ตอนที่ 336 ชีวิตวัยเกษียณ / ตอนที่ 337 พยายามขึ้นอีก

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 336 ชีวิตวัยเกษียณ

 

 

           เจียงมู่เฉินพักอยู่บนเกาะเล็กๆ ของฟู่เหยี่ยนเสมือนปลาได้น้ำ มีคนรับใช้ปรนนิบัติทุกวัน ยังมีใบหน้าใบนั้นของฟู่เหยี่ยนที่ยังไม่ถือว่าน่าเบื่อหน่ายจนเกินไป

 

 

           ชีวิตก็ถือว่าสุขกายสบายใจดี

 

 

           ทุกวันตกปลาย้ายเก้าอี้นอนพิงอยู่ด้านข้าง เข้าสู่ชีวิตวัยเกษียณล่วงหน้าเบื้องต้นไปแล้ว

 

 

           แน่นอนว่าถ้าไม่มีฟู่เหยี่ยนนั่งอยู่ด้านข้าง เขาอาจจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ได้สักหน่อย

 

 

           ดวงตาคู่นี้ของฟู่เหยี่ยนจ้องเจียงมู่เฉินเขม็ง ราวกับไม่คิดปล่อยโอกาสสังเกตการณ์เจียงมู่เฉินไปแม้เพียงนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินทำอะไรไม่ได้ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเนื้อที่วางอยู่บนเขียงไม่มีผิด

 

 

           มีคนมาสังเกตมองไปมา

 

 

           เขายกมือขึ้นมากุมหน้าผาก มองฟู่เหยี่ยนอย่างจริงจัง “พี่ใหญ่ อย่ามองฉันแบบนี้ตลอดจะได้ไหม”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบคางไปมา ส่ายหัวอย่างช้าๆ ตามสบาย

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากกระอักเลือด พักอยู่บนเกาะเล็กๆ นี้มาไม่กี่วัน ก็ถูกฟู่เหยี่ยนมองแบบนี้ไม่กี่วันนั้นเช่นกัน

 

 

           วันสองวันยังพอไหว แต่ถ้าเอาแต่มองแบบนี้ต่อไป เขารับไม่ไหวจริงๆ นะ

 

 

           ‘เขามีความชอบถูกคนอื่นจ้องเขม็งตั้งแต่เช้าจรดเย็นเป็นความชอบพิเศษหรือไง’

 

 

           “หารือกันสักหน่อยสิ” เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงอ่อน

 

 

           ฟู่เหยี่ยนหัวเราะเล็กน้อย “ไม่หารือ”

 

 

           เจียงมู่เฉินขบกราม ‘ปฏิเสธก็ปฏิเสธสิ ปฏิเสธกันน่าดูขนาดนี้เอาแบบไหนก็เชิญเลย’

 

 

           เขาเห็นว่าพูดว่าอะไรฟู่เหยี่ยนกระทบไม่ได้ จึงเอนพิงบนเก้าอี้ ปรือตานอนไปทั้งอย่างนี้เสียเลย

 

 

           ถึงอย่างไรหลายวันมานี้ที่ตกปลามา เขาก็ตกปลาไม่ได้สักครั้งอยู่แล้ว

 

 

           เจียงมู่เฉินนอนหลับอยู่ข้างๆ ฟู่เหยี่ยนก็มองอยู่อย่างนั้น สายตาของเขามองไล่ตั้งแต่ทรงผมพาดผ่านคิ้วลงมาที่ดวงตา…

 

 

           ไม่พลาดเลยแม้สักจุด…

 

 

           เจียงมู่เฉินที่ปรือตานอนรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ค่อยๆ ขยับตัวขึ้นมานั่ง เขาถลึงตามองฟู่เหยี่ยน “ถ้านายยังมองฉันอีก ฉันไม่จบกับนายง่ายๆ แน่”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบจมูก ค่อยๆ เบนสายตาไปอย่างช้าๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาอยู่สองวินาที เห็นเขาไม่หันหน้ากลับมา ถึงได้วางใจหลับตาลงนอนต่อ

 

 

           เขาเพิ่งจะเอนตัวลงนอนไม่ถึงสองนาที ฟู่เหยี่ยนก็หันกลับมามองเขาอีกครั้ง

 

 

           สายตาร้อนแรงแผดเผา จับจ้องมาที่ใบหน้าของเจียงมู่เฉินอีกครั้ง เขาขมวดคิ้วสักพัก ยื่นมือไปคว้าหมวกที่อยู่ด้านข้างมาปิดปังหน้า

 

 

           ทำแบบนี้ กั้นสายตาของฟู่เหยี่ยน ทั้งเนื้อทั้งตัวก็สบายขึ้นมาหน่อย

 

 

           เจียงมู่เฉินค่อยๆ ยืดเหยียดขาทั้งสองข้าง สีหน้าผ่อนคลายสบายๆ

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นเขาเป็นแบบนี้ก็ไม่ร้อนใจ เขาเองเลียบแบบท่าทางของเจียงมู่เฉินนอนอยู่ข้างๆ

 

 

           คันเบ็ดตกปลาที่อยู่ข้างตัวทั้งสองคนถูกปลาสะบัดจนส่ายไปมา แต่ไม่มีใครสักคนยกขึ้นมา เหมือนโดนคนมองข้ามไปอย่างไรอย่างนั้น วางอยู่ข้างตัว

 

 

           ทั้งสองคนนอนหลับกันไปหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ฟู่เหยี่ยนหยิบหมวกออกไป

 

 

           เขาเห็นท้องฟ้าที่มืดลงเล็กน้อย กะพริบตาปริบๆ

 

 

           พักอยู่บนเกาะนี้ช่วงเวลาหนึ่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ในหัวว่างเปล่า ไม่ต้องคิดอะไรสักอย่าง

 

 

           ความรู้สึกแบบนี้ สบายมากทีเดียว

 

 

           เมื่อคุ้นชินกับชีวิตที่สนุกครึกครื้น ไปไหนก็มีแต่คนห้อมล้อม

 

 

           จู่ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ในที่เงียบสงบขนาดนี้ ทำกิจกรรมเมื่อยามพระอาทิตย์ขึ้น หยุดพักเมื่อยามพระอาทิตย์ตก

 

 

           สุขกายสบายใจกว่าที่จินตนาการไว้มากๆ

 

 

           เขายืดเหยียดแขนขา ค่อยๆ ยันกายขึ้นมานั่งบนเก้าอี้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนไม่อยู่ข้างกายเขาแล้ว เจียงมู่เฉินไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร ตามปกติที่แล้วมาเวลานี้ ฟู่เหยี่ยนควรจะอยู่ในห้องหนังสือ

 

 

           เขายื่นมือเก็บคันเบ็ดตกปลา ค่อยๆ เดินกลับเข้าไป

 

 

           จนกระทั่งเดินเข้ามาในปราสาท เจียงมู่เฉินวางคันเบ็ดตกปลาลงด้านข้าง เตรียมจะขึ้นชั้นบนไป ก็ได้ยินเสียงโช้งเช้งดังมาจากในห้องครัว

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย อะไรกัน นี่ฟู่เหยี่ยนเปลี่ยนไปเป็นพ่อครัวหัวป่าก์แล้วเหรอ

 

 

           ‘แค่ทำอาหารต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เชียว?’

 

 

 

 

      ตอนที่ 337 พยายามขึ้นอีก

 

 

           เขาเดินเข้าไปเงียบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้ ในห้องครัวมีพ่อครัวคนไหนกันที่เป็นตัวการก่อเสียงทั้งหมดนี้ เป็นฟู่เหยี่ยนที่เขาคิดว่าอยู่ในห้องหนังสือนี่เอง

 

 

           เจียงมู่เฉินรู้สึกสนใจ เอนพิงอยู่ด้านข้าง สนุกกับท่าทางห้าวหาญในการทำอาหารของฟู่เหยี่ยน

 

 

           ‘ฟู่เหยี่ยนเจ้าหมอนี่ปกติก็ดูเหมือนทำอะไรเป็นหมด อะไรก็ดูไม่ยากเมื่อถึงมือเขา’

 

 

           คิดไม่ถึงว่าเวลาทำอาหารมาทีจะดูลำบากลำบนขนาดนี้

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกำลังต่อสู้กับปลาตัวหนึ่ง ปลากำลังดิ้นไปมาอยู่บนเคาท์เตอร์บาร์ ฟู่เหยี่ยนจัดการอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด

 

 

           ทำได้เพียงถือมีดตามฟันอยู่ด้านหลัง

 

 

           เจียงมู่เฉินโดนฉากเข่นฆ่านี้ทำให้ตกใจจนขมับอดจะกระตุกขึ้นมาไม่ได้

 

 

           รู้สึกว่า ท่าทางนี้ของฟู่เหยี่ยน เหมือนกำลังฆ่าปลาตรงไหนเหรอ

 

 

           ‘นี่มันท่าทางอยากฆ่าคนชัดๆ’

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แล้วเอ่ยขึ้น “นี่นายกำลังเตรียมทำอะไร”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนถือมีดหันกลับมา ก็เห็นเจียงมู่เฉินที่ยืนอยู่หน้าประตู เจียงมู่เฉินมองดูมีดที่ส่ายไปส่ายมาต่อหน้าตัวเอง จึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

           “พี่ชาย ถึงแม้ว่าท่าทางทำอาหารนายจะดูน่าเกลียดไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกลับว่าจะถือมีดมาฆ่าปิดปากฉันหรอกใช่ไหม”

 

 

           พอฟู่เหยี่ยนเห็นมีดตัวเองจ่อหน้าเจียงมู่เฉินอยู่ ก็รีบชักมีดกลับไปทันที

 

 

           “ขอโทษด้วย เมื่อกี้ทำคุณตกใจกลัว”

 

 

           เจียงมู่เฉินเอ่ยอย่างเฉยเมย “คุณชายน้อยเจียงอย่างฉันไม่ได้ขี้ขลาดขนาดนี้สักหน่อย ไม่ถึงขนาดกับตกใจกลัวหรอก”

 

 

           เขาพูดจบก็ก้มหน้ามองปลาที่กระโดดโลดเต้นอยู่ที่พื้น ก็เลิกคิ้วเงียบๆ “คือว่า…นี่นายกำลังเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนค่อนข้างเลิ่กลั่ก ยกมือขึ้นมาลูบจมูก “ไม่มีอะไร เดี๋ยวผมก็จัดการได้แล้ว”

 

 

           เจียงมู่เฉินถอนหายใจ “ทำอาหารไม่เป็นก็ไม่ได้น่าขายหน้าอะไรนักหรอก”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองยังควรจะต้องพยายามได้มากกว่านี้

 

 

           “ไม่งั้น ให้ผมลองอีกทีดูไหม” เขาเอ่ยเสนอเสียงอ่อน

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นปลาตัวนั้นที่เข้าใกล้ความตายอยู่รอมร่อ ก็กุมขมับอย่างจนใจ “นายอย่าลองอีกเลย ไว้ชีวิตมันเถอะ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนเห็นปลาตัวนั้น หัวก็ชักจะชาๆ เดิมทีเขายังอยากจะเคี้ยวซุปปลาให้เจียงมู่เฉิน ผลสุดท้ายใครจะไปรู้ว่าปลาตัวนี้มันจะไม่เชื่อฟังกันขนาดนี้ จับไว้ไม่อยู่เลยสักนิด

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางลังเลของเขา ก็เดินเข้าไป หยิบกะละมังเอาปลาใส่ข้างในแล้วเอาออกไปปล่อยข้างนอก

 

 

           แทนที่จะให้เขากับปลาได้รับการทรมานกันทั้งคู่ สู้ปล่อยลงน้ำเสียก็สิ้นเรื่องเสียยังจะดีกว่า

 

 

           เจียงมู่เฉินกลับมา ฟู่เหยี่ยนยังยืนทำหน้างุนงงอยู่ในครัว

 

 

           เขากวาดสายตามองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง “ทำอาหารสิ จะมางงอะไร”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนกะพริบตาปริบๆ อย่างซื่อๆ “เมื่อกี้ผมอยากจะพูดกับคุณ ว่าปลาตัวนี้เป็นอาหารเย็นเดียวที่พวกเรามี”

 

 

           เจียงมู่เฉินอยากร้องไห้ พี่ใหญ่ ปลาเขาก็ปล่อยไปแล้ว ตอนนี้จะพูดอีกยังจะมีความหมายอยู่เหรอ

 

 

           ……

 

 

           ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนทำการตาใหญ่จ้องตาเล็กนั่งอยู่บนโซฟา

 

 

           เจียงมู่เฉินหิวแล้วจริงๆ เขามองฟู่เหยี่ยน แล้วเอ่ยถาม “ปราสาทนี้ของนายใหญ่ออกขนาดนี้ จะไม่มีอะไรที่กินได้เลยเหรอ”

 

 

           ฟู่เหยี่ยนลูบจมูกปอยๆ “เมื่อก่อนก็มีคนมาทำอาหารให้โดยเฉพาะอยู่” ปรากฏว่าเมื่อเขาอยากจะแสดงฝีมือการทำอาหารต่อหน้าเจียงมู่เฉิน จึงไล่คนออกไปหมดทันที

 

 

           เจียงมู่เฉินมองบนใส่เงียบๆ

 

 

           เมื่อก่อนยังรู้สึกว่าฟู่เหยี่ยนเจ้าหมอนี่ดูเก่งกาจสามารถ

 

 

           ‘เก่งกาจสามารถกับผีน่ะสิ ก็แค่เจ้าทึ่มในชีวิตจริง’

 

 

           ‘ไล่คนออกไปก็ออกไปสิ แต่ให้พวกเขาเหลือเสบียงอาหารที่ไม่ต้องใช้ไฟทำสักนิดไม่ได้เหรอ’

 

 

           เขายืนขึ้นมาเงียบๆ เขาไม่เชื่อหรอกว่าห้องครัวใหญ่ขนาดนี้จะไม่อะไรจริงๆ

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินกลับไปยังห้องครัวอีกครั้ง พลิกหาไปทุกหนแห่ง ในตู้เย็นสองชั้น นอกจากน้ำแร่ที่สั่งทำเอง ก็ไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

           เจียงมู่เฉินใกล้จะสติแตกแล้ว เขาหิวจริงๆ นี่

 

 

           เขาปิดประตูตู้เย็น แล้วไปเปิดตู้อยู่ด้านข้าง ในที่สุดก็หาเจอบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชามหนึ่งที่มุมหนึ่งของตู้เจอ

 

 

           เจียงมู่เฉินตาลุกวาว รีบหยิบบะหมี่ออกมาทันที