บทที่ 453 โจมตี
“อาจารย์ค่ะ…” เสียงของไดอะน่าดูอ่อนแรงและเหมือนอยู่ไกลลิบ ราวกับว่านางติดอยู่ในฝันร้ายที่ไม่มีวันจบ

ดวงตาสีน้ำตาลอมเหลืองของมานูเอลเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว เพราะเหตุการณ์นี้เกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ หลังจากอยู่กับลางสังหรณ์มาสามปี สถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่เขาคิดไว้ก็แค่โลกแห่งปัญญาของลอเร็นแตกสลายและปิดผนึก ในฐานะผู้วิเศษระดับเก้า ลอเร็นสามารถย้ายตัวตนไปสู่การเป็นเทพอสูรหรือต่ออายุออกไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง หลังจากอายุขัยของเขาเดินมาถึงขีดจำกัดที่ประมาณสามร้อยปี และยังคงมีความหวังแม้จะริบหรี่ที่เขาจะสร้างโลกแห่งปัญญาขึ้นมาได้ใหม่ในอนาคต… อย่างไรก็ตาม ภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาคือภาพการตายของผู้วิเศษระดับเก้า

“ไม่! เป็นไปไม่ได้!” คริสตัลร้องไห้ฟูมฟายออกมา ผมหงอกของเขาตอนนี้ดูยุ่งเหยิงรุงรัง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเขาบิดเบี้ยวและน่าเกลียดน่ากลัว “…ข้ายังไม่ตาย! ท่านลอเร็นใช้ ‘เวทกำบังชีวิต’ ใช่ไหม?”

ในฐานะผู้วิเศษระดับเก้า ลอเร็นสามารถใช้มาตรการความปลอดภัยป้องกันการเสียชีวิตจากเหตุสุดวิสัยได้ แม้ว่า ‘เวทกำบังชีวิต’ รวมถึงเครื่องรางกักพลังของเทพอสูรจะไม่ได้ผล แต่มันก็เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ส่วนใหญ่ได้

ไดอะน่าซุกหน้าลงในมือและพูดพึมพำด้วยความเศร้าโศก “เวทกำบังชีวิตไม่ได้ผล… เขาตายแล้ว แม้แต่เครื่องรางกักพลังเทพอสูรก็ไร้ประโยชน์เมื่อโลกแห่งปัญญาถูกทำลายไม่เหลือซาก…”

ปัจจุบัน นักเวทที่ทรงพลังจะแยกวิญญาณและพลังชีวิตออกเป็นส่วนๆ และเก็บไว้ในเครื่องรางกักพลังหรือซ่อนไว้ด้วยเวทมนตร์ต่างๆ ตราบใดที่องค์ประกอบเหล่านี้ไม่เสียหาย พวกเขาก็ยังไม่ตายอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม โลกแห่งปัญญาเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากกว่าวิญญาณมากนัก มันฝังรากลึกลงในจิตใต้สำนึกของนักเวทและไม่สามารถถูกโจมตีด้วยเวทมนตร์หรือพลังเทพ ดังนั้น โลกแห่งปัญญาจึงไม่สามารถแบ่งแยกออกได้ เมื่อโลกแห่งปัญญาล่มสลาย ความตายย่อมมาเยือน

อันที่จริง มิติพิเศษของนักเวทชั้นตำนานเป็นภาพสะท้อนของโลกฌานสมาธิในโลกความเป็นจริง ซึ่งสะท้อนถึงโลกแห่งปัญญาของนักเวท และการเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งปัญญาก็จะสะท้อนในมิติพิเศษ อย่างไรก็ตาม ต่างกันที่เมื่อมิติพิเศษถูกศัตรูทำลายกลับไม่ก่อความเสียหายต่อโลกแห่งปัญญาของนักเวทชั้นตำนาน

นอกจากนี้ หากใครสักคนสร้างทฤษฎีหักล้างขึ้นมาโดยอาศัยเวทภาพมายา เพื่อทำให้โลกแห่งปัญญาของศัตรูล่มสลายและหัวระเบิด ก็จะไม่ได้สังหารศัตรูในโลกความเป็นจริง อย่างมากที่สุดก็แค่ทำให้ศัตรูรู้สึกเวียนหัวอย่างหนักและสับสนไปสักพักใหญ่ ปัจจุบัน คนเดียวที่สามารถฆ่าคนด้วยการฉายภาพการล่มสลายของโลกแห่งปัญญาด้วยเวทภาพมายาให้กลายเป็นเรื่องจริงก็คือ ‘ราชาแห่งฝันร้าย’

มีเพียงเงื่อนไขเดียวที่นักเวทจะฟื้นคืนชีวิตหลังจากโลกแห่งปัญญาล่มสลาย ก็คือโลกแห่งปัญญานั้นจะต้องไม่ถูกทำลายอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อนักเวทเตรียมสภาพจิตใจไว้แล้วจะมากหรือน้อยก็ตาม หรือได้รับผลกระทบจากผลการศึกษาที่หักล้างความเชื่อโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เงื่อนไขก็คือโลกแห่งปัญญานั้นเสียหายแบบใดระหว่างการถูกปิดผนึกและถูกทำลาย ในกรณีนี้ นักเวทจะมีโอกาสย้ายวิญญาณไปที่อื่นก่อนที่หัวจะระเบิด และการโจมตีจะลบล้างด้วยการระเบิดของหัว แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีเครื่องรางกักพลังหรือมีวิธีคืนชีพแบบอื่นๆ นี่ก็หมายถึงการล่มสลายโดยสมบูรณ์แบบของโลกแห่งปัญญา

“ใครทำเขา?! ลูเซียน อีวานส์?” คริสตัลตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “มันต้องเป็นลูเซียน อีวานส์! เขาฆ่าท่านลอเร็นเพื่อหยุดการทดลอง!”

เขารีบวิ่งไปที่โต๊ะทดลอง เหยียบย่ำไปบนเนื้อเยื่อสมองและเลือด

มานูเอลและไดอะน่าต่างอยู่ในภาวะตกใจสุดขีดและเศร้าโศกจนไม่ทันรู้ตัวว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับคริสตัล พวกเขาตาลอยมองคริสตัลหยิบบันทึกการทดลองขึ้นมาอ่าน และตาลอยมองเขาจ้องมองวงเวทด้วยดวงตาเบิกโพลง

“ของปลอม! มันต้องปลอม!” คริสตัลเสียสติ เขาเปิดวงเวทและเริ่มการตรวจสอบข้อมูลชุดสุดท้าย

ปลอม… มานูเอลสับสน หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น มานูเอลร่ายเวทพยายามจะหยุดคริสตัล

“หยุดก่อน!” เขาตะโกนออกมา

ก่อนที่เสียงของเขาจะเงียบลงไปในอากาศ หยดเลือดและเนื้อเยื่อสมองอุ่นๆ ก็กระเด็นมาโดนหน้าเขา กลิ่นเลือดตีเข้าจมูกของเขาเต็มที่

“อ๊าาา!!!” ไดอะน่า นักเวทระดับห้า กรีดร้องราวกับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยผู้น่าสงสาร

ร่างไร้ศีรษะของคริสตัลร่วงกองลงกับพื้นเสียงดังสนั่น

“อีกคนแล้ว…” มานูเอลไม่รู้จะตอบสนองต่อภาพตรงหน้าอย่างไร เขาคิดไปถึงขั้นว่าเขาคงต้องได้รับคำแนะนำจากนักจิตวิทยา

รายการวิทยุยอดนิยมอันดับห้าของช่อง ‘ความจริงของโลก’ มีชื่อรายการว่า ‘อาหารหล่อเลี้ยงวิญญาณ’ ซึ่งออกแบบมาเพื่อดูแลสุขภาพจิตของนักเวท ขณะเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รายกการวิทยุอันดับหนึ่งก็คือ ‘หนึ่งสัปดาห์ในอัลลิน’

มานูเอลบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง เขาพอจะเดาได้และยอมรับผลแล้ว เขาเดินไปที่โต๊ะทดลองและหยิบบันทึกที่เปื้อนเลือดและเนื้อเยื่อสมองขึ้นมา

มานูเอลใช้เวทมนตร์ทำให้บันทึกสะอาดอีกครั้ง ขณะพยายามเต็มที่ที่จะไม่อาเจียนออกมา แล้วเขาก็อ่านบันทึกอย่างตั้งใจแล้วก็ถอนหายใจยาวออกมา

“ถ้าอย่างนั้น… สมมติฐานก็ถูกต้องสินะ?” หลังจากเขาฟื้นคืนสติมาได้บางส่วนในที่สุด ไดอะน่าก็ถามขึ้นด้วยความระทมทุกข์

มานูเอลพยักหน้า ไม่รู้ว่าจะตอบสนองต่อผลอย่างไร “ใช่ มันพิสูจน์สมมติฐานควอนตัมของแสงโดยพื้นฐาน”

เขาน่าจะรู้สึกได้รับแรงกระต้นจากผลการทดลอง เนื่องจากความพยายามทั้งหมดที่ค่อยๆ เปลี่ยนความเชื่อในช่วงสามปีที่ผ่านมาก็เห็นผลและเขาก็จะสามารถเลื่อนขึ้นเป็นนักเวทระดับแปดภายในห้าปี อย่างไรก็ตาม ศพไร้ศีรษะทั้งสองร่างที่กองกับพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดและสมองก็ทำให้หัวใจของเขาหดหู่

“นี่คงเป็นบทความสุดท้ายของท่านลอเร็น… เราควรเผยแพร่เพื่อเขาไหม?” ไดอะน่าที่ตกอยู่ในภวังค์ความเศร้าไม่อาจคิดอะไรให้สมเหตุสมผลอีกต่อไป นางจึงถามคำถามนี้ขึ้นมา

มานูเอลพยักหน้า “เราจะเผยแพร่ แต่เราจะบอกว่าผลการทดลองของอาจารย์พิสูจน์สมมติฐานนี้และเขายอมรับมันได้ ความตายของเขาเป็นอุบัติเหตุอันโชคร้าย เราต้องปกป้องชื่อเสียงของเขา เพราะท่านบรูคเองก็ทำการทดลองเดียวกัน เราไม่อาจปิดบังเรื่องนี้จากผู้คนได้…”

“แล้วท่านบรูคเป็นอย่างไรบ้าง? เขาจะเป็นอะไรไหม?” ไดอะน่าถามด้วยความหวาดหวั่น

นางไม่ได้ถามว่าจะมีจอมเวทกี่คนที่จะเชื่อจริงๆ ว่าลอเร็นเสียชีวิตในอุบัติเหตุ

มานูเอลก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง “เราต้องกลับไปที่อัลลินทันที และส่งรายงานการทดลองให้ท่าน หวังว่าท่านคงยังไม่ได้เริ่มการทดลอง หากท่านบรูคเป็นอะไรขึ้นมาอีกคน… นี่จะกลายเป็นหายนะ…”

“แล้วเรา… เพื่ออาจารย์… ลูเซียน อีวานส์…?” ไดอะน่าพูดฟังไม่ได้ศัพท์

มานูเอลรู้ว่าไดอะน่าพยายามจะบอกอะไร เขายิ้มอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะ “ถ้าคริสตัลยังไม่ตาย เขาคงพยายามหาทางแก้แค้น แต่เขาก็เป็นคนที่ได้รับการเอาใจใส่จากอาจารย์มากที่สุด ข้าเกลียดลูเซียน อีวานส์ สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พูดตรงๆ แล้ว ข้าไม่คิดว่าเป็นความผิดของเขา เขาไม่ได้ออกแบบและไม่ได้ทำการทดลองด้วย บางทีในอนาคต ข้าอาจโต้แย้งทฤษฎีหรือข้อเสนอของเขา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไปแก้แค้นเขาโดยตรง”

สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือมานูเอลเปลี่ยนแนวความคิดและได้เตือนอาจารย์ของเขาแล้ว

ไดอะน่าพยักหน้า นางก็คิดเหมือนกันกับมานูเอล แต่นางก็มีความกังวลอยู่ในใจของนางว่า

ตอนนี้ ลูเซียน อีวานส์ เป็นจอมเวทระดับหกและนักเวทระดับหก ว่ากันว่าเขามีค่าความน่าเชื่อถืออาร์คานาเกือบเก้าพันคะแนน เนื่องจากการใช้คะแนนอ้างอิง ดังนั้น เขาก็จะเลื่อนขั้นถึงระดับเจ็ดภายในระยะเวลาไม่ถึงสองปี นอกจากนี้ ผู้ที่คอยหนุนหลังลูเซียน อีวานส์ ล้วนเป็นนักเวทอาวุโสเป็นอย่างต่ำ ซึ่งรวมถึงศิษย์ร่วมสำนักทั้งธอมป์สันและโคล และยังมีเจ้าแห่งวายุ! ไม่มีทางที่จอมเวทระดับสี่และนักเวทระดับห้าเช่นนางจะหาทางแก้แค้นเขาได้

เมื่อได้รู้เรื่องว่าลอเร็นสิ้นใจแล้ว ลูเซียนกำลังจิบชาดำดื่มด่ำยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิที่มีใบไม้แห้ง

เมื่อสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา ลูเซียนก็ค่อนๆ หันไปแล้วก็เห็นสปรินต์เปิดประตูห้องทดลองเดินเข้ามา

“อรุณสวัสดิ์ สปรินต์ มาเช้าจังนะ” ลูเซียนยิ้ม

สปรินต์สะดุ้ง ในฐานะนักเวทระดับสอง เขาไม่รู้สึกเลยว่าอาจารย์ของเขาอยู่ที่นี่ หรือเป็นเพราะท่านอีวานส์พัฒนาขึ้นอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?

“ช่วงนี้ ข้ามาแต่เช้าขอรับ… มีงานต้องทำในห้องทดลอง” สปรินต์ตอบอย่างจริงจัง ตอนนี้ ลูเซียนเป็นเพียงคนเดียวที่เขารู้สึกกลัว เนื่องจากเขายังไม่เคยพบเจ้าแห่งวายุมาก่อน

ลูเซียนพยักหน้าเบาๆ และเดินถอยออกมาจากหน้าต่างพร้อมกับถ้วยน้ำชาในมือ “ความสำเร็จของเจโรมทำให้เจ้ามีแรงกระตุ้นสินะ? ดีแล้ว ดีที่เจ้าใช้ความทะนงตัวในเรื่องแบบนี้”

สปรินต์ไม่อยากจะยอมรับ แต่กลับกัน เขามองไปรอบๆ และเห็นกองกระดาษหนัง “ท่านขอรับ ท่านจะยื่นบทความอีกหรือขอรับ?”

“แค่เรื่องเดียว ข้าจะรออีกสักสองสามวัน” ลูเซียนพูดด้วยอารมณ์สงบ

“ทำไมล่ะขอรับ? วารสารอาร์คานาฉบับใหม่กำลังจะออกแล้วนี่ขอรับ” สปรินต์ถาม เขาเชื่อว่าบทความเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน เนื่องจากเขาเห็นว่าอาจารย์ของเขาทำงานหนักเพียงไหนในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

ลูเซียนส่ายศีรษะแล้วก็ยิ้มออกมา “อีกสองสามวัน”

ก่อนที่สปรินต์จะพูดอะไรต่อ ประตูห้องทดลองก็เปิดออกอีกครั้ง เหล่าลูกศิษย์ทั้งแอนนิค ไฮดี้ แคทรินา เลย์เรีย และเชลีย์ก็เดินเข้ามา และทุกคนต่างประหลาดใจที่เห็นอาจารย์ของพวกเขาอยู่กับสปรินต์

ลูเซียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ในฐานะอาจารย์ เขาก็มีความสุขที่เห็นลูกศิษย์ของเขาทำงานหนัก

ผ่านมาสามปี เชลีย์ได้กลายเป็นนักเวทจริงๆ เมื่อปีที่แล้ว และลูกศิษย์ที่เหลือก็เลื่อนขั้นขึ้นระดับสองกันหมด ในกลุ่มลูกศิษย์ แอนนิคเป็นคนที่ก้าวหน้าที่สุด เขาใกล้จะขึ้นชั้นกลาง การติดตามทฤษฎีอาร์คานาล่าสุดเป็นประโยชน์กับพวกเขามาก

ณ เกาะสุริยคติ จอมเวทซึ่งรวมถึงเบลครวมตัวกันในห้องโถงเพื่อฟังรายการความจริงของโลก พวกเขากำลังสนุกกับการอภิปรายกันไปมาระหว่างฟังรายการ

วันนี้น่าจะเป็นวันวางแผงของวารสารอาร์คานาฉบับล่าสุดและวารสารอื่นๆ รายการวิทยุของช่อง ‘สอดส่องเวทมนตร์’ ซึ่งออกอากาศเวลาเก้านาฬิกา กำลังจะนำเสนอบทความสำคัญบนวารสารต่างๆ

รายการวิทยุนี้ไม่ได้มีความหมายต่อนักเวทในอัลลินและเรนทาโตมากมาย อย่างไรก็ตาม สำหรับพวกเขาที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ พวกเขาก็ปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่ได้รับข้อมูลล่าสุดโดยตรง

นักเวทบนเกาะสุริยคติล้วนเป็นผู้ติดตามรายการวิทยุรายการนี้อย่างใกล้ชิด บนเกาะต่างๆ ไม่นานหลังจากวารสารอาร์คานาและวารสารอื่นๆ ส่งมาถึงเกาะ วารสารฉบับใหม่ก็วางแผงในนครอัลลินเรียบร้อยแล้ว รายการนี้ช่วยพวกเขาคัดสรรบทความที่สำคัญที่สุด และช่วยประหยัดเวลาได้มาก

“ยินดีต้อนรับสู่รายการสอดส่องเวทมนตร์ ข้าสหายคนเดิมของพวกท่าน อีเกิล”

เสียงที่อ่อนโยนและหนาดังออกมาจากวิทยุ “ตอนนี้ข้ามีวารสารฉบับล่าสุดสิบฉบับ ข้าจะเริ่มจากอาร์คานาฉบับเดือนนี้ ฉบับที่ทุกคนเฝ้ารอมาแสนนาน ข้ารู้ว่า เราทุกคนรวมทั้งข้าต่างเฝ้ารอผลการทดลองของท่านบรูคกับท่านลอเร็น วารสารอาร์คานาฉบับนี้เดือนจะบอกคำตอบอะไรกับเรา?”

เบลคกำหมัดแน่นเงียบๆ

จอมเวทคนอื่นๆ ต่างกังวลและตื่นเต้นอย่างมาก วันนี้อาจเป็นวันที่มีการหักล้างสมมติฐานควอนตัมแสงและป้องกันทฤษฎีคลื่นของแสง

“เอาล่ะ… ข้าเห็นบทความสองชิ้น บทความหนึ่งจากท่านบรูคและอีกบทความหนึ่งจากท่านลอเร็น เรามาดูกันที่บทความของท่านบรูคก่อน”

ความเงียบงันทรมานหัวใจของจอมเวทที่กำลังฟังอยู่

ไม่กี่วินาทีต่อมา อีเกิลก็เริ่มอ่านออกมา แต่ด้วยน้ำเสียงที่ลังเลเล็กน้อย “…ข้าทำการทดลองเพื่อโต้แย้งสมมติฐานควอนตัมแสง อย่างไรก็ตาม ผลและภาพการทดลองตรงกับคุณสมบัติของควอนตัมแสง ข้าต้องยอมรับว่าความพยายามของข้าที่จะปฏิเสธสมมติฐานกลับกลายเป็นหลักฐานที่สนับสนุนสมมติฐานนี้ในตอนนี้”

เบลคแหงนหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกมึนศีรษะ เนื่องจากเขากำลังฟังวิทยุ แทนที่จะได้อ่านวารสารด้วยตัวเอง และที่สำคัญที่สุด โลกแห่งปัญญาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วิญญาณของเขาจึงได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รอยเลือดไหลสองรอยออกมาจากจมูกของเขา

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาแหงนหน้าขึ้น เนื้อข้นๆ และเนื้อเยื่อก็กระจายเต็มบนหน้า เปรอะเปื้อนตามดวงตาและปากของเขา กลิ่นเลือดตีขึ้นสมองของเขา และเขาก็เห็นเพียงสีแดงและสีขาวข้นๆ

“…หัวโซเนียระเบิด…!”

เขาได้ยินเสียงที่ตะลึงงันและหวาดกลัวของจอมเวทคนอื่นๆ

มีบางอย่างตกกระทบพื้น

หัว? เบลคใช้เวลาเป็นวินาทีกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ แล้วท้องไส้ของเขาก็เริ่มปั่นป่วน เขารีบหันออกไปด้านข้าง และอาเจียนออกมาอย่างหนัก

ขณะที่เบลคกำลังอาเจียนออกมา เขาก็รู้สึกโชคดีอยู่บ้าง โชคดีที่มีเพียงคนเดียวที่หัวระเบิดหลังจากได้ฟังผล