Dual Cultivation บทที่ 405: เข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้าย

 

หลังจากผ่านการฝึกวิชาคู่ไปหลายชั่วโมง ซุนจิงจิงก็หลับไปบนเตียงในขณะที่ซูหยางนั่งฝึกฝนปราณหยินที่เขาได้รับมา

 

เวลาผ่านไป โหลวหลานจีก็เคาะประตูห้องและกล่าวว่า “ซูหยางการต่อสู้รอบถัดไปของพวกเราได้ประกาศออกมาแล้ว”

 

ซูหยางหยุดการฝึกและเปิดประตู

 

“เราจะสู้กับใครในวันพรุ่งนี้” เขาถาม

 

“หอผู้พิทักษ์”

 

“มิเคยได้ยินมาก่อน” ซูหยางยักไหล่ไม่ใส่ใจ

 

“พวกเขาเป็นสำนักระดับสูงอีกที่หนึ่ง แต่ด้วยซุนจิงจิงและฟางซีหลานอยู่ฝ่ายเรา เรามิจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา ในเมื่อมีศิษย์เพียงแค่คนเดียวที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ แต่ว่าสิ่งที่ตามมาหลังจากที่เราเอาชนะหอผู้พิทักษ์ดูเหมือนจะเป็นปัญหา เพราะว่าพวกเรามีโอกาสสูงที่จะต้องสู้กับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ก็สำนักเมฆม่วง”

 

“แม้ว่าฟางซีหลานอาจจะมีความได้เปรียบทางด้านพลังการฝึกปรือ  แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เป็นนักสู้ยอดฝีมือมีประสบการณ์มากกว่าศิษย์ของพวกเรานับไม่ถ้วนในด้านของการต่อสู้ และประสบการณ์นั้นอาจจะสามารถลบล้างความได้เปรียบในการแข่งขันครั้งนี้ของพวกเราซึ่งก็คือพลังการฝึกปรือที่เหนือกว่าได้”

 

“สำหรับสำนักเมฆม่วง… ข้ามิจำเป็นต้องกล่าวถึง…”

 

ซูหยางพยักหน้า “จริง แม้ว่าพวกเราอาจจะมีความได้เปรียบในด้านพลังการฝึกปรือ แต่แท้จริงแล้วศิษย์ของพวกเราก็มิมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก แต่ถึงแม้ว่าความแตกต่างนั้นอาจจักทำให้สิ่งต่างๆยากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ข้าก็มีความมั่นใจในเหล่าศิษย์ของพวกเราพอสมควร”

 

แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดกับโหลวหลานจี นอกจากการฝึกวิชาร่วมแล้วซูหยางก็ได้ฝึกเหล่าศิษย์ด้วยวิชากระบี่เช่นกัน กระทั่งยังประลองกับพวกเธอเป็นบางครั้ง

 

และแม้ว่านั่นอาจจะไม่เพียงพอในการทำให้พวกเธอเป็นจอมกระบี่ผู้ช่ำชอง แต่แน่นอนว่าพวกเธอย่อมใกล้เคียงกับศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ในด้านของสำนึกกระบี่ บางทีอาจจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตามซูหยางก็เคยเป็นจอมกระบี่ที่มีชื่อเสียงมาก่อนที่เขาจะกลายเป็นนักเลงผู้หญิงที่มีชื่อเสียง ซึ่งเขาได้ฝึกกับกระบี่นับร้อยชั่วโมงในเวลานั้น ประสบการณ์ด้านกระบี่ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธหรือจอมกระบี่ในสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะสามารถเข้าใจได้ อย่าว่าจะเปรียบเทียบ

 

“ว่าแต่ซุนจิงจิงสบายดีหรือไม่ เธอดูแปลกไปอยู่บ้างหลังจากการพูดคุยกับพ่อแม่ของเธอ” โหลวหลานจีพลันถาม

 

ซูหยางกวาดสายตาไปที่ซุนจิงจิงซึ่งหลับอย่างเป็นสุขและกล่าวว่า “อย่างที่เห็น เธอสบายดี”

 

เมื่อเห็นใบหน้าหลับเป็นสุขของซุนจิงจิง โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

 

“อีกอย่างหนึ่ง..อย่าคิดว่าข้าลืมเรื่องที่เจ้าสัญญาว่าจะสอนข้าวิชานั้น”

 

โหลวหลานจีกล่าว อ้างถึงวิชาที่เขาสอนเหล่าศิษย์ก่อนการต่อสู้กับนิกายดอกบัวเพลิง

 

“ดูเหมือนว่าข้าจะมีเวลาว่างอยู่บ้างในตอนนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

“เช่นนั้นเจ้ารออะไรอยู่ ไปร่วมฝึกวิชากันเถอะ” โหลวหลานขีกล่าวก่อนที่จะลากซูหยางไปอีกห้องหนึ่ง ที่ซึ่งพวกเขาจะได้ร่วมฝึกด้วยกันจนถึงวันถัดไป

 

เช้าวันต่อมานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็มุ่งหน้าไปยังโคลีเซียมดังเช่นปกติก่อนที่จะรอถึงตาตนเองขึ้นไปบนเวที

 

สำนักเมฆม่วงเป็นกลุ่มแรกที่ต่อสู้บนเวทีในวันนั้น และดังเช่นที่ทุกคนคาดคิด หงอวี้เอ๋อร์ก็เอาชนะคู่ต่อสู้ทั้งหมดของพวกเขาโดยไม่มีเหงื่อแม้สักหยดบนตัวเธอ

 

หลังจากการแข่งขันของสำนักเมฆม่วงแล้ว ก็เป็นผาทะเลใหญ่กับหอแสงสัมพันธ์ ซึ่งเป็นหอแสงสัมพันธ์ที่เป็นผู้ชนะ

 

นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นคู่ถัดไปและเป็นคู่สุดท้ายของวันนั้น

 

ศิษย์หลินนาขึ้นไปเป็นคนแรกและเอาชนะคู่ต่อสู้สองคนก่อนที่จะลงจากเวที

 

ศิษย์คนต่อไปของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ต่อสู้เป็นเด็กสาวชื่อว่า เล่ยถิงจี ซึ่งสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้หนึ่งคนก่อนที่จะลงจากเวที

 

ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เอาชนะหอผู้พิทักษ์ เข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้ายของการแข่งขันระดับภาค

 

“จบการแข่งขันในวันนี้ อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเราทั้งหมดจะไปจากสถานที่นี้ ขอให้ข้ากล่าวคำพูดอะไรสักเล็กน้อย” ซื่อตงกล่าวกับทุกคน

 

“อันดับแรกและสำคัญที่สุด ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ซึ่งสามารถเข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้ายได้ ความสำเร็จของพวกท่านล้วนเป็นผลลัพธ์จากการสอนของผู้อาวุโสสำนักรวมไปถึงความพยายามของสำนักและศิษย์ร่วมมือกัน”

 

“ตอนนี้ในเมื่อพวกเราจะเข้าสู่รอบสี่สำนักสุดท้ายในวันพรุ่งนี้ สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ แชมป์ของการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งที่แล้วก็จะเข้าร่วมกับพวกเราในที่สุด”

 

“โออออออ”

 

ฝูงชนพากันโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นเมื่อชื่อของสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกกล่าวถึง ในเมื่อสถานะของพวกเขานั้นเกือบหาใครเทียบได้ภายในทวีปตะวันออก

 

สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีมานานนับตั้งแต่ผู้คนจำความได้ และพวกเขาก็ครอบครองการแข่งขันระดับภูมิภาคด้วยตำแหน่งอันดับหนึ่งมาโดยตลอดนับตั้งแต่การแข่งขันครั้งแรก

 

ยิ่งไปกว่านั้น สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจทางการทหารของตระกูลซีด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการสนับสนุนจากตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคนี้ ไม่ถือว่าเป็นการโอ้อวดหากจะกล่าวว่าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงที่สองรองจากตระกูลซี

 

“ท่านเจ้าซีจักประกาศการแข่งขันสำหรับวันพรุ่งนี้” ซื่อตงกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เจ้าซีก็กล่าวว่า “สำนักเมฆม่วงและหอแสงสัมพันธ์จักต่อสู้กันเป็นคู่แรก นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จักต่อสู้กันหลังจากนั้น”

 

เมื่อผู้ชมได้ยินการจับคู่ พวกเขาก็เริ่มคาดเดาว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะสามารถเอาชนะสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ ขณะที่สำนักเมฆม่วงนั้นมั่นใจได้เลยว่าต้องเอาชนะการแข่งขันได้แน่นอน

 

“ถ้ามิใช่เพราะว่าซุนจิงจิงและฟางซีหลาน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมมิสามารถเผชิญหน้ากับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้”

 

“อย่างไรก็ตามในเมื่อพวกเขามีอัจฉริยะสองคนนี้ พวกเขาอาจจะมีโอกาสชนะการแข่งขันนี้จริงๆก็เป็นไปได้”

 

“ข้าต้องการพนันว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเอาชนะได้ในการแข่งขันวันพรุ่งนี้”

 

“เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาอาจจะมีพลังการฝึกปรือที่น่าประทับใจ ผู้คนสามารถบอกได้จากการแข่งขันก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาขาดประสบการณ์ อีกอย่างสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ล้วนฝึกฝนมาอย่างหนักโดยจอมกระบี่ที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ความแตกต่างนั้นเห็นได้ชัด และสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะกดดันพวกเขา”

 

ไม่เหมือนก่อนหน้านั้น ผู้คนไม่มีใครที่จะประมาทนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอีกต่อไป อย่างที่กล่าวไปแล้วนั้นผู้คนส่วนใหญ่ยังคงไม่เชื่อว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ สำนักอันดับหนึ่งในโลก ในสายตาของคนหลายๆคน