คนรับใช้ขานรับคำสั่ง แล้วรีบออกวิ่งไปยังจวนอ๋องฉี แล้วบอกกับคนเฝ้าประตูอย่างกระหืดกระหอบว่า “รีบไปรายงานท่านอ๋อง บอกว่าท่านเสนาบดีของเรามีเรื่องด่วนเชิญท่านไปหาด้วย”

 

 

คนเฝ้าประตูไม่กล้าชักช้า รีบวิ่งเข้าไปในเรือนอย่างรีบร้อน แล้วก็รายงานอ๋องฉี

 

 

อ๋องฉีเพิ่งจะกลับมาจากการประชุมขุนนาง กำลังเตรียมพักผ่อน พอได้ยินคนรับใช้รายงานก็ขมวดคิ้วมุ่น เขาเพิ่งจะแยกจากเสนาบดีไปเดี๋ยวนี้เอง นี่สักพักก็ให้คนมาเชิญ ไม่รู้ว่ามีเรื่องอันใด

 

 

จัดแต่งเสื้อผ้าอาภรณ์เสร็จแล้ว อ๋องฉีกำลังจะออกประตูไป พ่อบ้านก็รีบวิ่งเข้ามารายงานเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนเรียกกองกำลังองครักษ์ประจำจวนไปสองร้อยนาย

 

 

อ๋องฉีขมวดคิ้วเป็นปมกว่าเดิม ถามว่า “เขาเอาองครักษ์ประจำจวนไปด้วยเรื่องอันใด?”

 

 

พ่อบ้าตอบโดยไม่ปิดบังว่า “บอกว่าจะไปทวงหนี้ที่จวนเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะ ส่วนเรื่องอื่นข้าน้อยมิทราบได้ แต่ว่าได้ยินคนสืบข่าวบอกว่า องครักษ์ประจำจวนของเราลงไม้ลงมือกับองครักษ์ประจำจวนเสนาบดีแล้ว มีผู้บาดเจ็บล้มตายไปทั้งสองฝ่ายพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อ๋องฉีเริ่มโกรธ “เหลวไหล! เขาพาองครักษ์ประจำจวนไปก่อเรื่องถึงจวนเสนาบดีอย่างอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ หาเรื่องไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ คงต้องถูกตำหนิแน่นอน นี่เขาไม่มีหัวคิดหรืออย่างไร?”

 

 

พ่อบ้านไม่กล้าตอบ

 

 

อ๋องฉีรีบเดินออกไปข้างนอก พลางเดินพลางสั่งงาน “ไปจูงม้ามา!”

 

 

หลังจากขานรับก็มีม้าจูงมาถึงหน้าประตูจวน

 

 

อ๋องฉีรับบังเ**ยน กระโดดขึ้นบนม้า แล้วฟาดให้ม้าพุ่งทะยานออกไปจนมาถึงจวนเสนาบดี เห็นองครักษ์ประจำจวนกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ ตวาดเสียงดัง “ยังไม่รีบถอยกันอีก!”

 

 

องครักษ์ประจำจวนอ๋องฉีได้ยินแล้วก็รีบประคองเพื่อนของตนออกมา แล้วถอยมาอยู่ข้างหลังของหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

องครักษ์ประจำจวนเสนาบดีก็ถอยออกไปเช่นกัน เหลือเพียงองครักษ์ลับสองคนที่นอนอยู่ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

 

 

อ๋องฉีกวาดสายตามองพวกเขา เห็นหวงฝู่อี้เซวียนยิ้มบางๆ เมิ่งเชี่ยนโยวสีหน้านิ่งๆ ไม่สะทกสะท้าน รวมถึงเฮ่อจางที่หน้าตาเขียวคล้ำ กับเฮ่อเหลี่ยนที่โกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว

 

 

กระโดดลงจากม้า แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของทุกคนอย่างไม่เร่งรีบทว่าก็ไม่เชื่องช้า แล้วคำนับเฮ่อจางอย่างนอบน้อม “ท่านเสนาบดี”

 

 

เฮ่อจางคำนับกลับ “ท่านอ๋อง”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้า

 

 

เฮ่อเหลี่ยนก็ลนลานรีบคำนับอ๋องฉี “ท่านอ๋อง”

 

 

อ๋องฉีไม่ได้สนใจเขา หันไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยหน้าอึมครึม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบขรึม แล้วคำนับอ๋องฉีอย่างไม่รีบร้อน “คารวะท่านอ๋องเพคะ”

 

 

อ๋องฉีพยักหน้าน้อยๆ เบนสายตาไปมองหวงฝู่อี้เซวียน ในน้ำเสียงเจือแววกล่าวโทษอยู่บ้าง “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าช่างวู่วามเหลือเกิน!”

 

 

สายตาของหวงฝู่อี้เซวียนราบเรียบ สีหน้าท่าทางไม่เปลี่ยนแปลง ตอบกลับว่า “ท่านพ่อ ลูกเองก็จนปัญญา ฮูหยินใหญ่กับคุณชายใหญ่ติดหนี้ไม่ยอมชำระ ลูกเลี่ยงไม่ได้จึงจำใจต้องทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อ๋องฉีกำลังเอ่ยปากสอบถาม เฮ่อจางก็ขัดจังหวะเขาขึ้น “ท่านอ๋อง ที่ตรงนี้มิใช่ที่เจรจา เชิญตามข้าเข้าไปในจวนเถิด พวกเราจะได้ค่อยๆ คุยกัน”

 

 

อ๋องฉีกวาดสายตามองไปรอบๆ แวบหนึ่ง คนที่มามุงดูมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การจราจรติดขัดไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากแต่ไม่รู้ว่ามีสายสืบของขุนนางอยู่มากน้อยเพียงใด เมื่อคิดดูแล้วจึงพยักหน้าเห็นด้วย

 

 

เฮ่อจางทำมือวาดแขนเชื้อเชิญเข้าไปข้างใน อ๋องฉีสั่งขึ้นมาคำหนึ่ง “เซวียนเอ๋อร์ เจ้าตามข้าเข้าไป” แล้วก็ก้าวอาดๆ เข้าไปในจวนเสนาบดี

 

 

เฮ่อจางเดินอยู่ข้างๆ เขา

 

 

เฮ่อเหลี่ยนเดินตามหลังไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงดังตามหลังไปว่า “ท่านพ่อ เรื่องในวันนี้เกี่ยวพันกับโยวเอ๋อร์ หากนางไม่ตามเข้าไป เกรงว่าเรื่องนี้จะพูดคุยกันไม่เข้าใจ”

 

 

อ๋องฉีชะงักฝีเท้าลงครู่หนึ่ง กล่าวโดยไม่หันกลับไปมอง พร้อมด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ดีว่า “แม่นางเมิ่งก็ตามเข้ามาเถอะ”

 

 

หลังจากที่สั่งงานกัวเฟยกับหวงฝู่อี้แล้ว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวทั้งสองคนก็เดินตามเข้าไปในจวนเสนาบดี

 

 

หวงฝู่อี้ทำตามคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ให้องครักษ์ที่บาดเจ็บกลับไปรักษาตัวก่อน

 

 

ฮูหยินใหญ่ใบหน้าบูดเบี้ยว หลบอยู่หลังเรือนตลอดไม่ยอมออกมา พอเห็นอ๋องฉีเดินเข้ามาในจวนเสนาบดีก็ทำตาโต แล้วก็รีบเดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าของทุกคน แล้วยอบกายคำนับเขา “คำนับท่านอ๋องเพคะ”

 

 

อ๋องฉีเห็นนางมีใบหน้ามอมแมมคลุกฝุ่นโคลน รู้สึกอนาถใจเหลือทน ขมวดคิ้วมุ่น

 

 

เฮ่อจางเห็นท่าทางของนางแล้วก็ทราบว่าควรทำอะไรต่อดี จึงแสร้งตำหนินางว่า “ถึงเจ้าจะถูกคนทำร้ายมาถึงเพียงนี้ แต่เจ้าก็ควรไปล้างตัวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดีก่อนค่อยออกมา ดูท่าทางเจ้าเช่นนี้ หากล่วงเกินท่านอ๋อง ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”

 

 

ฮูหยินใหญ่จงใจกล่าวขึ้นว่า “สะใภ้เพิ่งกลับมาถึงจวน ซื่อจื่อก็พอคนมาถึงหน้าประตูแล้ว สะใภ้เป็นห่วงจนลืมไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ขอให้ท่านเสนาบดีอภัยด้วยเจ้าค่ะ”

 

 

มีหรือที่อ๋องฉีจะไม่เข้าใจในคำพูดของนาง ขึงขมวดคิ้วเป็นปมแน่นขึ้น

 

 

ฮูหยินใหญ่เหลือบมองหวงฝู่อี้เซวียนอย่างลำพองใจ

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสีสีหน้าเรียบเฉย สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย ทำราวกับว่าไม่ได้ยินที่นางพูด

 

 

ฮูหยินใหญ่โมโหกำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือแน่น

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ตามมาเถอะ” เฮ่อจางสั่ง

 

 

ฮูหยินใหญ่ขานรับ แล้วเดินตามทุกคนไปยังห้องโถง

 

 

พอเข้าไปในห้องโถง เฮ่อจางก็กล่าวขึ้นอย่างมีมารยาทว่า “ท่านอ๋อง ซื่อจื่อ เชิญนั่ง”

 

 

อ๋องฉีนั่งทางซ้ายมือ หวงฝู่อี้เซวียนนั่งถัดจากเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนชี้ไปยังเก้าอี้ที่ถัดไปจากตัวเองแล้วกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้าก็นั่งลง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ นั่งลงบนเก้าอี้ที่เขาชี้ให้ทันที

 

 

เฮ่อจางก็ยังยืนอยู่ คุณชายใหญ่กับฮูหยินใหญ่ก็ไม่กล้านั่งลง ต่างก็ยืนอยู่ข้างๆ แต่โดยดี พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็นั่งลงไปต่างก็รู้สึกโมโหจนต้องกัดฟันกรอด แทบจะเอาตัวนางมาตีอย่างแรง

 

 

ถึงแม้สีหน้าของอ๋องฉีจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้โต้แย้ง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน เมื่อเห็นตนไม่เพียงแต่ไม่เคารพอย่างมีมารยาท แต่ยังกล้านั่งเสมอกันกับท่านอ๋องและซื่อจื่อ ในใจของเฮ่อจางก็ไมโหจนแทบจะทนไม่ไหว แต่พอเห็นอ๋องฉีไม่โต้แย้งก็ระงับโทสะของตนไว้ แล้วไปสั่งคนรับใช้ด้วยใบหน้านิ่งๆ ว่า “ไปเอากาน้ำชามา”

 

 

ไม่นานคนรับใช้ก็ยกกาน้ำชาออกมา พร้อมกับรินชาให้คนละถ้วย

 

 

ฮูหยินใหญ่พอเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้เช่นเดียวกันก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แอบด่าคนรับใช้ในใจหลายพันตลบว่า เจ้าคนมีตาหามีแววไม่ เอาน้ำชาให้นางผู้หญิงบ้านป่าได้อย่างไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้าขึ้นมองโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นนางทำหน้าบิดเบี้ยวก็พอจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่ในใจ จึงยิ้มบางๆ ส่งให้นาง แล้วจงใจยกชาขึ้นจิบ เม้มริมฝีปาก แล้วแสดงท่าทางราวกับอิ่มเอมสำราญใจ

 

 

ฮูหยินใหญ่พยายามอย่างหนัก ถึงควบคุมเพื่อไม่ให้ตัวเองกรีดร้องพร้อมกับไปคว่ำถ้วยน้ำชาของนางได้

 

 

เฮ่อจางยกมือขึ้นเชื้อเชิญอ๋องงฉีพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เชิญดื่มชาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อ๋องฉีไม่ขยับ กล่าวอย่างน่าเกรงขามขึ้นว่า “เรื่องในวันนี้ ตกลงว่าเป็นอย่างไรกันแน่?”

 

 

เฮ่อจางกล่าวสบายๆ ว่า “เรื่องในวันนี้เป็นความเข้าใจผิดเพียงเท่านั้น ฮูหยินของเหลี่ยนเอ๋อร์ทำลายปิ่นทองของซื่อโดยมิได้ตั้งใจ ซื่อจื่ออายุน้อยใจร้อนวู่วาม จึงสั่งให้คนจับนางโยนออกมาจากร้านเครื่องประดับ แล้วก็จะเอาเงินห้าพันตำลึงคืน   เหลี่ยนเอ๋ฮร์คิดว่าซื่อจื่อจงใจตบหน้าจวนเสนาบดี จึงโกรธและไม่ยอมรับเงื่อนไขของซื่อจื่อ ทั้งสองฝ่ายจึงใช้อาวุธเข้าห้ำหั่นกัน”

 

 

คำพูดนี้กล่าวดูสวยงามอย่างที่สุด หากคนที่ไม่ทราบเรื่องพอได้ยินเช่นนั้นก็จะคิดว่าเป็นความผิดของหวงฝู่อี้เซวียนทั้งหมด

 

 

แต่ทว่าหวงฝู่อี้เซวียนเป็นบุตรชายของอ๋องฉี มีหรือที่เขาจะไม่ทราบว่าบุตรชายของตนมีนิสัยเช่นไร ขอแค่ไม่ทำเกินกว่าเหตุเข้าไม่มีทำโกรธจนพลั้งเผลอไปโดยไม่มีสาเหตุ และยิ่งไม่ลงมือทำสิ่งใดโดยวู่วามเช่นนี้ แล้วจึงหันไปถามหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เซวียนเอ๋อร์เป็นเช่นนี้หรือ?”

 

 

รอยยิ้มที่เพิ่งจะปรากฏบนใบหน้าของเฮ่อจางพลันแข็งค้างขึ้นทันที

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงหึขึ้นมาเบาๆ หนึ่งคำ น้ำเสียงเจือความเย้ยหยัน “ไม่เสียแรงที่เป็นถึงเสนาบดีมาสิบกว่าปี เรื่องกลับดำเป็นขาวคงฝึกฝนจนเชี่ยวชาญนานแล้ว”

 

 

สีหน้าอันแก่ชราของเฮ่อจางก็พลันแดงเถือกขึ้นมา

 

 

อ๋องฉีตำหนิเขาว่า “เซวียนเอ๋อร์ ท่านเสนาบดีเป็นถึงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ บังอาจเช่นนี้มิได้”

 

 

กล่าวจบก็หันหน้าไปกล่าวขออภัยเสนาบดีว่า “ท่านเสนาบดี เซวียนเอ๋อร์อายุยังน้อย พูดสิ่งใดโดยไม่ยั้งคิด หวังว่าท่านจะไม่กล่าวโทษ”

 

 

เฮ่อจางหัวเราะฮ่าๆ “ท่านอ๋องคิดมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเขา จะได้คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กได้อย่างไร”

 

 

พอเขาพูดจบหวงฝู่อี้เซวียนก็กล่าวขึ้นต่อว่า “ท่านเสนาบดีกล่าวผิดไปแล้ว ท่านกับข้ามิได้มีสายเลือดเดียวกัน ท่านจะมาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของข้าได้เช่นไร?”

 

 

เฮ่อจางถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก

 

 

คราวนี้อ๋องฉีไม่ได้กล่าวอะไรอีก ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบช้าๆ

 

 

เฮ่อเหลี่ยนอดทนไม่ไหวแล้ว กล่าวขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “พ่อของข้าเป็นพ่อตาของท่านอ๋อง จะบอกว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเจ้าได้หรือยัง?”

 

 

น้ำเสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเย้ยหยันขึ้นหลายส่วน “พ่อตาของท่านพ่อข้าก็คือท่านแม่ทัพคนก่อนที่จากไปแล้ว ข้าไม่เคยทราบมาก่อนว่าบิดาของชายารองก็เหมาะสมแล้วที่จะเป็นพ่อตาของท่านพ่อข้า วันหลังข้าจะไปขอคำชี้แนะจากเสด็จลุงฮ่องเต้ แคว้นอู่ของพวกเราไม่แบ่งแยกฐานะตั้งแต่เมื่อใดกัน”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนก็ถูกตอกกลับจนพูดไม่ออก

 

 

บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบ เหลือเพียงเสียงซดน้ำชาของอ๋องฉี