ตอนที่ 25-2 ไม่จำเป็นต้องออมมือ เป็นตายไม่ว่ากัน

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ท่านเสนาบดีนั่งรถม้ากลับมาแล้ว ได้ยินเสียงรบราฆ่าฟันกันจากที่ไกลๆ ยังเกิดความรู้สึกแปลกใจขึ้น เป็นใครกันที่ช่างบังอาจเช่นนี้ กล้าลงมือใช้อาวุธในที่ที่มีผู้คนมากมายรวมถึงขุนนางอีกไม่น้อย 

 

 

ขณะที่ยังใคร่ครวญอยู่ คนรับใช้ที่มาส่งข่าวก็วิ่งมาหยุดอยู่หน้ารถม้าด้วยอาการเหนื่อยหอบ โดยไม่รอให้รถม้าหยุดลง เขาก็พูดขึ้นอย่างลนลานว่า “นายท่านขอรับ จวนของเรากับจวนอ๋องฉีต่อสู้กันแล้วขอรับ พ่อบ้านบอกให้ข้ามาส่งข่าวให้ท่าน” 

 

 

ท่านเสนาบดีตกตะลึง สั่งสารถีว่า “เร็ว เร็วขึ้นอีก” 

 

 

สารถีเงื้อแส้ฟาดหลังม้า รถม้าก็ตรงไปยังจวนเสนาบ่ดีอย่างรวดเร็ว 

 

 

คนรับใช้ก็รีบวิ่งตามหลังไป 

 

 

ที่หน้าประตูจวนเสนาบ่ดีต่อสู้กันจนวุ่นวาย คนที่มุงดูอยู่รอบๆ จากที่ไกลๆ โอบล้อมขวางทางอยู่ สารถีจึงตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “ท่านเสนาบดีกลับจวนแล้ว หลีกทางไปให้หมด!” 

 

 

คนที่มุงดูอยู่ต่างก็รีบแหวกเป็นทางออกให้ทันควัน 

 

 

รถม้าขี่ผ่านกลุ่มคนที่มุงดูเข้าไป เสนาบดีเลิกผ้าม่านขึ้น แล้วตะโกนเสียงดุดันอย่างเกรี้ยวกราดกับองครักษ์ประจำจวนขึ้นว่า “พวกเจ้าหยุดประเดี๋ยวนี้!” 

 

 

องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีเมื่อได้ยินเสียงนี้ดังขึ้นต่างก็ชะงักไปตามๆ กัน 

 

 

องครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีก็ไม่ได้ลงมือต่อ หยุดต่อสู้ไปพร้อมกัน 

 

 

แต่ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มิได้ถอยร่นออกไป ยังคงถือกระบี่ประจัญบานกันอยู่  

 

 

เฮ่อเหลี่ยนราวกับเห็นเทพมาโปรดอย่างไรอย่างนั้น รีบวิ่งไปหาที่รถม้าทันที พร้อมกับกล่าวฟ้องท่านเสนาบดีที่เพิ่งจะลงจากรถม้าว่า “ท่านพ่อขอรับ ซื่อจื่ออ๋องฉีรังแกกันเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่พาองครักษ์ประจำจวนมาหาเรื่องถึงหน้าประตูเท่านั้น อีกทั้งยังสั่งให้คนมาตัดแขนลูกด้วย” พูดจบก็หันหลังให้เสนาบดีเห็นรอยเสื้อที่ขาด 

 

 

สามารถเป็นถึงตำแหน่งเสนาบดีได้จึงมิใช่คนธรรมดา ถึงแม้ภายในใจของเฮ่อจางจะรู้สึกโกรธ แต่ภายนอกกลับกล่าวถามหวงฝู่อี้เซวียนด้วยท่าทางอบอุ่นอ่อนโยน “ซื่อจื่อ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อธิบายให้เฒ่าชราฟังได้หรือไม่” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนคำนับเขา กล่าวขึ้นง่ายๆ อย่างอ่อนน้อมทว่าไม่อ่อนข้อว่า “วันนี้ข้าพาโยวเอ๋อร์ไปร้านเครื่องประดับ เพื่อที่จะซื้อปิ่นทองให้นางเพื่อเป็นสิ่งของแทนใจ แต่บังเอิญว่าฮูหยินใหญ่ก็อยู่ที่ร้านเครื่องประดับร้านนั้นเช่นกัน แล้วก็ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด จู่ๆ ก็ด่าประจานโยวเอ๋อร์แล้วก็ลงมือทำลายปิ่นทองอันนั้น เห็นแก่นางที่เป็นสะใภ้ใหญ่ของจวนเสนาบ่ดี พวกเราจึงระงับโทสะนี้ไว้ เพียงแต่ต้องการให้นางชดใช้เงินค่าปิ่นทองเพียงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่านางกลับหยาบคายไร้เหตุผล ข้าทนไม่ได้จึงต้องพาองครักษ์ประจำจวนมาสองร้อยนายเพื่อมาทวงคืน แต่ก็ไม่คาดคิดว่าคุณชายใหญ่จะไม่แยกแยะผิดถูกแล้วออกมาด่าประจานโยวเอ๋อร์ ข้ามีโทสะจึงสั่งให้คนไปลงมือกับคุณชายใหญ่” 

 

 

เฮ่อจางหันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยว ดวงตาที่สามารถทำให้คนรู้สึกหนาวสั่นได้มองนางอย่างประเมินคราหนึ่ง 

 

 

ท่าทางของเมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้เขาพิจารณาดูอย่างไม่สะทกสะท้าน 

 

 

เฮ่อจางหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วเบนสายตากลับมาถามเฮ่อเหลี่ยนว่า “ที่ซื่อจื่อกล่าวเป็นความจริงหรือไม่” 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนรีบแก้ต่างเป็นพัลวัน “ท่านพ่อ มิใช่เช่นนั้น เป็นเขาที่สั่งให้คนโยนฮูหยินของข้าออกมาจากร้านนั้น ทำเช่นนั้นมันเหมือนกับการตบหน้าจวนเสนาบดีของเราต่อของหน้าสายตาทุกคู่ ลูกโมโหจึงด่าว่านางคนนี้ไปไม่กี่คำ เขาก็ไม่พอใจ แล้วสั่งให้คนมาหักแขนหักขาของลูก” 

 

 

โดยไม่รอให้เฮ่อจางสอบถาม หวงฝู่อี้เซวียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมว่า “วันนี้มีคนมามุงดูมากมาย คำพูดของเจ้าเมื่อครู่นี้พวกเขาต่างก็ได้ยินกันหมด พวกเจ้าต้องการเรียกคนมาถามหรือไม่ ถามว่าเจ้าพูดว่าอย่างไรกันแน่” 

 

 

เฮ่อเหลียนหลบสายตา ไม่กล้ากล่าวอะไรต่อ 

 

 

เฮ่อจางเห็นท่าทางของเขาก็รู้แล้วว่าเขากำลังพูดปดอยู่ จึงยกเท้าขึ้นเตะบุตรชายที่ไร้สมองคนนี้ไปหลายครั้ง 

 

 

สี่ปีก่อนอ๋องฉีให้คนนำศีรษะของคนคนหนึ่งมามอบให้ต่อหน้าเขา เพื่อที่จะเตือนพวกเขาว่าให้สำรวมอาการบ้าง อย่าได้คิดที่จะทำเรื่องที่เป็นผลเสียต่อซื่อจื่อเด็ดขาด 

 

 

ตอนนี้ทั้งคนทั้งเรื่องก็มาถึงที่นี่แล้ว เขาย้ำนักย้ำหนาว่าหากเขาไม่มีคำสั่งห้ามทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด รอโอกาสอันเหมาะสมพวกเขาค่อยลงมือจัดการหวงฝู่อี้เซวียนสองคนแม่ลูก แล้วให้หวงฝู่อวี้ขึ้นเป็นซื่อจื่อ ใครจะคิดว่าบุตรชายที่ไร้สมองคนนี้จะไปหาเรื่องเขาเข้าจนได้ หวงฝู่อี้เซวียนจะต้องรู้อะไรอยู่บ้างเป็นแน่ จึงได้เอากองกำลังมาทวงเงินคืนถึงมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่ยอมรามือไปง่ายๆ 

 

 

ระหว่างที่กำลังคิดทบทวนอยู่ในใจนั้น เฮ่อจางก็เสแสร้งแกล้งทำเป็นยิ้มออกมา กล่าวหลบเลี่ยงเรื่องที่สาหัสแล้วหันมาพูดเรื่องที่เบากว่าว่า “เรื่องของสตรีที่เห็นเครื่องประดับดีๆ อยู่ในมือของผู้อื่น จึงทำให้รู้สึกริษยาอย่างเลี่ยงไม่ได้ ขอให้ซื่อจื่อเห็นแก่หน้าของข้าอย่าสืบหาความเรื่องนี้ต่อเลย ปิ่นทองราคาเท่าใดข้าจะชดใช้ให้ก็แล้วกัน” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเห็นชอบ “ข้าก็ไม่อยากสืบหาความเรื่องนี้ต่อไปเช่นกัน ขอเพียงพวกท่านชดใช้เงินก็พอแล้ว…” 

 

 

เฮ่อจางถอนหายใจโล่งอก 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขึ้นอีกว่า “แต่ข้ามีเรื่องที่ไม่เข้าใจ โยวเอ๋อร์มาเมืองหลวงครั้งแรกไม่เคยมีปัญหากับพวกท่าน แต่คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่กลับด่าประจานนางครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดหรือ” 

 

 

เฮ่อจางจมอยู่กับความคิด นี่หวงฝู่อี้กำลังเตือนเขาอยู่ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไปเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นเขาทราบเป็นอย่างดี ที่วันนี้ขนกองกำลังมาก็เพื่อที่จะตักเตือน ถ้าขืนต่อไปพวกเขายังคิดสิ่งที่ไม่เหมาะสมแล้วล่ะก็ เกรงว่าเขาอาจจะพาองครักษ์ประจำจวนมาจัดการจวนเสนาบดีของเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง  

 

 

ถึงอย่างไรนั่นก็คือสุนัขจิ้งจอกเฒ่า หลังจากที่หัวเราะฮ่าๆ อำพรางขึ้นมา แล้วเฮ่อจางก็เบี่ยงประเด็นกล่าวว่า “เรื่องในวันนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด เฒ่าชราต้องขออภัยซื่อจื่อแทนพวกเขา เฒ่าชรารับประกันว่าต่อไปพวกเขาจะไม่กล้าทำเช่นนี้อีก” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดเขา ก็ปล่อยให้จบๆ ไป ท่าทีอ่อนลง “ท่านเป็นผู้อาวุโส อีกทั้งยังเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ในเมื่อท่านเอ่ยมาเช่นนี้ข้าก็จะไม่ซักไซ้เรื่องนี้ต่ออีก ขอเพียงท่านชดใช้ค่าปิ่นเงิน ข้าก็จะถอนกำลังออกไป” 

 

 

เฮ่อจางลอบสาปแช่งเขาอยู่ในใจนับร้อยนับพันครั้ง พร้อมกับคิดอย่างโกรธแค้นว่าในตอนที่ทำลายพวกเขาสองคนแม่ลูกลงได้จะต้องทรมานพวกเขาให้สาสมใจ  

 

 

เฮ่อจางพยายามทำให้ตัวเองสงบจิตสงบใจลง แล้วเผยรอยยิ้มแห่งความกรุณาออกมา แล้วกล่าวขึ้นอย่างเป็นมิตรว่า “เฒ่าชราขอบคุณซื่อจื่อที่ใจกว้าง ปิ่นทองราคาเท่าใด ข้าจะชดใช้คืนให้ท่านสองเท่า” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังถ่อมตนอยู่ กล่าวด้วยความเคารพว่า “ปิ่นทองนี้เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้โยวเอ๋อร์เป็นสิ่งงของแทนใจ เป็นของมีค่าที่ไม่สามารถตีราคาได้ ถ้าหากเป็นผู้อื่นทำพัง ข้าจะต้องให้เขาชดใช้จนสิ้นเนื้อประดาตัว จนต้องไปขอข้าวที่ข้างถนน แต่สำหรับท่านมิใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน ข้าไม่ต้องการสิ่งใดมาก ท่านเอาให้หนึ่งแสนตำลึงก็เพียงพอแล้ว” 

 

 

ตอนที่เขาพูดออกไปได้ครึ่งเดียว เฮ่อจางก็รู้สึกไม่ค่อยดี แล้วก็เป็นไปอย่างที่คิด เพราะประโยคสุดท้ายนั้นทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน หนึ่งแสนตำลึง เงินเดือนทั้งปีของเขาก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น 

 

 

เขายังไม่ได้กล่าวอะไร เสียงของเฮ่อเหลี่ยนก็ดังขึ้นอย่างฉุนเฉียวว่า “เจ้าอย่าทำเกินไปนัก ฮูหยินข้าบอกว่าตอนที่ซื้อปิ่นทองชิ้นนี้เจ้าจ่ายไปเพียงห้าพันตำลึงเท่านั้น เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่าห้าหมื่นตำลึง มาตอนนี้กลับกลายเป็นหนึ่งแสนตำลึง นี่เจ้าจงใจตั้งตัวเป็นศัตรูกับจวนเสนาบดีชัดๆ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยังมีสีหน้าคงเดิม กล่าวว่า “ฮูหยินใหญ่กล่าวไม่ผิด ตอนที่ซื่อปิ่นทองอันนี้มาจ่ายไปเพียงห้าพันตำลึงเท่านั้น แต่นั่นเป็นราคาจากร้านเครื่องประดับ แต่หลังจากที่ข้าซื้อมามอบให้โยวเอ๋อร์เป็นสิ่งของแทนใจ คุณค่ามันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว ห้าหมื่นตำลึงเป็นราคาของมัน ห้าแสนตำลึงก็เป็นราคาของมัน หรือแม้แต่หนึ่งล้านก็ยังเป็นของมันเช่นเดิม สรุปแล้วสำหรับข้ากับโยวเอ๋อร์ของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้ วันนี้ข้าเห็นแก่หน้าของท่านเสนาบดีถึงได้คิดราคากับพวกท่านหนึ่งแสนตำลึง หากเป็นผู้อื่นข้าจะไม่คิดราคาเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน” 

 

 

เฮ่อจางเป็นเสนาบดีมาหลายปี แต่ไหนแต่ไรมาเขาเองต้องเป็นคนที่คิดบัญชีกับผู้อื่น ไม่เคยมีครั้งใดที่ถูกคนคิดบัญชี พลันก็โมโหจนรู้สึกถึงความคาวที่อยู่ในลำคอ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงฝืนกลืนมันกลับลงไป น้ำเสียงที่ออกมามีความดุดันขึ้น “แค่เพียงพริบตาเดียวก็ทำให้ห้าพันตำลึงกลายเป็นหนึ่งแสนตำลึงไปได้ ซื่อจื่อจะไม่โลภไปหน่อยหรือ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มบางๆ “เดิมทีข้าต้องการแค่ห้าหมื่นตำลึงเท่านั้น แต่ว่าคุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ดื้อดึงไม่ยอมเอาให้ อีกทั้งยังสั่งให้คนทำร้ายองครักษ์ประจำจวนของข้า ท่านก็ทราบดีว่าในตอนนี้จวนของเรามีชายารองเป็นผู้ควบคุมบ้าน อัตคัดขัดสนเงินทองยิ่งนัก ข้าจึงจำเป็นต้องเก็บค่ารักษาองครักษ์ประจำจวนจากท่าน” 

 

 

ขู่กรรโชกชัดๆ 

 

 

ขู่กรรโชคกันอย่างเปิดเผย 

 

 

เฮ่อจางเกือบจะกระอักเลือดออกมา โมโหจนตัวสั่นเทิ้ม 

 

 

เฮ่อเหลี่ยนรีบเข้าไปพยุงเขา ร้องเรียกอย่างลนลานว่า “ท่านพ่อ” 

 

 

เฮ่อจางเอามือขึนมาปิดปากไม่ให้เขากล่าวอะไรขึ้นมาอีก ใบหน้าถมึงทึง ถามอย่างเดือดดาลว่า “ซื่อจื่อ เจ้าต้องการตัดขาดเช่นนี้จริงหรือ” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มน้อยๆ เช่นเดิม “ท่านเสนาบดีคิดว่าข้าทำเกินไปหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้าไปคุยกันต่อหน้าเสด็จลุงฮ่องเต้ไหม ให้พระองค์เป็นผู้พิจารณา ดูสิว่าที่ข้าต้องการหนึ่งแสนตำลึงมันมากเกินไปหรือไม่” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนอายุยังน้อย เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทุกแขนง มีความรู้ความสามารถ ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานเขายิ่งนัก ในตอนที่ไม่ได้ทำสิ่งใดมักจะเรียกให้เขาเข้าวังไปพูดคุย หากเรื่องนี้บานปลายไปจนถึงพระเนตรพระกรรณแล้วล่ะก็ จากท่าทางของฮ่องเต้ ไม่ต้องพูดถึงหนึ่งแสนตำลึงเลย แม้แต่ห้าแสนตำลึงฮ่องเต้ก็อาจจะเห็นด้วย ที่เขากล้าทำเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าตนนั้นไม่กล้าให้เรื่องบานปลายไปจนถึงฮ่องเต้ 

 

 

ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ควรให้ทราบไปถึงฮ่องเต้เด็ดขาด แต่ว่าต้องสูญเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ตั้งแสนตำลึง เฮ่อจางก็ไม่ยินยอม 

 

 

ไตร่ตรองดูสักครู่แล้วก็นึกอะไรขึ้นได้ เฮ่อจางจึงหันหน้าไปสั่งคนใช้ที่อยู่ข้างๆ ว่า “รีบไปเชิญท่านอ๋องมา บอกว่าข้ามีเรื่องเร่งด่วนจะปรึกษา” 

 

 

—————————-