ตอนที่ 25-1 ไม่จำเป็นต้องออมมือ เป็นตายไม่ว่ากัน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่อี้เซวียนกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยกยิ้มเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นก็ลองดู!” 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนเดือดดาลถึงขีดสุด โบกมือ สั่งองครักษ์ประจำจวนด้วยความโมโหว่า “ไปจับตัวพวกเขามาให้ข้า!” 

 

 

องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีรับคำสั่ง และเดินหันหน้าเข้าไปทางองครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีโดยพร้อมเพรียง 

 

 

ผู้คนที่มามุงดูต่างก็กลัวว่าโดนลูกหลง จึงถอยหลังออกไปหลายสิบก้าว แม้จะถอยออกไปไกล แต่ก็ยังชะโงกหน้ามองเข้ามาดู 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ออกคำสั่งกับองครักษ์ประจำจวนสองร้อยนายของตนเองด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “อย่าอ่อนข้อ เป็นตายไม่คำนึง!” 

 

 

องรักษ์ประจำจวนอ๋องฉีขานรับเสียงดังฟังชัดอย่างพร้อมเพรียง แล้วก็ออกไปรอรับมือ 

 

 

กัวเฟยกับหวงฝู่อี้อยู่ข้างซ้ายและขวา ทั้งสองคนขนาบข้างเมิ่งเชี่ยนโยว 

 

 

องรักษ์ประจำจวนของทั้งสองฝ่ายกำลังจะเข้าปะทะกันอยู่เดี๋ยวนั้นเอง 

 

 

อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่วิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนของพ่อบ้านจากจวนเสนาบดีพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “หยุด!”  

 

 

องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีหยุดชะงัก 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนโกรธจนสมองเลอะเลือน ตวาดพ่อบ้านขึ้นว่า “เรื่องของข้าเจ้าก็เข้ามายุ่ง เบื่อชีวิตแล้วหรืออย่างไร” 

 

 

พ่อบ้านเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผาก เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เขาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “คุณชายโปรดไตร่ตรองดูให้ดีก่อนขอรับ วันนี้มีผู้คนมากเกินไป หากสู้กันจริงๆ จะต้องทำให้เหล่าบรรดากองกำลังทหารต้องแตกตื่น ถึงตอนนั้นเรื่องจะไปถึงพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ จวนเสนาบดีของเราก็เจรจาต่อรองผลประโยชน์อันใดมิได้ และถ้าหากนายท่านทราบว่าท่านก่อเรื่องวุ่นวายให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เพราะเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะต้องลงโทษท่านอย่างแน่นอน” 

 

 

คำพูดของพ่อบ้านเป็นดั่งน้ำเย็นจัดถังหนึ่ง ที่สาดใส่หัวใจของเฮ่อเหลี่ยนจากอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นอยู่ได้ดับมอดลงไป สติสัมปชัญญะก็เริ่มกลับคืนมา 

 

 

เมื่อเห็นว่าเขายอมเชื่อฟังคำพูดของตน พ่อบ้านจึงสั่งให้องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีถอยกลับมาทั้งหมด 

 

 

คุณชายใหญ่ก็ไม่ได้คัดค้าน 

 

 

เมื่อเห็นพวกเขาถอยไปแล้ว องครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีก็ถอยกลับไปอยู่ข้างหลังหวงฝู่อี้เซวียนเช่นเดิม 

 

 

พ่อบ้านโค้งคำนับให้กับหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อโปรดระงับโทสะก่อนขอรับ หากมีเรื่องอันใดก็เข้าไปเจรจาในจวนเถิด” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนปรายตามองเฮ่อเหลี่ยนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องเข้าจวนหรอก เอาเงินค่าปิ่นทองคืนมาพวกเราก็จะกลับ” 

 

 

ถึงแม้เฮ่อเหลี่ยนจะมีสติกลับคืนมาแล้ว แต่พอนึกถึงว่าตัวเองต้องถูกตบหน้าถึงสองฉาดต่อหน้าผู้คนมากมายก็รู้สึกสงบจิตสงบใจได้ยาก เมื่อได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดเช่นนั้น จึงกล่าวด้วยความเคียดแค้นขึ้นว่า “อยากได้เงินหรือ ไม่มีแม้แต่ตำลึงเดียว หากเจ้าเก่งกล้าก็เข้ามาแย่งเอาถึงในจวน ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะกล้าหรือไม่” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเหยียดยิ้ม “ดูท่าทางจวนเสนาบดีเจ้าคิดจะชักดาบเช่นนั้นหรือ” 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนกล่าวอย่างอวดดีว่า “ชักดาบแล้วอย่างไร เจ้าจะทำอะไรข้า” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ว่าอะไรต่อ ทว่าหันกลับไปถามหวงฝู่อี้ว่า “อี้เอ๋อร์ หากชาวบ้านติดค้างหนี้แล้วไม่ชำระ ต้องทำเช่นไร” 

 

 

หวงฝู่อี้ตอบกลับด้วยเสียงที่ดังเป็นพิเศษ “เรียนซื่อจื่อ ตัดมือหรือไม่ก็ตัดขาขอรับ” 

 

 

พ่อบ้านเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดผวา 

 

 

คนที่อยู่บริเวณรอบๆ ต่างก็อ้าปากค้าง 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนก็เบิกตากว้าง กล่าวเสียงดังขึ้นว่า “เจ้ากล้าหรือ” 

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นโดยไร้ความรู้สึก “กัวเฟย ต้องให้ข้าสอนไหมว่าต้องทำอย่างไร” 

 

 

กล่าวจบ เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้าไปหาเฮ่อเหลี่ยนอย่างรวดเร็ว 

 

 

พ่อบ้านรู้สึกเพียงแค่ว่าเห็นเงาคนปรากฏวาบออกมา กัวเฟยที่อยู่ข้างกายเมิ่งเชี่ยนโยวก็หายไปแล้ว จึงร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “ปกป้องคุณชายใหญ่” 

 

 

หลังจากที่เขาพูดจบก็มีเงาร่างสองร่างโผล่ออกมาขวางกัวเฟยไว้อย่างรวดเร็ว 

 

 

กัวเฟยถูกคนที่มาใหม่บีบให้ถอย มีดเล็กๆ ที่อยู่ในมือที่กำลังวางพาดอยู่บนแขนของเฮ่อเหลี่ยนก็พลาดตัดได้เพียงแต่เสื้อผ้าที่แขนจนขาด  

 

 

เฮ่อเหลี่ยนตกใจจนเหงื่อเย็นชื้น พร้อมกับถอยหลังไปหลายก้าว 

 

 

ทั้งสามคนต่อสู้พัวพันเข้าด้วยกัน 

 

 

พ่อบ้านหันกลับมาทันควัน เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เฮ่อเหลี่ยน แล้วถามขึ้นอย่างตื่นตระหนกว่า “คุณชายใหญ่ ท่านเป็นอะไรไหมขอรับ”  

 

 

เฮ่อเหลี่ยนมองรอยที่ขาดบนแขนเสื้อในใจยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ สั่นศีรษะด้วยอาการที่ยังหวาดผวาอยู่ พร้อมทั้งกล่าวตอบขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไร เสื้อผ้าขาดเท่านั้น” 

 

 

เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของพ่อบ้านก็เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เม็ดเหงื่อที่อยู่บนหน้าผากก็หยดลงมา แล้วก็สั่งงานคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “เข้ามา มาประคองคุณชายใหญ่เข้าไปข้างใน” 

 

 

คนรับใช้ขานรับ แล้วเดินเข้ามาประคองเฮ่อเหลี่ยนที่กำลังขาสั่นไปทั้งสองข้าง 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนผลักพวกเขาออกฉับพลัน กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “หวงฝู่อี้เซวียน เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้า” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา มองสามคนนั้นที่กำลังต่อสู้กันอย่างใจจดใจจ่อ 

 

 

หัวหน้าหน่วยองครักษ์ลับของจวนเสนาบดีทั้งฉีอีกับมั่วอีตลอดจนยอดฝีมือขององครักษ์ลับต่างก็สูญเสียไปจากน้ำมือขององครักษ์เมื่อตอนสี่ปีที่ผ่านมา องครักษ์ลับในเวลานี้ต่างก็ได้รับการฝึกฝนขึ้นมาใหม่ วิทยายุทธ์อ่อนด้อยกว่าพวกเขามาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามเมื่อเผชิญหน้ากับกัวเฟย ในตอนที่เฮ่อเหลี่ยนกล่าวจบเดี๋ยวนั้นเอง หนึ่งในนั้นก็ถูกกัวเฟยตัดแขนขาดไปข้างหนึ่ง จนลงไปนอนโอกครวญอยู่ไม่หยุด ส่วนองครักษ์ลับอีกคนมองเหม่อไปเพียงพริบตาเดียว ก็ถูกกัวเฟยใช้มีดแทงร่าง จากนั้นโน้มตัวลงไปข้างหน้า แล้วนอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย 

 

 

ผู้คนที่มามุงดูต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก 

 

 

กัวเฟยไม่หยุดแต่เพียงเท่านั้น เขากระโดดลอยไปทางเฮ่อเหลี่ยนอีกครั้ง คราวนี้ไม่รอให้พ่อบ้านออกคำสั่ง เงาหลายร่างก็พุ่งออกมาจากข้างในประตู เข้ามาประทะเข้ากับเขา 

 

 

“กัวเฟย กลับมา!” เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้น 

 

 

ร่างของกัวเฟยไม่ได้แตะพื้น เขาม้วนตัวกลับกลางอากาศ แล้วกระโดดลอยกลับมาอยู่ข้างกายหวงฝู่อี้เซวียน คุกเข่าลงบนพื้นข้างหนึ่งพร้อมกับกล่าวขออภัย “ผู้น้อยทำงานไม่ดี ไม่สามารถทำภารกิจที่ซื่อจื่อมอบหมายให้สำเร็จได้ ขอให้ซื่อจื่อได้โปรดลงโทษ!” 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนโมโหจนแทบจมูกเบี้ยว ใช้เพียงไม่กี่กระบวนท่าก็สามารถจัดการกับองครักษ์ลับที่ตนฝึกฝนมาอย่างยากลำบากลงไปได้ แต่กลับยังต้องคุกเข่าขอรับโทษ นี่มันจงใจตบหน้าเขาชัดๆ  

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนแอบกู่ร้องชื่นชมกัวเฟย แต่ก็กลั้นยิ้มเอาไว้ กล่าวด้วยใบหน้านิ่งเฉยว่า “อืม กลับไปเจ้าค่อยไปรับโทษด้วยตัวเอง” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ไหวส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมา กล่าวโดยไม่ไว้หน้าว่า “ซื่อจื่อ ถึงอย่างไรคนเขาก็เป็นถึงคุณชายใหญ่ของจวนเสนาบดี เจ้าตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้จะดีหรือ” 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนอดทนจนถึงขีดสุดแล้ว ศีรษะร้อนระอุขึ้น คำพูดเมื่อกี้นี้ของพ่อบ้านโยนทิ้งไว้ในสมองส่วนท้ายแล้ว ตะโกนสั่งองครักษ์ประจำจวนว่า “จับพวกมันมาให้ข้า จับได้คนหนึ่งจะได้รางวัลหนึ่งพันตำลึง จับได้สองคนจะได้รางวัลหมื่นตำลึง!” 

 

 

องครักษ์ประจำจวนทุกนายต่างก็ขานรับ 

 

 

พ่อบ้านรีบเข้ามายับยั้งไว้ทันที “คุณชายใหญ่ขอรับ ทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด อีกไม่นานนายท่านก็จะกลับมาแล้ว เรื่องทุกอย่างไว้รอให้นายท่านกลับมาก่อนเถิดค่อยจัดการ” 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนที่โมโหจนเสียสติมีหรือจะยอมฟัง ดวงตาราวกับว่ามีประกายไฟลุกโชน ตวาดพ่อบ้านเสียงดังลั่นว่า “ตรงนี้ไม่มีที่ให้เจ้าพูด ไสหัวออกไป” 

 

 

พ่อบ้านอยู่ที่จวนเสนาบดีมาหลายสิบปีแล้ว ท่านเสนาบดีค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ทุกคนในจวนตั้งแต่เจ้านายตลอดจนบ่าวไพร่ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวเช่นนี้กับเขามาก่อน ตกตะลึงไปในทันที มองดูเฮ่อเหลี่ยนอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง 

 

 

ในสมองของเฮ่อเหลี่ยนคิดแต่ว่าจะจับตัวเมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียน จะลงโทษทั้งสองคนอย่างทารุณที่สุด ไม่ได้สังเกตเห็นความรู้สึกของเขา ตวาดใส่องครักษ์ประจำจวนเสียงดังลั่น “ยังไม่รีบเข้าไปอีก!” 

 

 

เหล่าบรรดาองครักษ์ประจำจวนเสนาบดีต่างก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ต่างก็พุ่งเข้าไปทันที 

 

 

องครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีก็ออกไปรอรับมือโดยไม่ต้องให้หวงฝู่อี้เซวียนต้องสั่ง 

 

 

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ปะทะกัน 

 

 

เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็ฝึกการป้องกันดูแลความปลอดภัยภายในจวน ฝีมือจึงไม่ได้อ่อนด้อยเท่าไหร่นัก เวลาเพียงไม่นานไม่อาจทราบได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ ต่างฝ่ายต่างก็มีการบาดเจ็บไปตามๆ กัน 

 

 

หลังจากที่พ่อบ้านได้สติจากการตะลึง แล้วเห็นเหตุการณ์อันสับสนวุ่นวายเช่นนี้ จึงกวักมือเรียกคนรับใช้คนหนึ่งมาอย่างลนลาน สั่งเขาอย่างร้อนใจว่า “เจ้ารีบไปรอรับนายท่านที่กลางทาง บอกให้ท่านรีบกลับมาเร็วๆ” 

 

 

คนรับใช้รับคำสั่งแล้วเดินอ้อมกลุ่มคนที่กำลังปะทะกันอยู่ด้วยความระมัดระวัง แล้ววิ่งออกไปทิศทางวังหลวงอย่างรวดเร็ว 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะคอยควบคุมสติไปหมดแล้ว จนไม่สนใจภาพลักษณ์อันอ่อนโยนที่พยายามอย่างหนักเพื่อรักษาไว้ในยามปกติเลย ส่งเสียงแผดร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งว่า “จัดการมัน ฆ่ามันให้ตาย ใครที่สังหารมันได้จะได้รับรางวัลอย่างงาม” 

 

 

เหล่าบรรดาองครักษ์ประจำจวนต่างก็ต่อสู้กันจนวุ่นวาย มีผู้ใดบ้างที่ได้ยินเสียงของเขา 

 

 

พ่อบ้านมองออกไกลๆ ด้วยความกระวนกระวายใจ คาดหวังให้ท่านเสนาบดีรีบกลับมาโดยเร็ว