ความดื้อด้านหยั่งรากลงในเซลล์และเลือดของพวกเขาแล้ว แต่การพัฒนาอาร์คานาและเวทมนตร์คงไม่รอให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงความคิด”

“หากลูเซียน อีวานส์ อยากจะขึ้นเป็นมหาจอมเวท…” บรูคยังพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดต่อไป “…เขาจะต้องก้าวย่ำไปบนหัวที่ถูกระเบิด เศษซากสมอง และเลือดท่วมเป็นแม่น้ำ นี่จะเป็นบันไดให้เขาก้าวขึ้นไป บางทีเรื่องนี้ก็ดูโหดร้ายกว่าสงครามจริงๆ เสียอีก”

บรูคเป็นคนที่สามารถพูดเรื่องนี้ได้เต็มปาก เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุหัวระเบิดครั้งใหญ่มาแล้วเมื่อหลายปีก่อน

“ข้าจะไปเรียบเรียงข้อมูลเสียหน่อย ข้าจะเหลือส่วนบทนำให้อาจารย์เขียนนะขอรับ” บาเร็ตเอ่ย เขารู้สึกขนพองสยองเกล้าไปทั้งตัว

บรูคพยักหน้าเบาๆ “ไปเถอะ ข้าจะพักเสียหน่อย แล้วค่อยทำการทดลองต่อไป”

“การทดลองอะไรขอรับ?” บาเร็ตยังสับสน

บรูคหัวเราะเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังเยาะเย้ยตัวเอง “เนื่องจากสมมติฐานควอนตัมแสงสอดคล้องกับผลการทดลอง ตอนนี้ เราก็ทดลองแสงได้เหมือนอนุภาคเชิงซ้อน อนุภาคไม่ควรเพียงบรรจุพลังงาน แต่ต้องมีโมเมนตัมด้วย ข้าจะยิงอนุภาควัตถุต่างๆ โดยใช้รังสีเอกซ์ที่เพิ่งค้นพบใหม่ ทดลองดูว่าโมเมนตัมจะเปลี่ยนแปลงไหม”

“ข้าไม่เคยคิดว่าต้องมาง่วนกับการพิสูจน์ทฤษฎีอนุภาคมาก่อนเลย…”

ณ หอคอยเวทมนตร์ของลอเร็น

มานูเอลและลูกศิษย์คนอื่นๆ กำลังรอผลอย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้น เสียงสัญญาณเตือนก็ดังลั่น

“อุบัติเหตุในห้องทดลอง เรียกผู้ดูแล เรียกผู้ดูแล…”

“ไม่มีการตอบรับ ไม่มีการตอบรับ เปิดการตรวจสอบ…”

“ไม่มีพิษรั่วไหล ไม่มีคำสาป ไม่มีสิ่งมีชีวิตอันตราย… ประตูห้องทำลายเปิดแล้ว…”

เสียงของชีวินรสายนเวทที่เย็นชาไม่เปลี่ยนแปลงดังลั่นไปทั่วห้องโถง

มานูเอลและไดอะน่ามองหน้ากันเลิกลั่กและในวินาทีต่อมา พวกเขาก็รีบวิ่งไปยังห้องทดลอง เมื่อเข้าไปภายในห้องทดลองแล้ว พวกเขาก็เห็นภาพที่จะไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต

ศพร่างหนึ่งนอนกองบนพื้นสวมเสื้อคลุมเวทมนตร์สีเทาซึ่งทุกคนคุ้นเคยดี อย่างไรก็ตาม เขาของร่างนั้นหายไป ในอวกาศทั้งหมด กำแพง โต๊ะทดลอง กองเอกสาร และเกราะพลังงานบนวงเวท ต่างเต็มไปด้วยเศษซากสีแดงและสีขาวเกรอะกรัง รวมถึงเศษกระดูกชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกเขาได้กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งเต็มไปด้วย

บนหน้าอกของศพร่างนั้น มีเหรียญตราวงแหวนระดับวง และดาวสีเงินเก้าดวง รวมถึงเหรียญน้ำแข็งและหิมะ และเหรียญจันทราสีเงิน