Dual Cultivation บทที่ 406: เจ้าพวกไร้สาระ

 

“ยินดีต้อนรับกลับ ท่านเจ้าสำนักจง”

 

ที่แห่งหนึ่งในเมืองหิมะร่วง ศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธ์และผู้อาวุโสสำนักพากันต้อนรับจงเฉาหวงซึ่งเพิ่งกลับจากภารกิจบางอย่างที่เจ้าซีมอบหมายไว้

 

“ข้าขอโทษที่กลับมาช้ากว่าที่พูดเพราะว่าข้าวิ่งไปชนเข้ากับสถานการณ์ไม่คาดคิดบางอย่าง” ผู้อาวุโสจงกล่าวกับพวกเขา

 

“มิมีความจำเป็นต้องขอโทษพวกเรา ท่านเจ้าสำนัก อย่างไรก็ตามท่านติดธุระก็เพราะคำสั่งของท่านเจ้า”

 

หนึ่งในผู้อาวุโสสำนักเทน้ำชาให้ขณะที่เขานั่งลง

 

“อืม…” ผู้อาวุโสจงพยักหน้าหลังจากที่ลิ้มรสชาดี

 

“มิว่าอย่างไร การแข่งขันรอบแรกสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคของเราควรจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ใครเป็นคู่แข่งของพวกเรา นั่นควรจะประกาศเรียบร้อยแล้วตอนนี้”

 

“อือ…” 

 

ผู้อาวุโสสำนักและศิษย์ต่างพากันสบตากันอย่างเป็นกังวล

 

“มีอะไรรึ” ผู้อาวุโสจงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

 

เพราะว่าผู้อาวุโสจงอยู่ไกลตลอดเวลามานี้ เขาจึงไม่รู้สถานการณ์กับหงอวี้เอ๋อร์และฟางซีหลาน

 

“คู่ต่อสู้ของพวกเราในวันพรุ่งนี้เป็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…” หนึ่งในผู้อาวุโสสำนักกล่าว

 

“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” ผู้อาวุโสจงเกือบพ่นน้ำชาในปากออกมาหลังจากที่ได้ยินชื่อนี้

 

“พวกนั้นสามารถอยู่ได้นานถึงปานนี้จริงรึ ไม่น่าเชื่อ” ผู้อาวุโสจงกล่าวด้วยความประหลาดใจ

 

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านอาจจะยังมิรู้ว่านับตั้งแต่ท่านไปตลอดระยะเวลานี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้มีพวกสัตว์ประหลาดสองคนในเขตปฐพีวิญญาณ หนึ่งในนั้นอยู่ที่ระดับเจ็ด… ในขณะที่เรามีเพียงสาม…. และผู้ที่มีระดับสูงสุดอยู่ที่ระดับสาม…”

 

“อะไรนะ ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณรึ” ผู้อาวุโสจงดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก

 

“นั่นเป็นหญิงสาวชื่อฟางซีหลาน อย่างไรก็ตามนั่นมิใช่ส่วนที่เลวร้ายที่สุด ถึงแม้ว่าเราอาจจะล้มเธอและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยลงได้ เรายังต้องเจอกับสำนักเมฆม่วง…”

 

“สำนักเมฆม่วงก็สามารถเข้ามาได้ลึกปานนี้เช่นเดียวกันรึ แม้ว่าพวกเขาจะดีกว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของตำแหน่ง พวกเขาก็มิควรจะมีความสามารถเข้ามาได้ถึงรอบสี่คนสุดท้าย เกิดอะไรขึ้นกับสำนักระดับสูงรึ รึว่าพวกเขาล้วนตัดสินใจมิเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคในปีนี้” ผู้อาวุโสจงประหลาดใจอย่างที่สุดกับสถานการณ์ในการแข่งขันระดับภูมิภาค ในเมื่อเขาไม่คาดคิดว่าสำนักระดับสูงทั้งหมดจะพ่ายแพ้ต่อสำนักระดับต่ำเหล่านี้

 

@อ่านตอนล่าสุดที่ my-novel.co หรือ www.thai-novel.com

 

“ไม่ใช่ พวกเขาพ่ายแพ้ถูกจัดการอย่างยุติธรรม ตามจริงแล้วหนึ่งในพวกเขายังถูกถอนตำแหน่ง สำนักเมฆม่วงได้รับตำแหน่งระดับสูงจากท่านเจ้าเมื่อไม่นานมานี้”

 

“…”

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็กล่าวว่า “ใครกัน ใครเป็นอัจฉริยะจากสำนักเมฆม่วง”

 

“เธอชื่อหงอวี้เอ๋อร์ และเธออยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ…”

 

“เขตอำพรวิญญาณรึ” ผู้อาวุโสจงไอน้ำชาในปากออกมาและยืนขึ้นด้วยความตระหนก

 

“พวกเจ้าต้องคิดว่าข้าถูกหลอกได้ง่ายๆในตอนนี้แน่เพราะว่าข้าเริ่มแก่ลงใช่ไหม ถ้าจะมีใครในเขตอัมพรวิญญาณในการแข่งขันจริงๆ นั่นคงมีมีความหมายในการเป็นเจ้าภาพ” ผู้อาวุโสจงตะโกนอย่างโกรธเคือง คิดว่าคนพวกนี้เล่นตลกกับเขา

 

ถ้าเขตอัมพรวิญญาณเป็นสิ่งที่บรรลุได้ง่ายๆจากคนรุ่นหลัง ทั้งชีวิตของเขาย่อมไร้ความหมาย

 

ผู้อาวุโสสำนักต่างพากันสบสายตากันอีกครั้ง

 

“แต่ท่านเจ้าสำนัก พวกเรามิได้พูดตลก” พวกเขากล่าวกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจัง “หงอวี้เอ๋อร์นั้นอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณจริงๆ และเธอก็ยังอายุมิถึงยี่สิบปี พวกเราเห็นด้วยตาของพวกเราเอง”

 

“พอแล้ว” ผู้อาวุโสจงตัดบทอย่างรวดเร็ว “ข้าจักดูด้วยตนเองว่าเธอใช่ระดับนั้นจริงๆหรือไม่ในวันพรุ่งนี้ บอกข้าเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้ ใครเป็นนักสู้ของพวกเขาบ้างและฟางซีหลานเป็นอย่างไรบ้าง”

 

แม้ว่านั่นเกือบจะเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะมีคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณระดับเจ็ด แต่ก็น่าเชื่อมากกว่ารุ่นเยาว์ที่เข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณก่อนอายุยี่สิบปี อย่าว่าแต่พวกนั้นยังมีซูหยางเช่นกัน ซึ่งเป็นจอมกระบี่ที่สุดหยั่งคาดกระทั่งในสายตาของพวกเขา

 

“นอกจากพวกเขาจะมีนักสู้สองคนนั้น คนที่เหลือล้วนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณยกเว้นคนหนึ่งที่อยู่เพียงเขตคัมภีร์วิญญาณ คนแรกที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณชื่อซุนจิงจิง และเธออยู่ที่ระดับสอง ส่วนสำหรับฟางซีหลานเธอเผยให้เห็นว่าอยู่ที่ระดับเจ็ดเมื่อสองวันก่อน”

 

ผู้อาวุโสสำนักเริ่มอธิบาย

 

“จากที่กล่าวมาแล้วนั้น ข้าได้ตรวจสอบดูความสามารถของพวกเธอในสองสามวันมานี้และตระหนักว่านอกจากจะมีพลังการฝึกปรือที่ตราตรึงใจแล้ว วิชาและประสบการณ์ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมนั้นยังขาดอยู่”

 

“ดังนั้น เราจึงมิต้องกังวลเกี่ยวกับศิษย์ของพวกเขาที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ สำหรับผู้ที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณสองคนนั้น พวกเราเพียงสามารถลากถ่วงการต่อสู้และทำให้พลังปราณของพวกเธอหมดไปมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก่อนที่จะส่งศิษย์ของพวกเราในเขตปฐพีวิญญาณออกไป”

 

“แต่…”

 

“แต่อะไรรึ” ผู้อาวุโสจงเลิกคิ้ว

 

“ศิษย์ที่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ… เขาเป็นคนประหลาดคนหนึ่ง”

 

“ประหลาดรึ ยังไง” เขาถาม

 

“ถึงแม้ว่าเขาจะอยู่เพียงในเขตคัมภีร์วิญญาณ เขาสามารถที่จะเอาชนะอัจฉริยะในเขตปฐพีวิญญาณจากนิกายดอกบัวเพลิงได้ และมิมีใครในหมู่พวกเราที่สามารถมองเห็นความสามารถที่แท้จริงของเขาได้ โดยพื้นฐานแล้วเขาลึกล้ำสุดหยั่ง”

 

“อะไรกัน คนที่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณเอาชนะคนที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณรึ นี่เป็นเรื่องไร้สาระอะไรกันที่พวกเจ้าพ่นออกมาอีก นี่ยิ่งไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าคนรุ่นเยาว์เข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณเสียอีก” ผู้อาวุโสจงเย้ยพวกเขา

 

“นั่นเป็นเรื่องจริง ท่านเจ้าสำนัก พวกเราทั้งหมดอยู่ที่นั่นล้วนได้เห็น บางทีเขาอาจจะฝึกวิชาปีศาจบางอย่าง แต่พลังของเขานั้นลึกล้ำลึกลับมากเกินไป” ผู้อาวุโสสำนักแสดงสีหน้าขื่นขม เมื่อพวกเขาล้วนตระหนักว่ามันฟังดูไร้สาระเพียงใดที่พวกเขาพูดออกมาในตอนนี้

 

“ถ้าข้าจำมิผิด ชายหนุ่มคนนั้นชื่อว่า ซูหยาง…”

 

“อะไรนะ!!!!!!!”

 

ผู้อาวุโสจงตะโกนเสียงดังจนกระทั่งทุกคนที่นั่นรู้สึกแก้วหูสั่นสะเทือน

 

“ป-ป-ป-เป็นไปไม่ได้ มิมีทางที่เขาจะสามารถเข้าสู่การแข่งขันได้!!” เขาตะโกนออกมาอีก

 

ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าซูหยางอายุมากกว่าเขา

 

“แค่นี้แหละ เดี๋ยวข้ากลับมา” ผู้อาวุโสจงกล่าวก่อนที่จะพุ่งไปยังทางออก

 

“เอ๋ ท่านจะไปไหน ท่านเจ้าสำนัก”

 

“ไปพูดกับท่านเจ้า”

 

“ทำไมกัน….”

 

ผู้อาวุโสสำนักพึมพัมด้วยเสียงงุนงงเมื่อร่างของผู้อาวุโสจงหายไปจากที่แห่งนั้